เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] – เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] – ตอนที่ 48 – 3 เสียดาย

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 48 - 3 เสียดาย

ความมืดมิดแห่งป่าเขาลำเนาไพรหนาบางสลับซ้อนตลอดมา สิ่งที่หนาแน่นคือพรรณไม้ สิ่งที่เบาบางคือท้องนภา สิ่งที่โค้งเว้าคือเทือกเขาทอดยาวแสนไกล

 

 

ยามความมืดมิดตื้นลึกสลับซ้อนนั้นได้หลุดลอกโดยพลัน เศษใบไม้ผืนแผ่นใหญ่เกลื่อนกลาดปลิวว่อนขึ้นมา จิ่งเหิงปัวมองเห็นเค้าร่างที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาของกงอิ้น

 

 

ตำแหน่งไม่ได้ไกลนัก อยู่เพียงฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำสายน้อยนวลเนียน พอจะได้ยินวาจาส่วนใหญ่ที่เอ่ยเสียงดัง

 

 

จิ่งเหิงปัวเบิกตากว้างมองดูกงอิ้นเดินมาแช่มช้า ใบไม้เขียวกลุ่มใหญ่เบื้องหน้ากายสลายเป็นจุณต่อเนื่องกระจัดกระจายทั่วทิศ ผุดเผยเค้าร่างดั่งหิมะของเขา คล้ายเสื้อคลุมต้าฉั่ง[1]แห่งค่ำคืนมืดมิดหลุดร่วงลงอย่างเงียบเชียบ และคล้ายเขากำลังก้าวออกมาจากหลุมดำมัวสลัวกลางจักรวาล

 

 

อาจด้วยกำลังใช้กําลังภายในสั่นสลายใบไม้เขียวที่ใช้บดบังเบื้องหน้ากาย เส้นผมของเขาสยายขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน เส้นผมสีดำพลิ้วไหวตามสายลม ยิ่งเผยให้นัยน์ตาคู่หนึ่งนั้นนิ่งสงบลึกซึ้งยาวไกล ประหนึ่งเหวลึกเงียบสงบนับสิบล้านปี

 

 

การอำพรางกายที่น่าชื่นชมต่อเนื่อง ฉากการปรากฏกายปานเทพยดา แต่จิ่งเหิงปัวไม่ทันได้อุทานอย่างตื่นตะลึง สายตาของกงอิ้นเย็นชาเหลือเกิน ความรู้สึกห่างเหินรุนแรงยิ่งกว่าเมื่อเทียบกับแต่ก่อน นางรู้สึกได้ถึงอันตราย

 

 

แต่ขณะนี้ก็ไม่ได้มีกะจิตกะใจจะไปพิจารณาเรื่องนี้แล้ว กงอิ้นเดินเข้ามาอย่างแช่มช้า

 

 

“ไป” เอ่ยข้ามแม่น้ำสายน้อย

 

 

จิ่งเหิงปัวมองดูเขาค่อยๆ เหยียบย่ำผืนน้ำข้ามมา ใบไม้เขียวสลายกลายเป็นผุยผงทั่วท้องฟ้า คล้ายไหมเขียวลอยวนเวียนกลุ่มหนึ่งล้อมรอบข้างกายเขาเพียงครั้ง แล้วจมลงสู่ผิวน้ำใสสว่างอย่างเชื่องช้า

 

 

น้ำในแม่น้ำดั่งกระจกใส ใบไม้เขียวดุจหยกเขียว เขาเหยียบย่ำใบไม้เขียวบนผิวน้ำสืบเท้าก้าวมา ชุดคลุมดุจหิมะและผมสีดำขลับลอยล่องพร้อมเพรียง เศษดอกไม้โรยราปลิดปลิวเริงระบำข้างกาย

 

 

ภาพเหตุการณ์งดงามยิ่งนัก ทว่าทำให้ผู้คนกระวนกระวายใจ

 

 

แม้แต่สายตาที่เหยียลี่ว์ฉีมองเขายังยิ่งเพิ่มความจริงจัง ถอนหายใจแผ่วเบาเฮือกหนึ่งโดยพลัน เอ่ยว่า “จิตน้ำแข็งผลึกดวงใจ เขาใกล้จะฝึกสำเร็จแล้วสินะ…”

 

 

“อื้อ?” จิ่งเหิงปัวมองดูกงอิ้นดวงตาไม่กะพริบ ใช้เสียงนาสิกสอบถาม

 

