“ในเมื่อเอ่ยสู่ขอย่อมควรจะแสดงความจริงใจ เช่นนั้นสิ่งนี้ นับว่าเป็นของหมั้นที่ข้าให้เจ้าแล้วกัน!”
จิ่งเหิงปัวเกือบจะกระอักเลือดท่วมปากตาย
“ข้ายังนึกว่าคนโบราณต่างซื่อสัตย์ซื่อตรงโง่เขลาเบาปัญญา…” นางเพ่งสายตาพึมพำกับตนเองว่า “แต่แท้จริงแล้วจิตใจปลิ้นปล้อนเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายไร้ยางอายทั้งนั้น…”
“มันกับเจ้าต่างเป็นของรักของข้า” ไอ้ติ๊งต๊องที่ขอแต่งงานเอ่ยด้วยความรู้สึกลึกซึ้งว่า “สิ่งที่รักที่สุด แน่นอนว่าต้องมอบให้ผู้ที่รักที่สุด”
จิ่งเหิงปัวได้ยินเขาพึมพำอย่างชัดเจนว่า “เหล่าศิษย์น้องชายคงต้องพ่ายแพ้แก่ข้าแน่ ข้านับว่าได้ตบแต่งภรรยาแล้ว ทั้งอาจารย์ทั้งศิษย์จะได้ทำลายคำสาปหนุ่มโสดเสียที…”
“เจ้าสิสิ่งของ โอ้ไม่สิเจ้าไม่ใช่สิ่งของ เจ้ามันไม่ได้เรื่องตั้งแต่หัวจรดเท้า” จิ่งเหิงปัวอยากจะถอดรองเท้าส้นสูงมาอุดสมองฝันเฟื่องของเขาเหลือเกิน
ขอให้เขาและเหล่าศิษย์น้องของเขารวมถึงอาจารย์ชราตัณหากลับเป็นโสดด้วยกันไปแปดชาติ!
“ข้าชอบนิสัยของเจ้า” ผู้ขอสมรสคล้ายมองนางอย่างไรชอบนางเยี่ยงนั้น
ในสมองของจิ่งเหิงปัวพลันปรากฏหัวข้อข่าวสีดำตัวหนาขนาดใหญ่เต็มไปหมด
สาวน้อยวัยแรกแย้มเจอหนุ่มต้มตุ๋น หลอกขายจากเมืองส่งต่อไปไกลพันลี้
สาวน้อยโง่เขลาถูกขายให้เป็นภรรยาหนุ่มโสดกลุ่มหนึ่งเพื่อยาทาเล็บขวดเดียว
เรื่องราวของชายแก่ผู้หนึ่งและหนุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งซึ่งจำต้องเอ่ยด้วยเพราะผู้หญิงคนเดียว
บันทึกเลือดเคล้าน้ำตาครั้งถูกลักพาตัว ตอน ช่วงเวลาที่ฉันถูกบังคับให้ปรนนิบัติศิษย์อาจารย์ที่ขึ้นคานทั้งสองรุ่น
…
โอ้โนว
จิ่งเหิงปัวสูดหายใจเฮือกหนึ่งพยายามปรับสีหน้าบนใบหน้า ใช้น้ำเสียงหวานเลี่ยนที่สุดของตนเองกล่าวว่า “เจ้าขอข้าสมรสแล้ว ยังควบคุมข้าไว้อีกหรือ คล้ายจะไม่มีความจริงใจใดกระมัง”
