รถม้าสีดำโลดแล่นท่ามกลางความมืดยามราตรีที่ค่อยๆ มัวสลัว
ดวงตาสองข้างของเหล่าผู้ชราบนรถม้าหนาวสะท้าน ใบหน้าดุจเหล็กกล้า
รถม้ากำจายกลิ่นอายแปลกประหลาด ทว่าด้วยเพราะแล่นผ่านอย่างรวดเร็ว ผู้ที่ผ่านไปมายังไม่ได้กลิ่นก็สลายไปแล้ว
แม้ว่ารถม้าแลดูสภาพเก่าผุพัง แท้จริงแล้วกลับมั่นคงแข็งแรงยวดยิ่ง ความเร็วในการแล่นก็รวดเร็วกว่ารถม้าธรรมดา การควบคุมทิศทางก็แคล่วคล่องยิ่งยวด ทว่าคนของตระกูลซังต่างรู้ว่าสิ่งนี้เป็นเพียงสิ่งของการละเล่นของนายน้อยใหญ่ซังเทียนสี่ผู้มีความสามารถเลิศล้ำเท่านั้น
ซังเทียนสี่เพียงลงมือกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเรื่อยเปื่อยสักหน่อย หลังจากนั้นของสิ่งนั้นต้องพิเศษไร้ผู้ใดเสมือนเป็นแน่ เรื่องนี้คือเรื่องที่คนตระกูลซังทุกคนร่วมรับรู้
คนตระกูลซังมีความเชื่อมั่นต่อนายน้อยใหญ่ของพวกเขายิ่งนัก รู้สึกว่าแม้ว่าเขาคือบุรุษ ไม่อาจสืบทอดมหาตำแหน่งกองเซ่นไหว้ของตระกูลซัง ทว่าเขาเปล่งประกายสาดส่องแสงรุ่งโรจน์ที่ผู้อื่นยากจะเทียบเทียมบนเส้นทางอื่นได้โดยสิ้นเชิง ไม่เข้าใจเลยว่าหลายปีที่ผ่านมานี้เหตุใดผู้นำตระกูลซังต้งต้องซ่อนนายน้อยใหญ่ไว้ในลานด้านในโดยตลอด ให้เขาเก็บเนื้อเก็บตัวไม่เปิดเผยต่อคนนอก ส่งผลให้ชาวตี้เกอจำนวนมากรู้ว่าตระกูลซังมีบุตรชายผู้หนึ่งนี้ ทว่าไม่รู้ว่าบุตรชายผู้หนึ่งนี้ของตระกูลซังเป็นผู้ใดกันแน่ ความสามารถเป็นอย่างไร
คนตระกูลซังต่างรู้สึกว่านายน้อยใหญ่ถูกปิดกั้นความสามารถ เดิมทีเขาควรเป็นหงส์แห่งสวรรค์ ทว่าจำต้องพักจำศีลอยู่ในซอกมุมอย่างเงียบเชียบ หากไม่ใช่เพราะผู้นำตระกูลซ่อนนายน้อยใหญ่ไว้แน่นหนาขนาดนี้ บางครั้ง เรื่องราวภัยพิบัติในวันนี้ของตระกูลซังคงจะไม่มาถึงกระมัง
ผู้รับใช้ชราหลายคนกระชับอาภรณ์บนเรือนร่าง เชิดหน้าขึ้น เบื้องหน้าห่างจากตลาดกลางคืนฉังจิ่งไม่ไกลแล้ว
ใจเต้นขึ้นมาดังตึ่กตั่ก ไม่รู้ว่าเป็นความตึงเครียดหรือปวดร้าวใจ
“ตึ้ง”
บนศีรษะพลันดังแผ่วเบาเสียงหนึ่ง
ผู้ชราหลายคนเงยหน้าอย่างระแวดระวัง มองเห็นชายผ้าสีครามมุมหนึ่งสยายพลิ้ววูบไหวบนหลังคารถ
“ผู้ใดกัน?”