 

เหยียลี่ว์ฉีคล้ายใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อยเช่นกัน เอ่ยคล้ายพึมพำกับตนเองว่า “แปลกประหลาด กิจธุระของเจ้าผู้นี้ซับซ้อนยุ่งยากเสียยิ่งกว่าข้า เรื่องสกปรกชิงไหวชิงพริบมากมายกว่าข้าเสียอีก เหตุใดจึงฝึกฝนพลังภายในที่มีจิตใจสะอาดผ่องใสเช่นนี้สำเร็จได้เล่า…” จากนั้นเขาหัวเราะแผ่วเบาเพียงครั้ง เอ่ยว่า “ฝ่าบาท อย่าทรงขยับมั่วซั่ว พระองค์ทรงยั่วยวนกระหม่อม กระหม่อมจึงจำต้องทำไปเช่นนี้”

 

 

เข่าทั้งสองข้างยกขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ จิ่งเหิงปัวที่อยากจะฉวยโอกาสจัดการเขาสักรอบ หัวเข่าแข็งทื่อทันที หัวเราะเขินอายครั้งหนึ่ง แอบด่าเสียงหนึ่งว่าไอ้นี่มันเจ้าเล่ห์

 

 

นางมองดูตนเอง แล้วมองดูท่ายืนแข็งทื่อเล็กน้อยของมหาเทพ แท้จริงแล้วในใจขลาดกลัว…ก่อนหน้านี้เสแสร้งแกล้งพูดเหลวไหลไปมากมายขนาดนั้น อีกทั้งตอนนี้ทำท่วงท่าแบบนี้กับเหยียลี่ว์ฉี มหาเทพจะคิดไปไกลถึงไหนแล้วเนี่ย…

 

 

“กงอิ้น” เหยียลี่ว์ฉีโอบกอดจิ่งเหิงปัวที่ขยับเขยื้อนไม่ได้ให้ลุกขึ้นนั่ง ยิ้มแย้มทักทายว่า “ดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ ลำบากเจ้าตากลมมาช่วยเฝ้าพิทักษ์พวกเรา เกรงใจเจ้าโดยแท้ฮ่าๆ” จากนั้นเขาเอ่ยต่ออีกประโยคด้วยใบหน้าขวยอายว่า “ฝ่าบาททรงมีไมตรีเกินไปเสียแล้ว…เมื่อครู่ลักลอบพบกันที่กระโจมยังไม่พอ ยังต้องเจอหน้าข้าอีกครั้งให้ได้…ฝ่าบาททรงเอ็นดู พวกเราเป็นขุนนางย่อมยากจะปฏิเสธถูกต้องหรือไม่?”

 

 

“มีไมตรีกับน้องสาวแกสิ…” จิ่งเหิงปัวกำลังอยากด่า สายตาประสานเข้ากับสายตาสุกสกาวของเหยียลี่ว์ฉีทันที

 

 

หรือว่าสิ่งนั้นไม่ใช่สายตาสุกสกาว ทว่าเป็นหมอกหนาผืนหนึ่งสายธารมัวสลัวคลื่นหนึ่ง ความโหรงเหรงและความว่างเปล่าผืนหนึ่ง ในใจของจิ่งเหิงปัวสะท้านเพียงครั้ง รู้สึกทันทีว่าเคลิบเคลิ้มและงัวเงีย หนังตาหนักจนลืมไม่ขึ้น สะลึมสะลือร้อง “อื้อ” ไปเสียงหนึ่ง

 

 

พอเสียงหนึ่งนี้โพล่งออกจากปาก นางฟื้นคืนสติลืมตาฉับพลันทันที สายตาใสสว่างของเหยียลี่ว์ฉีที่อยู่เบื้องหน้า มีความว่างเปล่าและความโหรงเหรงเมื่อครู่เสียที่ไหน?