“โอ้จริงด้วย ข้าลืมไปเลย” เจ้าผู้ขอแต่งงานรีบเร่งยืนขึ้นมา จิ้มนิ้วมือเพียงครั้ง หัวเราะอย่างเก้อเขินพลางเอ่ยว่า “ข้าเองมิได้ตั้งใจ เพียงแต่ชอบพอเจ้าแต่แรกพบ ไม่อยากให้เจ้าจากไป จึงควบคุมเจ้าไว้เล็กน้อย…” เขายังบีบนิ้วมือขึ้นมาเปรียบเทียบความหมายเล็กน้อย เอ่ยสืบต่อว่า “สักหน่อย”
จิ่งเหิงปัวอยากจะตบ “ข้าเอง” คนนี้จนจมดิน “เล็กน้อย” ให้เขาไปใช้ชั่วชีวิต “สั้นๆ” กับแมลงสาบที่วิ่งเข้าวิ่งออกเหลือเกิน
โชคดีที่ “ข้าเอง” ยังมีท่าทางให้ความร่วมมืออย่างยิ่ง นิ้วมือขยับขึ้นมาเพียงครั้ง นางจึงขยับได้แล้ว
จิ่งเหิงปัวหายตัวไปแล้วดังสวบ
แม้แต่ยาทาเล็บสุดรักก็ไม่เอาแล้ว
ล้อเล่นหรือไง ใช้เล็บมือคิดยังรู้เลยว่าถ้าหัวนิ้วมือนิ้วเดียวล็อกนางไว้ได้ คงฆ่านางจนตายได้เช่นกัน
ส่วนเรื่องเขาคือใคร จิ่งเหิงปัวไม่ได้สนใจใคร่รู้ อย่างไรเสียตำแหน่งที่นางจะเป็นคือราชินีแห่งต้าฮวง ในอนาคตต้องเจอคนพิลึกพิลั่นทุกรูปแบบแน่นอน หากอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรกับนางจริง คงต้องได้พบกันอีกครั้งแน่
สำหรับรักแรกพบอะไรนั่น…ช่างมันเถอะ ถ้าเชื่อจะเขา เชื่อว่ากงอิ้นร่ายระบำงดงามได้ยังดีเสียกว่า
หลังหายตัวติดกันสองครั้ง จิ่งเหิงปัวเข้ามาถึงในหมู่บ้าน สถานที่กักขังตัวประกันหาเจอได้ง่ายมาก ห้องร้างห้องหนึ่งที่เปิดไฟสว่างเพียงห้องเดียวในหมู่บ้านนั่นไง
จิ่งเหิงปัวคลำมาถึงด้านหลังห้องนั้น เป็นห้องดินไม่เก็บเสียง เสียงจากด้านในแว่วออกมาอย่างชัดเจนยิ่งนัก
“เหตุใดค่ายหลงฉีและค่ายหย่งเลี่ยยังไม่มาตามหา” เสียงของเฟยหลัวฟังแล้ววุ่นวายใจเล็กน้อยเอ่ยว่า “ข้าทิ้งเครื่องหมายไว้แล้วมิใช่หรือ!”
“ผู้ใดจะรู้ได้เล่า” มีผู้เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ได้ตามหาหรือไม่ยังไม่รู้เลย กงอิ้นแทบอยากจะให้พวกเราซวยจนตัวสั่น”
“เรื่องนี้ยังมิแน่นอน” มีผู้โต้แย้งว่า “พวกเราถูกลักพาตัวต่อหน้าเขาเชียวนะ หากเกิดเรื่องขึ้นมา เขาย่อมไร้หนทางอธิบายให้หกแคว้นแปดชนเผ่าฟัง!”