เหนือศีรษะมีใบหน้าหนึ่งชะโงกลงมา รอยยิ้มใสซื่อ เอ่ยว่า “อมิตพุทธ อาตมาขอบิณฑบาต”
“ไสหัวไป!” คนใกล้ตายหลายคนไม่มีสีหน้าดีงามอะไรให้เจ้าผู้อายุอ่อนวัยแต่งกายเป็นฆราวาสแจ่มแจ้งทว่าดันจะเรียกตนเองว่าอาตมาคนหนึ่ง
แลมีคนค่อนข้างระแวดระวัง คนผู้หนึ่งยื่นมือไปคว้าถุงบรรจุหินเหล็กไฟ
ถุงพลันลอยขึ้นมา ทุกคนเบิกตาโพลงมองดูถุงนั้นลอยสู่ในมือของพระปลอม
“อมิตพุทธ ในนี้คือเงินใช่หรือไม่? อาตมาขอบิณฑบาต” พระปลอมเอ่ยเองเออเองพลางแก้ถุงออกมา มองดูหินเหล็กไฟข้างในนั้น ชำเลืองมองลักษณะภายนอกของรถม้าปราดหนึ่ง ดมกลิ่นแล้วผุดเผยรอยยิ้มลึกลับผืนหนึ่ง
“ที่แท้…” เขาเอ่ยว่า “นึกไม่ถึงว่าเด็กหญิงนางนี้ยังจะ…”
วาจาสองประโยคยังเอ่ยไม่ทันสิ้น จากนั้นเขายิ้มแย้มอย่างซื่อสัตย์ซื่อตรง นิ้วมือดีดเพียงครั้งดีดถุงออกไปอย่างเบาหวิวท่ามกลางแววตาตื่นตะลึงของผู้ชราหลายคน
“เจ้านี่มันพระบ้า!” ผู้ชราคนหนึ่งทั้งตกใจทั้งโกรธเคือง หยุดรถแล้วลุกขึ้นไปเก็บหินเหล็กไฟ อีกสองคนพุ่งขึ้นไปลากเท้าของพระปลอมแล้วร้องว่า “ลงมา!”
เพียะๆ สองเสียง รองเท้าฟางกลิ่นเหม็นสองข้างกระแทกลงมาฝั่งละข้าง ร่วงลงบนศีรษะของผู้ชราสองคนอย่างแม่นยำ เห็นชัดเจนว่าเป็นรองเท้าฟางเบาหวิว ผู้ชราสองคนกลับดุจถูกค้อนมหึมากระแทกใส่ ดวงตาสองข้างกลอกเป็นสีขาว แน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อนแล้ว
พระปลอมเหินลงจากรถม้า พนมมืออย่างสงสารยิ่งนัก เอ่ยว่า “อมิตพุทธ เหตุใดจึงสลบไสลไปแล้ว?”
คนที่พุ่งลงไปริมทางตามหาถุงหินเหล็กไฟเจอแล้ว พอหันกลับมามองเห็นสหายร่วมเดินทางล้มลงพื้น สีหน้าเปลี่ยนไปมากหลาย พลันกัดฟันกรอด ถูจุดหินเหล็กไฟเสียเลย ยกมือเพียงครั้งเหวี่ยงมาทางรถม้า
พระปลอมถอนใจ เอ่ยว่า “มนุษย์เอ๋ย พวกเจ้าโง่เขลาทั้งนั้น”
จากนั้นเขาผลักรถม้าแผ่วเบา
รถม้าหนักหน่วงพลิกคว่ำลงพื้นดังครืนเสียงหนึ่ง เปลวไฟที่ลุกไหม้ปลิวเฉียดผ่านรถม้า รอยเพลิงเหลืองสว่างแดงเข้มสายหนึ่งสูญสลายไปไกลโพ้น กะพริบวูบแล้วมอดดับ
คนที่เหวี่ยงไฟมาปากอ้าตาค้าง
ไม่เคยเห็นพระปลอมที่ทั้งสุภาพเรียบร้อยเปี่ยมมารยาททั้งป่าเถื่อนโหดร้ายขนาดนี้
ทั้งที่ใช้มือไปรับเปลวไฟได้ เขากลับจะผลักรถม้าให้พลิกคว่ำ ท่วงท่าแผ่วเบาจนคล้ายกำลังลูบแมว ทว่ารถม้าพันชั่งมีสภาพอ่อนยวบประหนึ่งแมวเช่นกัน พอผลักพลันพลิกคว่ำ
คนผู้นั้นงงงันไประลอกหนึ่ง พลันตะโกนก้องเสียงหนึ่งแล้วหันกายหลบหนี
ความกล้าหาญในการก้าวสู่ความตายของคนมักจะเป็นเพียงชั่วพริบตาหนึ่ง พออารมณ์เร่าร้อนระลอกนั้นผ่านไป สิ่งที่หลงเหลืออยู่ย่อมเป็นความหวาดกลัวที่มีต่อความตายกับความอาลัยอาวรณ์ที่มีต่อการมีชีวิต