 

 

อะไรกันเนี่ย? วิชามารเหรอ? สะกดจิตเหรอ? ก่อนหน้านี้ทำไมไม่เคยใช้?…

 

 

“องค์ราชินีทรงขวยเขินแล้วน่ะ…” เหยียลี่ว์ฉีหันหน้าไปยิ้มให้กงอิ้น

 

 

กงอิ้นหยุดนิ่งอยู่บนผิวน้ำแล้ว แขนเสื้อพลัดพลิ้ว ไม่เอ่ยวาจาแลไม่ขยับเขยื้อน

 

 

ในความมืดมิดมองเห็นสีหน้าของเขาไม่ชัดเจน จิ่งเหิงปัวรู้สึกเพียงว่าในใจเย็นเยียบขึ้นมา

 

 

“เจ้าคงดักซุ่มกำลังพลไว้บริเวณนี้แล้วกระมัง?” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “ข้าไม่มั่นใจว่าจะฝ่าวงล้อมของเจ้าออกไปได้ ทำอย่างไรดีเล่า?”

 

 

“เช่นนั้นจงอยู่รอความตาย” กงอิ้นปริปากในที่สุด น้ำเสียงสงบราบเรียบ ไม่แม้แต่จะมองจิ่งเหิงปัวสักปราดเดียว

 

 

“ทว่าข้าไม่อยากตาย” เหยียลี่ว์ฉียักไหล่ มองดูจิ่งเหิงปัวที่ยังโอบกอดตนเองอย่างสนิทสนม สายตาสุกสกาวเปลี่ยนแปลงไป เอ่ยว่า “หรือมิฉะนั้น พวกเรามาทำข้อแลกเปลี่ยนกันดีหรือไม่?”

 

 

“จับตัวราชินีไว้ จะให้ข้าปล่อยเจ้าหรือ?” กงอิ้นขัดจังหวะเสียงหนึ่ง เอ่ยว่า “เทียบกับราชินีที่ทดแทนได้ทุกชั่วยามองค์หนึ่งแล้ว ข้าสนใจชีวิตของเจ้ามากยิ่งกว่า”

 

 

จิ่งเหิงปัวกะพริบตาปริบๆ …เอาเถอะนางกล่าวเสริมเติมแต่งเองได้ว่า นี่เพราะกงอิ้นจงใจเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่สนใจ จะได้ไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพื่อช่วยตัวนางเอง เพียงแต่วาจาแบบนี้วนเวียนอยู่ในหู ไม่ค่อย…สบายหูเท่าไรเลยแฮะ…

 

 

“โอ้ ไม่ ไม่ใช่” เหยียลี่ว์ฉีโอบกอดจิ่งเหิงปัว นิ้วมือแกว่งไปมา เอ่ยว่า “ดวงตาข้างใดของเจ้ามองเห็นว่าข้าจับตัวราชินีไว้หรือ? เจ้ามองเห็นนางลักลอบออกมาอิงแอบแนบชิดกับข้าด้วยตาตนเองชัดๆ มิใช่หรือ? ข้าเพียงอยากจะส่งของขวัญชิ้นใหญ่ให้เจ้า ข้าช่วยเจ้าสังหารนาง ดีหรือไม่?”

 

 

จิ่งเหิงปัวสั่นสะท้านไปทั่วร่าง เบิกตามองเหยียลี่ว์ฉีอย่างไม่อยากเชื่อสายตา…ความคิดพิสดารอะไรเนี่ย? ฆ่าพี่แล้วนายจะหนีรอดเหรอ?

 

 

“หากอยากสังหารนางข้าเองทำได้ทุกชั่วยาม ไม่ลำบากรบกวนเจ้า” กงอิ้นไร้ซึ่งสีหน้าตระหนกตกใจ ยังคงมีท่าทางไม่หวั่นไหวแม้มีสิ่งใดกระทบเช่นนั้น

 

 

“ข้าเชื่อวาจานี้ของเจ้า” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ทั้งต้าฮวงล้วนรู้ว่า แท้จริงแล้วเจ้าไม่ยินดีให้มีราชินีมาอีกองค์หนึ่ง หากไม่มีนาง เจ้าคงจะตั้งตนเป็นจักรพรรดิได้แล้ว ภายหลังด้วยสถานการณ์บีบบังคับ เจ้าจำต้องคุ้มกันนางตลอดทางจนมาถึงที่นี่ ยามนี้มีพิธีรับเสด็จราชินีไกลร้อยลี้ เจ้าขี่หลังเสือยากจะลง จำต้องประคองนางขึ้นครองราชบัลลังก์เสียก่อน ทว่าเจ้าย่อมรู้ว่าหากนางขึ้นครองราชบัลลังก์ ยากจะหลีกเลี่ยงความเปลี่ยนผันที่จะเกิดขึ้น ในหกแคว้นแปดชนเผ่ามิรู้ว่าผู้คนมากเพียงใดจ้องรอตะครุบตำหนักอวี้จ้าวดั่งพยัคฆา หากนางถูกผู้ใดล่อลวงไป ย่อมจะกลายเป็นมือสังหารที่หมอบซ่อนอยู่ข้างกายเจ้า จิ๊จ๊ะ หลายวันมานี้ข้าครุ่นคิดแทนเจ้ายังรู้สึกว่าเป็นทุกข์ ข้าประหลาดใจยิ่งนักว่าเหตุใดเจ้าถึงไม่สังหารนาง คิดแล้วคงเสียดาย? เช่นนั้นข้าสังหารนางแทนเจ้าย่อมได้ สตรีนางนี้เมื่อครู่เพิ่งรับปากข้าว่าจะลอบสังหารเจ้าเพื่อข้านะ มีสตรีเช่นนี้อยู่ข้างกาย อันตรายยิ่งนักนะ ใช่หรือไม่?”