“จารชนเหล่านี้ใช้วิธีใดกัน” เฟยหลัวคล้ายกำลังสืบเสาะหวังคลายการสะกดพลางเอ่ยว่า “ทั่วร่างของข้าไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่น้อยนิด”
“เสนาหญิงอย่าหุนหันพลันแล่น” มีผู้เอ่ยอย่างกำกวมว่า “มิต้องเอ่ยถึงผู้อื่น ท่านคงได้รับความช่วยเหลือเป็นแน่ ต่อให้กงอิ้นไม่ลงมือ ใต้เท้าเหยียลี่ว์คงมิอาจทอดทิ้งท่านหรอก”
“ข้าไม่เข้าใจความหมายในวาจาเจ้า ใต้เท้าเฉา” เฟยหลัวหยุดไปชั่วครู่ ยามปริปากอีกครั้งน้ำเสียงเย็นเยือกเอ่ยว่า “เบื้องหน้าศัตรู อนาคตมิอาจคาดเดา ยามนี้มิใช่ยามที่พวกเราจะมาคว้านแผลเป็นคิดบัญชีเก่า ทุกคนควรร่วมแรงร่วมใจจนได้รับอิสรภาพก่อนถึงจะถูกต้อง”
ผู้นั้นแค่นเสียงครั้งหนึ่ง มิเอ่ยวาจาอีก
จิ่งเหิงปัวฟังแล้วรู้สึกประหลาดใจ คิดอยู่ว่าเหยียลี่ว์ฉีกับเฟยหลัวมีอะไรซ่อนอยู่จริงด้วยแฮะ มิน่าล่ะวันนั้นเห็นในกระโจมยังรู้สึกว่าผิดปกติ
วันนั้นได้ยินนางตะโกนเรียกท่านพี่ แต่ท่านพี่เสียงนั้นตะโกนอย่างคลุมเครือแบบนั้น ถึงบอกว่าเป็นพี่น้องแท้ๆ ตีให้ตายก็ไม่เชื่อ อีกอย่างหน้าตาของทั้งสองคนก็ไม่เหมือนกัน
งั้นท่านพี่เสียงนี้คงทำให้คนยากจะคาดเดาแล้วล่ะ
เสียงสับสนอลหม่านจากที่ห่างไกลดังขึ้นกะทันหัน เสียงกีบเท้าม้าดังถี่กระชั้น จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมามองเห็นหลงฉีสีขาวราวหิมะปรากฏกายไกลห่างตรงเส้นขอบฟ้า
ในที่สุดก็มาถึงแล้ว
คนเหล่านี้ประชิดเข้าใกล้ด้วยพลังเปี่ยมล้นยิ่งนัก เสียงกีบเท้าดังสะเทือนนภา ในหมู่บ้านมีเสียงเคลื่อนไหวแทบจะโดยพลัน เหล่าจารชนพวกนั้นวิ่งออกมามุ่งไปทางห้อง ส่วนตัวประกันที่ถูกกักขังกลับตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก ในห้องมีเสียงสรวลสำราญดังขึ้นฉับพลัน
จิ่งเหิงปัวหมอบอยู่บนพื้น มองเห็นจารชนเหล่านั้น “พุ่งเข้าไป” ทำการ “เข่นฆ่าโรมรัน” กับหลงฉี
จิ่งเหิงปัวเบิกตากว้าง
ฉาก “เข่นฆ่า!” อันงดงามน่าชมทยอยมาสะท้านจิตสะเทือนขวัญในสงครามชี้เป็นชี้ตายอย่างเต็มที่
หลงฉีผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างอ่อนปวกเปียก ลงมีด “ฟัน” จารชนผู้หนึ่งซึ่งพุ่งเข้ามาอย่างเชื่องช้าหนึ่งครั้ง จารชนหมุนกายหลบหลีกด้วยท่วงท่าเชื่องช้าสง่างามเพียงครั้ง คว้ามือของหลงฉีไว้อย่างนุ่มนวลแล้วลากเขาลงจากหลังม้าอย่างแผ่วเบา หลงฉีร้องเสียงดังน่าเวทนาเสียงหนึ่ง ปล่อยกำปั้นสั่นสะท้านใส่หว่างเอวของจารชนด้วยรอยยิ้มปรีดา
จารชนผู้หนึ่งพุ่งเข้าไปยืนหยัดต่อสู้เพียงผู้เดียวในวงล้อมของหลงฉี เตะซ้ายต่อยขวาแขนเสื้อลอยพลิ้ว สืบเท้าเจ็ดก้าวร่นถอยเจ็ดก้าวไร้ใบไม้เฉียดกาย ห้อตะบึงกลางวงล้อมของศัตรูประหนึ่งผู้มีฝีมืออันดับหนึ่งในโลกหล้า หลงฉีทั้งมวลยิ้มแย้มปรีดากอดอกมองเขาแสดง บางครายังมีคนถีบก้นเขาครั้งหนึ่ง เอ่ยว่า “ออกแรงหน่อย! เจ้ากำลังปักดอกไม้อยู่หรือไร!”