พระปลอมไม่ได้ไล่ตาม หันกายผลักรถม้าลงริมทาง หันกลับมาสวมรองเท้า นั่งยองลงล้วงทรัพย์สินบนร่างกายของสองคนที่ถูกรองเท้าฟางกระแทกจนสลบไสลออกมายัดเข้าไปในถุงผ้าตาเหลียน[1]ของตนเอง จากนั้นบีบจมูกของเจ้าสองคนนั้นไว้
ลมหายใจถูกอุดไว้ สองคนค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา
“โยมสองท่านฟื้นแล้วหรือ?” พระปลอมเอ่ยอย่างซื่อตรงกับไอ้ดวงซวยที่สองตางงงันสองคนว่า “อาตมาเพิ่งรับบิณฑบาตจากพวกเจ้า ตั้งใจเรียกพวกเจ้าให้ฟื้นขึ้นมาบอกกล่าวเสียงหนึ่ง ขอบใจในความกรุณาลึกซึ้ง โยมกระทำกรรมดีสะสมบุญบารมี จะต้องได้รับความสุขความเจริญอย่างรวดเร็วเป็นแน่ อมิตพุทธ”
เอ่ยจบฉวยมือตบเพียงครั้ง ตบคนจนสลบไสลไปอีกครั้งแล้วโยนไปในท่อระบายน้ำใต้ดินริมทาง
เขาสะพายถุงผ้าตาเหลียน เรือนร่างลอยเหินไล่ตามรถคันที่สองทันอย่างรวดเร็ว กระทำตามการ “บิณฑบาต” อย่างนุ่มนวลแลเมตตาได้สำเร็จ
ยามเข้าใกล้บริเวณใจกลางตรอกหลิวหลี เขาไล่ตามรถคันที่สาม ทว่าพลันขมวดคิ้ว
…
ทหารม้าชุดเหลืองนำพาผู้ใต้บัญชามุ่งไปเบื้องหน้าตลอดทาง
ใต้สะโพกเขาต่างเป็นม้าพันธุ์ดี ไล่ตามไม่นานเพียงใดก็มองเห็นรถม้าหัวท้ายเชื่อมต่อกันแถวหนึ่งเบื้องหน้า ทหารม้าชุดเหลืองไม่ได้ลงมือโดยพลัน กลับนำธนูกับลูกธนูบนหัวไหล่ลงมา โก่งธนูพาดลูกศรแล้วน้าวจนกลายเป็นเดือนเพ็ญ ปลายลูกศรชี้ตรงไปยังรถม้าเบื้องหน้าอย่างมั่นคง แม้ม้าพันธุ์ดีใต้สะโพกวิ่งห้ออย่างดุเดือด ทว่าเขาไหล่ตรงเอวตั้ง ท่วงท่าดุจเหล็กกล้า
ผู้ใต้บัญชาต่างผุดเผยสีหน้าเลื่อมใสออกมาจากใจจริง…น้าวธนูยิงศรทุกคนทำได้ ทว่าท่ามกลางการวิ่งห้อยังมั่นคงดุจกระนั้นได้ กำลังแขนเช่นนี้เพียงพอจะยิ้มเยาะเหล่าวีรบุรุษ
ไล่ตามไประยะหนึ่ง เบื้องหน้าคือโค้งใหญ่โค้งหนึ่ง รถม้าปรากฏการเอนเอียงอย่างเป็นธรรมชาติยิ่งนัก รถม้าคันที่สามเอียงไปข้างทาง รถม้าคันที่สองผุดเผยสู่ทัศนวิสัย
“ฟิ้ว!”
ศรหนักพุ่งไปดุจกำปั้นหนักสะบั้นอากาศ ชั่วครู่นั้นแสงมืดมิดดุจอสนีบาตฟาดตามไป “เปรี้ยง” เสียงหนึ่งดังสะท้าน ข้างหลังรถม้าคันที่สองปรากฏหลุมหนึ่งหลุมฉับพลัน จากนั้นเสียงกรีดร้องดังขึ้น ลูกธนูพุ่งไปไม่หยุดยั้ง ทะลุผ่านรถม้า เฉียดผ่านแอกรถ ยิงถุงบรรจุหินเหล็กไฟร่วงหล่นแล้วยังคงไม่หยุดยั้ง ปลายธนูเชิดขึ้นปักเข้าไปในก้นม้าลากรถอย่างรุนแรง ม้าคำรามยืดยาวเสียงหนึ่งพลางพุ่งไปเบื้องหน้า ทั่วทั้งคันรถล้มลงดังครืน
รถคันที่สองเพิ่งพลิกคว่ำ รถม้าคันที่สามได้มาถึงแล้ว บนเส้นทางโค้งควบอาชาไม่ทัน พุ่งตรงชนกับรถม้าคันที่สอง รถม้าคันที่สามพลิกคว่ำดังครืนเสียงหนึ่งอยู่บนพื้นเช่นกัน คนในรถกลิ้งกลายเป็นกองเดียว
ทั้งไล่ตามรถ ทะยานศร สะบั้นหินเหล็กไฟร่วงหล่น ทำลายรถสองคันเพียงลูกธนูดอกเดียวระหว่างครู่นั้น!