 

 

“เจ้าโกหก ข้าไม่…” เสียงคำรามของจิ่งเหิงปัวยังไม่ทันกล่าวสิ้น ก็ถูกสายตาสุกสกาวสะกดจิตที่กว้างไกลมัวสลัวสายหนึ่งของเหยียลี่ว์ฉีทำให้ล้มพับไป

 

 

มองในสายตาของกงอิ้น คงจะเป็นความหวาดผวายากจะเอ่ยครั้งหนึ่ง

 

 

“สังหารเจ้าแล้วค่อยสังหารนาง ข้ารู้สึกว่าดียิ่งกว่า” นัยน์ตาของกงอิ้นแฉลบผ่านจิ่งเหิงปัว หยุดลงตรงคอเสื้อหลุดลุ่ยของนาง ยามปริปากอีกครายังคงสั้นกระชับสูงส่งเย็นชาเช่นนั้น หนึ่งเข็มเห็นโลหิต

 

 

“สังหารข้าเจ้าคงต้องจ่ายค่าตอบแทนไม่มากก็น้อย ค่อยสังหารนางเจ้าจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ” เหยียลี่ว์ฉีแกว่งนิ้วมือพลางเอ่ยว่า “เจ้าเป็นผู้เฉลียวฉลาด เหตุใดวันนี้จะเลือกกระทำเรื่องยุ่งยากให้ได้?”

 

 

กงอิ้นมองดูเขาอย่างไม่ใส่ใจด้วยสายตาเสียดสี เอ่ยว่า “บนโลกนี้ไม่มีเรื่องเลวเรื่องใดที่มิใช่เรื่องยุ่งยาก”

 

 

“ข้าช่วยเจ้ากระทำเรื่องยุ่งยากได้นะ” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้ม เอ่ยสืบต่อว่า “เจ้าไปเรียกหัวหน้าองครักษ์แห่งหกแคว้นแปดชนเผ่ารวมถึงเฟยหลัวมา จากนั้นข้าจะประกาศต่อหน้าทุกผู้คนว่าราชินีองค์ใหม่ไม่เคารพกฎวังหลวง ขืนใจยั่วยวนราชครูฝ่ายซ้าย ล่วงละเมิดกฎแห่งวังอันศักดิ์สิทธิ์ ให้นางปลิดชีพตนเอง แน่นอนว่า แม้นางมิกล้าปลิดชีพตนเองข้าก็จะทำให้นางปลิดชีพตนเองอย่างว่าง่าย เช่นนี้ จัดการราชินีได้สบายๆ เจ้ามิจำต้องแบกรับภาระใด ส่วนข้าเองจะปลีกตัวออกไปได้อย่างราบรื่น อย่างไรเสีย เจ้าคงมิอาจสังหารข้าต่อหน้าหกแคว้นแปดชนเผ่าได้ เจ้าว่าเช่นนี้ ข้าปลอดภัยแล้ว เจ้าเองสมปรารถนา นี่มิใช่ดีต่อทั้งสองฝ่ายหรอกหรือ?”