ประกายไฟกองใหญ่กองหนึ่งระเบิดออกดังปุ้งกึกก้องสว่างไสว ดอกไม้เพลิงพวยพุ่งอบอวลมองเห็นได้แม้ห่างไปหลายลี้ แสงเพลิงลุกโชนโชติช่วงขึ้นมาเป็นกลุ่มเป็นก้อน เงาคนวิ่งไปวิ่งมาในแสงเพลิง เสียงร้องน่าเวทนาพุ่งสูงสู่ท้องนภา ดั่งฉากการสู้สุดชีวิตอันดุเดือดฉากหนึ่ง
เพียงแต่เป็นท่วงท่าเชื่องช้าระดับสูงสุดทั้งนั้น
จิ่งเหิงปัวเหม่อมองปากอ้าตาค้าง
แบบนี้ก็ได้เหรอ
ได้แน่นอน ด้วยเพราะห้องที่กักขังตัวประกันไม่มีประตูหน้าต่าง เหล่าตัวประกันมองไม่เห็นอะไรเลย รู้สึกได้เพียงว่าการเข่นฆ่าดุเดือด สถานการณ์การรบพัวพัน เหล่าตัวประกันด้านหนึ่งตื่นตะลึงว่าด้วยข้อได้เปรียบของหลงฉีที่ถือไพ่เหนือกว่าเหตุใดจึงปรากฏการเข่นฆ่าดุเดือดเช่นนี้ คิดอยู่ว่าเหล่าจารชนได้ทหารกองหนุนใช่หรือไม่ อีกด้านหนึ่งกังวลว่าเรื่องราวเกิดเปลี่ยนแปลง ตนเองจะกลับไปได้อย่างราบรื่นหรือไม่
จิ่งเหิงปัวกลับหัวเราะจนท้องแทบแตกเสียแล้ว
แสงเพลิงพวยพุ่งรอบด้าน เสียงผู้คนโกลาหล สตรีนางหนึ่งหัวเราะกลิ้งเกลือกทั่วพื้นในเงามืดของห้อง ห่างไปไม่ไกลในความมืดมิด มีผู้ยืนมือไพล่หลังนิ่งเงียบเชียบ
ใบหน้าเขาไร้ซึ่งสีหน้าอารมณ์ ยืนอยู่ห่างไกลนักคล้ายมีความรังเกียจ แลไม่ยินยอมประชิดใกล้
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขามองนางด้วยสีหน้าอ่อนโยนเพียงนั้น
…
“การสู้รบ” ฟังแล้วยิ่งดุเดือดขึ้น เสียงตะโกนสะเทือนนภา การต่อต้านของเหล่าจารชนเด็ดเดี่ยวหาญกล้าเช่นนี้คล้ายไม่ยอมถอดใจตั้งแต่ต้นจนจบ เหล่าตัวประกันที่เดิมทีรู้สึกว่าได้รับความช่วยเหลือค่อยๆ สิ้นหวัง ตื่นตระหนกตกใจยิ่งขึ้น
ยามสำคัญที่กังวลและตึงเครียดที่สุด ประตูถูกผลักออกดัง “พลั่ก” เสียงหนึ่งโดยพลัน จารชนนายหนึ่งพุ่งเข้ามานำสิ่งใดสักสิ่งตบพื้นบนโต๊ะดังพลั่ก ร้องตะโกนเสียงดังว่า “พวกเจ้าลำพองใจอะไรกัน พลไล่ล่ามาแล้วอย่างไรต่อเล่า อย่างมากวันนี้ทุกผู้คนต่างไม่รอด!”
เหล่าตัวประกันฟังแล้วทั้งตกใจทั้งโกรธแค้น ไม่เข้าใจว่าพลันเกิดความเปลี่ยนแปลงใดอีก ทยอยซักถาม เฟยหลัวเอ่ยเสียงดังว่า “ใจเย็นไว้! ใจเย็นไว้!”