ศรแห่งเดชานุราช!
การควบคุมโอกาสยิ่งไร้ที่ติ
ทหารม้าชุดเหลืองเหินกายขึ้น ควบอาชาเยื้องย่างบนรถม้าคันที่สาม กำลังจะยิงธนูใส่รถม้าคันที่หนึ่ง ข้างหน้าพลันมีประกายไฟผืนหนึ่งพุ่งมา สีหน้าเขาเกร็งแน่น รีบเร่งยื่นมือคว้าคบเพลิงคร่าชีวิตไว้ในมือ
เพียงหยุดชะงักเช่นนี้ รถม้าคันที่หนึ่งได้แล่นตะบึงออกไปแล้ว คนบนรถจิตใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่นัก ไม่ได้หันหน้ากลับมาตรวจสอบสภาพการณ์ของรถสองคันหลังด้วยซ้ำ มุ่งสู่เส้นทางแห่งความตายโดยตรง
“คุณชาย…” ผู้ติดตามของเขาทยอยตามมา เห็นสภาพการณ์แล้วลังเลเล็กน้อย
บุรุษชุดเหลืองยืนอยู่บนหลังคารถ ก้มหน้าเล็กน้อยมองดูตัวรถ โคลนลุ่มน้ำออกสีดำเหล่านั้นสาดแสงมันวาวเบาบางในความมืด ดุจแสงรุ่งโรจน์ลึกล้ำกลางนัยน์ตาเขายามพริบตาหนึ่งนี้
จากนั้นเขาเงยหน้าขึ้น สีหน้าสงบเงียบ
“ไล่ตามไม่ทันแล้ว” เขาเอ่ย หรี่ตาขึ้นเพียงน้อย ครู่หนึ่งนี้ใบหน้าองอาจผึ่งผายสง่าผ่าเผยของเขาพลันเกิดการเปลี่ยนแปลงประหลาด ทว่ายากจะบรรยายความรู้สึกนั้นให้ชัดแจ้ง เหล่าผู้ติดตามต่างก้มหน้าลงไปอย่างนอบน้อม
“ลิขิตฟ้า” เขาเอ่ย
…
“ฝ่าบาทหายตัวไป?” ภายในตำหนักอวี้จ้าว กงอิ้นวางสารในมือลง
อวี่ชุนก้มหน้าอย่างอับอายขายหน้า เอ่ยว่า “ขอรับ ยามนั้นฝ่าบาทอยู่บริเวณใกล้เคียง ทว่าไร้หนทางตามหาให้พบเจอ ยิ่งไปกว่านั้นร่องรอยการหายตัวสูญสลายไปอย่างรวดเร็วนัก ยามนี้เหล่าทหารยังคงค้นหาบริเวณโดยรอบ ข้าน้อยจึงมาขออภัยโทษจากนายท่าน…”
“นางหายตัวไปบริเวณใด?” กงอิ้นขัดวาจาของเขา
“ถนนใหญ่จิ่วกงตรอกซีเกอขอรับ”
กงอิ้นก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เอ่ยถามว่า “ยามนั้นบนถนนนั้นมีเรื่องราวพิเศษใดเกิดขึ้น?”