 

 

“ฉีเหยี่ยหลีว์ข้าสังหารล้างตระกูลเจ้าข่มขืนน้องเขยเจ้าหรือ เจ้าถึงจำต้องทำร้ายพี่อย่างเ**้ยมโหดเช่นนี้?” จิ่งเหิงปัวกรีดร้องตาขวาง ถ้าไม่ใช่เพราะทั่วร่างขยับเขยื้อนไม่ได้ นางจะต้องพุ่งเข้าไปจู่โจมท่อนล่างสามส่วนก่อนแล้วค่อยทักทายใบหน้าต้องอัดเขาจนดอกท้อผลิบานทีละดอกละดอกทั่วร่างแน่นอน

 

 

เหยียลี่ว์ฉีหลบหลีกการถุยน้ำลายของนางคล้ายหลบแมลงวัน ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “เฮ้อ สมญานี้ที่พระองค์ทรงตั้งให้กระหม่อมไม่ชื่นชอบ”

 

 

“ไปตาย ไปตายซะ…”

 

 

“ดี”

 

 

คำตอบเย็นยะเยือกและแน่วแน่เสียงหนึ่งขัดจังหวะเสียงคำรามโกรธแค้นของจิ่งเหิงปัวทั้งอย่างนั้น นางชะงักงันแทบไม่เชื่อหูของตนเอง ค่อยๆ หันหน้ามา

 

 

บนผิวน้ำกงอิ้นถอยหลังแช่มช้าเสียแล้ว

 

 

เขาสูงส่งเย็นชาเด็ดเดี่ยวเช่นนั้นตลอดมา พอตัดสินใจแล้วทั้งไม่อธิบายและไม่ลังเล ในขณะถอยหลังนิ้วมือยกขึ้นเพียงครั้ง ดอกไม้ไฟสายหนึ่งสว่างขึ้นมา เสียงผู้คนโกลาหลทั่วทุกสารทิศมาชุมนุมโดยพลัน

 

 

จิ่งเหิงปัวจ้องเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย หัวใจเกร็งแน่นเสียจนคล้ายกำลังเป็นตะคริว ลมหายใจคล้ายแผ่วบางลงเช่นกัน ประดุจมีดเล่มหนึ่งแทงลงตรงหน้าอกอย่างสุดกลั้น

 

 

ผิดแล้ว

 

 

อะไรก็ผิดไปหมดแล้ว

 

 

เมื่อครู่นางยังคิดว่ากงอิ้นต้องเล่นละครตบตาเหยียลี่ว์ฉีแน่นอน เสแสร้งรับปากเขา คงไม่ได้เชื่อวาจาเหลวไหลของเหยียลี่ว์ฉีแน่นอน กำลังใช้แผนช่วยเหลือนางแน่นอน

 

 

เสียดายว่ากงอิ้นเ**้ยมโหดเช่นนี้ ไม่ให้โอกาสนางได้ปลอบโยนตนเองแม้แต่น้อย ใช้การกระทำทำลายความหวังของนางอย่างรวดเร็วเช่นนี้

 

 

เดิมทีต่อให้เขายอมรับเงื่อนไขของเหยียลี่ว์ฉี ขอเพียงยังมีเขาคนเดียว จิ่งเหิงปัวจะยืนหยัดเชื่อต่อไปว่าเขากำลังหลอกเหยียลี่ว์ฉี ทว่าเขากลับป่าวประกาศออกมา

 

 

นี่ทำให้นางหมดหวัง

 

 

ข้อบังคับราชินีแห่งต้าฮวงเข้มงวดรุนแรงเพียงไหน ท่วงท่ายามนี้ของนางกับเหยียลี่ว์ฉีจะมองอย่างไรล้วนมองได้ว่านางอิงแอบแนบชิดเขา ให้คนเหล่านั้นมองเห็น นางไม่ถูกบังคับให้ปลิดชีพตนเองก็คงต้องถูกเขวี้ยงหินใส่จนสิ้นชีพ

 

 

นางไม่แน่ใจขึ้นมาทันทีว่า…กงอิ้น…เขาโกรธจริงๆ เหรอ?

 

 

เดิมทีคงสงสัยเรื่องที่นางกับเหยียลี่ว์ฉีอยู่ในกระโจมด้วยกัน ซ้ำยังมองเห็นนางหนีไปจริงๆ มองเห็นนางกับเหยียลี่ว์ฉี “มีไมตรี” ต่อกัน ได้ยินถ้อยคำทรยศหวังปลิดชีพเหล่านั้น ไม่ว่าใครก็คงโกรธแค้นผิดหวังมั้ง?