จารชนนั้นกลับผลักประตูพุ่งออกไปอีกครั้งโดยพลัน จากนั้นเสียงล็อกประตูดังแกร๊กเสียงหนึ่ง มีผู้ร้องเรียกเสียงดังว่า “ฟืนล่ะ! รีบลากฟืนออกมา! กั้นไว้ใต้ประตูนี้ล่ะ ใช่แล้ว ตรงนี้!”
พอเสียงนี้เปล่งออกมา ในห้องก็สับสนอลหม่าน
จารชนเห็นว่าสถานการณ์เป็นภัย ก่อนสิ้นชีพจึงหวนมาเผาพวกเขาทั้งเป็นหรือ
ห้องนี้ไม่มีหน้าต่าง ประตูเพียงหนึ่งเดียวถูกปิดตายแล้ว ดินในกำแพงผสมหญ้าแห้งจุดติดไฟได้โดยง่ายยิ่งนัก หากจุดไฟ ผู้ใดก็หนีไม่พ้น!
“หยุดนะ! หยุดนะ!” ผู้ชราคนหนึ่งร้องเสียงดังว่า “ข้าคือเจ้ากองสามกอง[1]แห่งเผ่าหวงจิน! ข้าจะให้พวกเจ้าได้รับสิ่งตอบแทนที่คู่ควรกับสถานะของข้า! ข้ายอมจ่ายค่าไถ่จำนวนมหาศาล! ข้ายอมรับเงื่อนไขทุกอย่างของพวกเจ้า!”
พอเสียงเขาดังขึ้น ผู้อื่นถูกปลุกให้ฟื้นสติโดยพลัน ต่างทยอยร้องเรียกเสียงดัง
“ข้าคือสมุหราชเลขาธิการแห่งแคว้นซัง! แคว้นข้ามีอำนาจมีเงินทองมากล้น ต้องยอมจ่ายค่าไถ่เพื่อข้าเป็นแน่ หรือพวกเจ้ามีเงื่อนไขอื่นจงเสนอมาได้เลย!”
“ข้าคือรองราชเลขาธิการฝ่ายซ้ายแห่งแคว้นอวี่! ต้าหวังของข้าต้องยอมจ่ายค่าตอบแทนทุกสิ่งเพื่อข้าเป็นแน่!”
“ข้าคือแม่ทัพฝ่ายซ้ายแห่งแคว้นเหมิง ข้าเข้าใจความลำบากพวกเจ้า ข้าขอไถ่ตนเองกลับไปและสาบานว่าหลังจากเรื่องนี้ข้าจะไม่แก้แค้นแน่นอน!”
“ข้าคือ…”
นอกจากเฟยหลัวแล้ว บุคคลสำคัญแห่งหกแคว้นแปดชนเผ่าที่ถูกจับกุมต่างทยอยแสดงความคิดเห็น แสดงความเข้าใจพฤติกรรมของจารชนยิ่งนัก แสดงวิสัยทัศน์ที่เปี่ยมด้วยความหวังต่อความร่วมมือในภายภาคหน้า แสดงระดับการให้อภัยที่ยิ่งใหญ่มหาศาลต่อการจัดการในภายหลัง ขอเพียงเหล่าจารชนนอกประตูขจัดฟืนออกไปอย่าได้ราดน้ำมันอีก ทุกคนมาตกลงกันโดยดี
เหล่าจารชนเริ่มแรกได้ยินเสียงแต่ไม่สนใจ หลังจากค่าไถ่ยิ่งเพิ่งสูงขึ้นตามคำสัญญา เงื่อนไขเพิ่มเติมเริ่มแปรเปลี่ยนจากไม่สืบสาวราวเรื่องกลายเป็นคำสัญญาเลื่อนขั้นกระทั่งเงินรางวัลจำนวนมหาศาลจึงมีผู้หยุดการกระทำ
“ยอมรับทุกเงื่อนไขของพวกเราได้จริงหรือ”
“ใช่แล้วๆ” ผู้คนที่คว้าเส้นฟางช่วยชีวิตเส้นเดียวไว้ได้รีบเร่งตอบรับ
จิ่งเหิงปัวที่แอบฟังอยู่หลังห้องโดยตลอด เท้าคางส่ายศีรษะไปมา พึมพำกับตนเองว่า “ฉากสำคัญมาแล้ว เจ้าพวกแอบอ้างจารชนจับกุมตัวประกันกลุ่มนี้ แท้จริงแล้วต้องการอะไรกันแน่นะ”
“นั่นสิ ข้าก็ประหลาดใจยิ่งนัก” เสียงผู้หนึ่งเอ่ยข้างหูนางอย่างอ่อนโยนและเปี่ยมด้วยความประหลาดใจว่า “ต้องการสิ่งใดกันแน่นะ”
จิ่งเหิงปัวตกใจจนทั่วร่างสั่นสะท้าน ด่าอย่างโกรธแค้นจากก้นบึ้งของหัวใจ
ฮึ่มๆ ตายยากตายเย็น! สุภาพบุรุษยาทาเล็บปรากฏตัวอีกแล้ว!
นางหันหน้ากลับมาถลึงตาใส่เจ้าผู้เอ่ยสอดว่า “เหตุใดเจ้าถึงโผล่มาอีกแล้ว!”
“ดูละครไง” เขาแบะปากอย่างไร้เดียงสา
“อัฒจันทร์กว้างปานนั้น เหตุใดเจ้าจะต้องมาเบียดอยู่ด้วยกันกับข้าเล่า” จิ่งเหิงปัวเตะเขาอย่างรำคาญ กล่าวว่า “ไปดูทางนั้นเลย”
“อื้ม” เจ้าผู้นั้นลุกขึ้นมาจริงๆ เปลี่ยนตำแหน่งอย่างเชื่อฟัง
เปลี่ยนจากข้างซ้ายของจิ่งเหิงปัวย้ายไปข้างขวาของจิ่งเหิงปัว
จิ่งเหิงปัวนิ่งเงียบ “…”
“พวกเรามีวาสนาต่อกันเพียงนี้ ในวันเดียวกันได้พบกันถึงสองครั้ง!” เจ้าผู้นั้นอุทานอย่างตื่นตะลึง ดวงตาสองข้างเปล่งประกาย เอ่ยว่า “เพื่อรำลึกถึงพรหมลิขิตของพวกเรา พวกเรามาแลกนามดีหรือไม่” เขาใช้แขนค้ำผนังไว้ ยิ้มตาหยีก้มหน้ามองนาง เอ่ยว่า “ภรรยา ข้ามีนามว่าอีชี เจ้ามีนามว่าอะไร”
พรหมลิขิต พรหมลิขิตกับน้องสาวแกสิ!
“อี้ฉี่ อี้ชี อี๋ชี่ อี้ชี่ ฮ่าๆ ฮ่าๆ บนโลกนี้ยังมีชื่อที่ตลกขนาดนี้ด้วย!” จิ่งเหิงปัวกุมท้องหัวเราะปานกิ่งผกาไหวสะท้าน พลางกล่าวว่า “ฉายากระมัง”
“นามจริง” อีชีเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องมีกันเจ็ดคน ต่างใช้ตัวเลขเป็นชื่อเรียก แซ่เรียงตามลำดับ นามเรียงตามลำดับเช่นกัน เรียงแซ่ตามเวลาเข้าสำนัก เรียงชื่อตามลำดับอายุ สิ่งแรกจากมากไปน้อย สิ่งหลังจากน้อยไปมากพอดี ตามอาวุโสแล้วข้าเป็นพี่ใหญ่ ทว่าอายุน้อยที่สุด ฉะนั้นข้าคือ ‘หนึ่งเจ็ด’ ”
จิ่งเหิงปัวนึกสนุกขึ้นมา กล่าวถามว่า “น้องรองมีนามว่าอะไร”
“เอ่อร์ลู่[2]”
“น้องสาม”
“ซานอู่[3]”
“น้องสี่”
“ซือซือ[4]”
“น้องห้า”
“อู่ซาน[5]”
“น้องหก”
“ลู่เอ่อร์[6]”
“น้องเจ็ด”
“ชีอี้[7]”
“ฟังแล้วพวกเขาปกติกว่าเจ้าทั้งนั้น” จิ่งเหิงปัววิจารณ์ ในใจคิดว่านี่มันชื่ออะไรวะเนี่ย อาจารย์กับสำนักต้องตลกขนาดไหน ถึงได้ตั้งชื่อให้ลูกศิษย์ลูกหาแบบนี้วะ อาจารย์ต้องตลกขนาดไหน ถึงได้จงใจเรียงอายุและลำดับการเข้าสำนักสลับกันทั้งหมดวะ คนกลุ่มหนึ่งต้องตลกขนาดไหน ถึงผสานตัวเลขพวกนี้สอดคล้องกันได้วะ!
“ข้ามีนามว่าจิ่งเหิงปัว นามภาษาอังกฤษว่าเจนนิเฟอร์ มีความหมายว่างามเพริศแพร้วน่าหลงใหล เจ้าเรียกข้าว่าเจนนี่ก็ได้” จิ่งเหิงปัวยื่นมือไปอย่างเป็นกันเอง จับมือของเขาไว้แล้วเขย่าพลางกล่าวว่า “พวกเรารู้นามกันแล้วย่อมนับว่าเป็นสหายแล้ว เจ้าอย่ามาก่อกวนข้าได้หรือไม่”
“เช่นนั้นแน่แท้” อีชียิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี เอ่ยว่า “ภรรยามีบัญชา ข้าหรือจะกล้าไม่ทำตาม”
แน่นอนว่าจิ่งเหิงปัวไม่คิดจริงจัง รู้สึกว่าเพียงว่าสนุกสนาน นางมองใบหน้าเย็นชาของมหาเทพกงจนเคยชิน ยากที่จะมีใครมีไมตรีต่อนาง ซ้ำยังเป็นบุรุษผู้หนึ่งซึ่งงดงามจนเกือบจะน่ารักขนาดนี้ อดจะหัวเราะคิกๆ ออกมาไม่ได้ จูงมือของเขาไว้ให้นั่งลงดูละครด้วยกัน
เงาขาววูบไหว ณ ที่ห่างไกล ยืนชมเหตุการณ์อย่างเย็นชา
ชมนางยิ้มแย้ม ชมนางหยอกเย้า ชมนางใกล้ชิดสนิทสนมเบื้องหน้าผู้อื่น และชมรอยยิ้มผลิแย้มงามงดสดใสในดวงเนตรของผู้อื่น
รอยยิ้มงามอำไพประหนึ่งสายรุ้งนั้นแทบสะเทือนทะเลสาบดวงหทัยสงบเงียบได้ทั่วแผ่นผืน แต่เดิมเขานึกว่าแสงวสันต์งดงามของนางอาบไล้ผืนทะเลสาบของเขาเพียงผู้เดียว มิเคยคิดว่าทิวทัศน์ทั้งมวลที่นางเยื้องกรายผ่าน ผู้ผ่านทิวทัศน์ทุกคนต่างได้ครอบครองรอยยิ้มหอมหวนของนาง
เขาอยากจะเนรเทศคนเหล่านั้นที่เคยสัมผัสฝ่ามือของนาง เคยจดจ้องรอยยิ้มของนาง เคยได้ติดต่อกับนางทุกผู้คนไปยังบึงโคลนเฮยสุ่ยที่น่ากลัวเป็นที่สุดในลุ่มน้ำต้าฮวงจนสิ้นโดยพลัน
เฉกเช่นเจ้าผู้มีนามว่าอีชีผู้นี้
นึกว่าตนเองฐานะเลอเลิศ แล้วจะควบตะบึงทั่วหล้าบนแผ่นดินตระกูลกงได้หรือ!