“คล้ายไม่มีเรื่องใด…” อวี่ชุนครุ่นคิดสักพัก เอ่ยอย่างไม่แน่ใจว่า “มีร้านค้าหนึ่งกำลังเลิกกิจการ ทว่าคล้ายฝ่าบาทไม่ได้ประชิดใกล้ร้านค้านั้น…”
กงอิ้นหันกายมองดูแผนที่ข้างหลัง บนแผนที่มีแผนภาพการกระจายของร้านค้าคฤหาสน์ของตระกููลขุนนางตระกูลใหญ่โตทุกตระกูลในตี้เกอ ตรอกซีเกอยิ่งหนาแน่น ทว่าไม่มีสัญลักษณ์ของตระกูลซัง
“นางไปแย่งชิงเงินแล้ว” ผ่านไปประเดี๋ยวเดียว กงอิ้นเอ่ยขึ้นมา
อวี่ชุนไม่รู้ว่าเจ้านายคาดคะเนออกมาได้อย่างไร ทว่าเชื่อมั่นการคาดคะเนของเจ้านายแน่วแน่
พอฟังดูแล้วคล้ายว่าเป็นเรื่องที่ราชินีจะกระทำออกมาได้
“ยามนั้นนางคงจะอยู่บนวัตถุที่กำลังขยับเขยื้อน…ม้า…ไม่…รถม้า ”
กงอิ้นมองดูเส้นทางสายนั้น สีหน้าค่อยๆ จริงจังหนักแน่น เอ่ยว่า “ถ่ายทอดคำสั่ง ประกาศภาวะฉุกเฉินทั้งเมือง ปิดล้อมประตูจิ่ว ให้เข้าได้ห้ามออกไป ตรวจสอบรถม้าทุกคันที่ผ่านมารวมทั้งออกจากเส้นทางถนนใหญ่จิ่วกง”
“ขอรับ”
อวี่ชุนรับบัญชาแล้วหันกาย กงอิ้นพลันเอ่ยอีกว่า “ประเดี๋ยวก่อน”
อวี่ชุนหันกาย
“ข้าไปกับเจ้าด้วย”
“ราชครู” อวี่ชุนตกอกตกใจ…ราชครูจะไปสถานที่เช่นถนนใหญ่จิ่วกงนั้นอย่างไม่สนใจสิ่งใดเช่นนี้หรือ?
เจ้านายตำหนักอวี้จ้าวออกตรวจราชการ นอกจากรับเสด็จราชินีแล้ว ยามอื่นต้องปิดล้อมป้องกันโดยเฉพาะ โดยเฉพาะสถานที่ฝูงชนหลั่งไหลหนาแน่นปะปนเช่นถนนใหญ่จิ่วกงนั้น อย่างน้อยที่สุดต้องแจ้งกองทหารประจำการล่วงหน้าครึ่งวัน
กงอิ้นรักนวลสงวนตนตลอดมาเช่นกัน คุณชายสูงศักดิ์ไม่อาจเสี่ยงอันตรายโดยง่าย ยามนั้นมีครั้งหนึ่งสงสัยว่าราชินีองค์ก่อนจะหายตัวไป เขายังคงอ่านหนังสือในห้องหนังสือตลอดบ่าย แลไม่ได้เดินออกจากจิ้งถิงไปค้นหาสักก้าว
อวี่ชุนมองดูเงาร่างที่เหินออกนอกประตูแล้วของเจ้านาย ส่ายหน้าเล็กน้อย
แตกต่างแล้ว…แตกต่างแล้วเอย…
…
หลังจากกงอิ้นกับอวี่ชุนนำองครักษ์หลงฉีจากไปไม่นาน ม้าดำตัวหนึ่งพุ่งตรงสู่ประตูตำหนักอวี้จ้าว
ทหารม้าชูป้ายบัญชาการอันหนึ่งขึ้นสูง ตะโกนจากไกลโพ้นว่า “ซื่อจื่อ[2]เผ่าเฉินเถี่ยขอพบราชครูฝ่ายขวา! มีเรื่องราวเร่งด่วนจะรายงาน!”
“ผู้มาถึงโปรดหยุดฝีก้าว!” องครักษ์บนกำแพงตะโกนลั่นว่า “ราชครูไม่อยู่ในตำหนักอวี้จ้าว! เชิญขอพบวันหลัง!”
ทหารม้าเงยหน้าขึ้นอย่างผิดหวังเล็กน้อย ชักม้าหันกลับอย่างเงียบเชียบ
…
รถม้าแถวหนึ่งกำลังแล่นกุกกักเข้าจวนราชครูฝ่ายซ้ายในส่วนลึกของตรอกซีเกอ
ในรถพลันแว่วเสียงเกียจคร้านว่า “หยุด”
สารถีหยุดรถ องครักษ์ข้างรถม้าประชิดใกล้ข้างม่านรถ
พอผ้าม่านเลิกขึ้น ผุดเผยใบหน้าที่มีรอยยิ้มเล็กน้อยของเหยียลี่ว์ฉี ปลายนิ้วเขาสัมผัสพู่ระย้าของม่านแผ่วเบา เอ่ยคล้ายครุ่นคิดบางสิ่งว่า “ก่อนหน้าคล้ายมองเห็นองค์ราชินีตรงตรอกซีเกอหรือ? อืม ไม่ได้เดินตลาดยามค่ำคืนมานานแล้ว พวกเราก็ไปดูกันสักหน่อย?”
…