 

 

ในความมืดมิดริมฝีปากของเขาขาวซีดเช่นนี้ เม้มแน่นเป็นเส้นเดียว และคล้ายมีดเล่มหนึ่งสะบั้นกลางระหว่างนางกับเขาอย่างรุนแรง

 

 

ขวางกั้นเพียงชลธาร ทว่าไกลห่างปานมหาสมุทรและขุนแขา

 

 

“หากวันนี้เจ้าหนีไป วันหน้าเจ้าคือศัตรูของข้า”

 

 

เหอะๆ

 

 

มหาเทพย่อมเป็นมหาเทพ ตัดสินใจเด็ดขาดพอ มีเพียงนางล่ะมั้งที่คิดว่าล้อเล่น?

 

 

การมาถึงของฝูงชนเร็วยิ่งกว่าที่นางคาดไว้ ทุกเฟินหนึ่งซึ่งแสงคบเพลิงสั่นไหวประชิดใกล้มา นางก็เข้าใกล้ความตายมาอีกก้าวหนึ่ง

 

 

จิ่งเหิงปัวหายใจลำบาก เบื้องหน้าเริ่มมืดมน ดวงใจคล้ายม้าแกร่งหลุดบังเ**ยนพุ่งชนสี่ทิศกระวนกระวายไม่หยุดหย่อน รสชาติการรอคอยความตายทุกข์ทรมานเช่นนี้จนทำให้นางหลงลืมจะเกลียดบุรุษไร้ความปรานีทั้งสองคนไปชั่วขณะ

 

 

ตอนนี้นางเปลี่ยนความคิดแล้ว!

 

 

นางไม่หนีอีกแล้ว! นางจะเป็นราชินี!

 

 

แต่จะไม่เป็นราชินีหุ่นเชิดที่ถูกผู้คนตรึงเอาไว้ ถูกกฎเกณฑ์นับมิถ้วนผูกมัด ถูกใครหน้าไหนก็ได้มาตัดสินชะตาชีวิตความเป็นความตายตามใจชอบอีกแล้วเด็ดขาด!

 

 

นางจะเป็นราชินีที่แท้จริง สองมือกุมมหาอำนาจ ตัดสินความเป็นความตายของตนเองรวมทั้งผู้อื่น ไม่ยอมถูกควบคุมไว้เพื่อใครไปตลอดกาล!

 

 

นางจะครองราชบัลลังก์อย่างมั่นคง มีพลังที่แท้จริง จากนั้นโค่นล้ม ล้มล้าง เหยียบย่ำกฎเกณฑ์ข้อบังคับบ้าบอเหล่านั้นใต้ฝ่าเท้าจนสิ้นแล้วตบลงไปบนใบหน้าของผู้พิทักษ์นักพรตจอมเผด็จการที่มีเจตนาแอบแฝงเหล่านั้นแรงๆ สักแปดเก้าสิบที!

 

 

ตอนนี้ นางต้องมีชีวิตรอดก่อน!

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

Status: Ongoing

ตอนที่ 1 – 30 อ่านนิยาย


ยามนั้น อสนีเปรี้ยงเวหา พสุธายุบหลุมลี้ เพชรพลอยเกลื่อนธรณี เกิดจานเหินที่กลางอากาศ มีนารีนางหนึ่งจักกำเนิดตนจากฟ้าถล่มดินทลาย…กลายเป็นราชินีแห่งต้าฮวง!

คำทำนายจากสรวงสวรรค์ ก่อกำเนิดเป็นความอัศจรรย์จากฟากฟ้า นำพาให้ จิ่งเหิงปัว หญิงสาวจากศตวรรษที่ 21 ผู้เลอเลิศในปฐพี (?) ต้องตกอยู่ในสถานะราชินีแห่งลุ่มแม่น้ำต้าฮวงด้วยความจำยอม… แต่ใครเล่าจะรู้ว่าตำแหน่งราชินีสูงส่งที่อยู่เหนือผู้คนนับหมื่นพัน จะกลายเป็นเพียง ‘ตำแหน่ง’ กันชนเพื่อการช่วงชิงอำนาจระหว่างราชครูฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย…

หากนางรู้ว่า ตำแหน่งราชินีที่นาง ‘จำยอม’ รับมาด้วยความสุข จะเป็นเพียงแค่หมากเกมหนึ่งในกระดานของชายหนุ่มทั้งสอง…ครานั้นนางจะทำอย่างไรดีเล่า

“หนีสิโว้ยยย!”

“กระหม่อมอนุญาตให้พระองค์หนีสามครา ฝ่าบาท”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท