รถม้าจอดตรงหน้าลานบ้าน ซย่าจื่อหรุ่ยนำหน้าลงจากรถไปเจรจาหารือกับคนของอีกฝ่ายที่เข้ามาต้อนรับ จิ่งเหิงปัวเมื่อลงจากรถแล้วมองดูรอบด้าน เห็นถนนเรียบเนียน กำแพงสูงทอดเหยียดยาว เรือนกว้างชายคาสูงมองแวบหนึ่งเห็นไม่ถึงอีกฝั่ง เป็นสภาพสงบเงียบของจวนตระกูลผู้ดีโดยแท้ นางพยักหน้าลงอย่างพึงพอใจ
วันนี้นางตระเตรียมแต่งกายแบบผู้ทำการค้าขายอย่างซื่อสัตย์เพื่อมาเริ่มต้นก่อตั้งกิจกยังารของตนเองในต้าฮวง ไม่ได้สวมกระโปรงของตนเองและไม่ได้สวมชุดชาววัง เพียงแต่งกายแบบสตรีต้าฮวงธรรมดา สวมหมวกม่านใบหนึ่ง สวมผ้าคลุมปิดหน้า หมู่นี้นางเปิดเผยตัวตนต่อหน้าสาธารณชนหลายครั้ง ก็กลัวว่าหากถูกคนจำได้ขึ้นมาแล้วจะโดนขึ้นราคาเอยอะไรเอย เช่นนั้นคงไม่ดีแน่
ฝ่ายผู้ขายเองก็ดูท่าทางมีมารยาทเหมาะสมเช่นเดียวกัน สมกับเป็นผู้ได้รับการอบรมสั่งสอนจากตระกูลใหญ่โต เพียงแต่บุรุษเสื้อคลุมยาวที่ยืนอยู่อีกทางนั้นกลับไม่ได้เอ่ยวาจาอะไรเลย สายตาที่จับจ้องมองจื่อหรุ่ยอยู่พาให้คนรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่จิ่งเหิงปัวก็แสดงออกว่าเข้าใจ ผู้ที่รับตำแหน่งขุนนางหญิงผู้ชี้นำในพระราชวังต้าฮวงได้ต่างเป็นสตรีที่เพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและสติปัญญา ขุนนางหญิงที่ได้รับการกล่อมเกลากิริยามารยาทสูงศักดิ์นานหลายปีเช่นจื่อหรุ่ยนี้ เพียงพอจะเป็นสตรีตัวอย่างได้ บุตรสาวผู้ดีมีสกุลธรรมดาคงเทียบไม่ติดแน่นอน เช่มนั้นย่อมทำให้คนอื่นจ้องมองกันยกใหญ่เป็นเรื่องปกติ
เมื่อมีจื่อหรุ่ยอยู่ข้างหน้า ยงเสวี่ยที่อายุน้อยหน้าตาไม่โดดเด่น จิ่งเหิงปัวสวมผ้าคลุมหน้า คนที่เหลือจึงไม่สนใจสองคนนี้อีก พวกอวี่ชุนไม่ได้อยู่ในบริเวณใกล้ๆ ตามความเคยชิน เพียงรอคอยอยู่ห่างๆ บริเวณโดยรอบ เพียงเจรจาเรื่องบ้านเรือน เบื้องลึกเบื้องหลังของตระกูลนี้ก็ชัดเจน คงจะไม่มีอันตรายใดแน่แท้
เมื่อเข้ามานั่งภายใน ยกน้ำชาสนทนา ก่อนหน้านี้ได้ตกลงราคาแล้ว เพียงยืนยันหลังจากพาจิ่งเหิงปัวมาเยี่ยมชม ตลอดทางที่เข้ามา จิ่งเหิงปัวพอใจต่อขนาดกับทัศนียภาพของลานบ้านอย่างยิ่ง ในใจวาดเค้าโครงพิมพ์เขียวของร้านถ่ายรูปที่ตกแต่งเสร็จสิ้นในอนาคตไว้นานแล้ว ซย่าจื่อหรุ่ยเห็นสีหน้านางก็รู้ว่าผ่านด่านแล้ว อมยิ้มเอ่ยกับพ่อบ้านโดยพลันแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อผู้ครองที่ดินอยู่ด้วย เช่นนั้นไม่สู้ลงนามหนังสือสัญญากันตรงนี้เถิด”
พ่อบ้านกำลังจะตอบรับ บุรุษหน้าขาวเสื้อคลุมยาวผู้นั้นพลันเอ่ยว่า “ช้าก่อน แม่นางท่านนี้ นายท่านของเรายังมีเงื่อนไขบางอย่างต่อการเช่าซื้อที่แห่งนี้”
ซย่าจื่อหรุ่ยมองไปทางเขาอย่างแปลกใจ พ่อบ้านกำลังจะแนะนำ ทว่าบุรุษนั้นห้ามปรามไว้ เพียงอมยิ้มเอ่ยกับซย่าจื่อหรุ่ยว่า “แม่นาง ข้าขอเอ่ยวาจาเป็นการส่วนตัว”
พ่อบ้านหดลำคอ ไม่เอ่ยวาจาแล้ว
อย่างไรเสียซย่าจื่อหรุ่ยเป็นผู้ที่ออกมาจากวัง ไม่ค่อยคุ้นเคยกับเรื่องทางโลกสักเท่าใด เมื่อได้ยินวาจาก็ไม่ได้คิดมาก เอ่ยกับจิ่งเหิงปัวว่า “ข้าจะไปดูสักหน่อย ประเดี๋ยวก็กลับมา” ก่อนจะเดินตามฝ่ายตรงข้ามออกไปแล้ว
ยงเสวี่ยมีสีหน้ากระวนกระวายเล็กน้อย นางกะพริบตาปริบๆ มองดูเงาด้านหลังของซย่าจื่อหรุ่ยแล้วลังเลไม่เอ่ยวาจาไปครู่หนึ่ง แม้จิ่งเหิงปัวจะรู้สึกว่าน่าประหลาดอยู่บ้าง แต่ก็คิดว่าฝ่ายตรงข้ามอาจจะมีความลับอะไรที่ยากจะเอ่ย ไม่อยากเอ่ยขึ้นมาต่อหน้าคนอื่นก็เป็นไปได้ นางเท้าคางอยู่เช่นนั้น ครุ่นคิดเรื่องตกแต่งบ้านเรือนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะฉวยมือยกน้ำชาบนโต๊ะขึ้นดื่มอีกครั้ง
พอครุ่นคิดได้อีกครู่หนึ่ง ก็พลันรู้สึกว่าเหตุใดทัศนียภาพเบื้องหน้าถึงมีภาพซ้อน? เหตุใดศีรษะกับหนังตายิ่งหนักขึ้น? อีกทั้งทำไมจื่อหรุ่ยถึงยังไม่กลับมา?
นางพยายามลืมตาขึ้นก็มองเห็นใบหน้าตื่นตะลึงของยงเสวี่ย ทิวทัศน์ฝั่งตรงข้ามคล้ายกระเพื่อมอยู่ในเงาน้ำ พ่อบ้านพาคนรับใช้ถอยออกไปไกลโพ้น
“แม่งเอ้ย…ยานอนหลับในตำนานไม่ได้มีรสเปรี้ยวหรอกเหรอ…” นางพึมพำประโยคหนึ่ง ก่อนจะล้มหัวทิ่มลงไป
…
ซ่า เสียงฝนตกหนักปานฟ้ารั่วรดลงจากบนศีรษะ แล้วพลันทอประกายแวววาว เปียกชุ่มโชก…
จิ่งเหิงปัวลืมตาขึ้นอย่างมึนงงมัวสลัว มองเห็นว่าเบื้องหน้ามีหญิงวัยกลางคนกับเด็กรับใช้ไม่กี่คนถืออ่างเปล่าไว้ เอ่ยด้วยท่าทางหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่นางว่า “ตื่นแล้วหรือ? ตื่นแล้วก็รีบไสหัวออกไป! หากช้าอีกหน่อย ข้าจะเอาไปโบยให้ถ้วน!” เมื่อเอ่ยจบแล้วก็ใช้น้ำอีกอ่างหนึ่งสาดใส่ยงเสวี่ยที่อยู่ข้างกายนางให้ได้สติขึ้นมา
จิ่งเหิงปัวที่ทั่วร่างเปียกโชกลุกขึ้นมา พบว่ายังดีที่ไม่ได้ถูกมัดไว้ เพียงแต่ร่างกายเปียกโชกไปจนหมด ผ้าคลุมหน้าเปียกแล้วแนบอยู่บนหน้าทำให้หายใจไม่สะดวก นางพลันดึงออกมาในครั้งเดียว แล้วซับน้ำบนใบหน้าออก
รอบด้านเงียบสงัดไปชั่วครู่ เหล่าหญิงวัยกลางคนกับเด็กรับใช้คล้ายถูกรูปโฉมของนางทำให้ตื่นตะลึง มองหน้ากันไปมา มีคนเอ่ยว่า “นี่! นึกไม่ถึงว่าที่นี่ยังมีสตรีโฉมงาม!”
จิ่งเหิงปัวเหลียวมองทุกสารทิศ ก่อนจะพบว่าที่นี่คล้ายเป็นสถานที่จำพวกห้องเก็บฟืน ดูจากทิวทัศน์ภายนอกแล้วยังคงเป็นลานบ้านเมื่อครู่นั้น
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น จื่อหรุ่ยเล่า?” นางขมวดคิ้วขึ้น
“คุณหนูคนนั้นของเจ้าน่ะหรือ” หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งยิ้มเยาะพลางเอ่ยว่า “นางบุกเข้ามาในจวนพวกเราโดยพลการ รบกวนคุณชายของจวนเรา ทำให้คุณชายจวนเราเจ็บปวดใจจนอาการกำเริบเกือบจะสิ้นชีพ ยามนี้นางสมัครใจอยู่ปรนนิบัติคุณชายจวนเราเพื่อชดใช้ความผิด ในจวนข้าจึงไม่สืบสาวเอาความผิดของพวกเจ้าอีก เร่งรีบเก็บกวาดข้าวของไสหัวกลับไปเถิด!”
“จวนเจ้าหรือ? จวนแห่งใด”
“จะเอ่ยออกมาก็กลัวเจ้าจะตกใจสิ้นชีพ!” หญิงวัยกลางคนว่าอย่างรำคาญ ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “บอกให้เจ้าไสหัวไปก็เร่งรีบไปสิ! คุณหนูบ้านเจ้าทำให้คุณชายจวนเราถูกตาต้องใจได้นับเป็นวาสนาของนางแล้ว หากไม่รีบไปอีก จะให้เจ้าอยู่ด้วยเจ้าเต็มใจหรือ?”
จิ่งเหิงปัวอยากจะหัวเราะออกมา แม่งเอ้ย! ต้าฮวงเป็นอะไรไปเนี่ย ทำไมไปไหนก็เจอพวกลูกผู้ดีมีเงิน?
เดิมทีนางอยากจะลงโทษคนรับใช้เหล่านี้เสียหน่อย ตอนนี้ฟังน้ำเสียงของหญิงวัยกลางคนคนนี้แล้ว แม้ว่าไม่ดีนักแต่ไม่มีเจตนาร้าย คงจะด้วยเพราะฝ่ายตรงข้ามมีกำลังมาก ไม่อยากให้นางใช้กำลังต่อต้านจนตนเองพัวพันเข้าไปด้วย
“เจ้าโชคดี” นางพยักหน้า แล้วกล่าวว่า “เป็นมนุษย์ดำรงจิตใจดีงามไว้หน่อย ย่อมมีทางรอดสักทาง”
ไม่รอให้หญิงวัยกลางคนที่รู้สึกประหลาดใจคนนั้นเริ่มด่าทอ นางก็เดินออกไปนอกห้อง จุดดอกไม้ไฟน้อยดอกหนึ่ง
แทบจะในทันทีนั้น เงาคนกะพริบวูบ อวี่ชุนพาลูกน้องตามมาถึงแล้ว มองเห็นทั่วร่างนางเปียกโชกภายในปราดเดียวก็อดจะตกอกตกใจไม่ได้ เอ่ยว่า “ฝ่า…”
“ไม่ต้องเอ่ยแล้ว จับคนเหล่านี้มัดไว้ให้หมด” จิ่งเหิงปัวชี้ไปยังคนรับใช้ที่ตะลึงลานเหล่านั้น กล่าวว่า “จื่อหรุ่ยถูกจับตัวไปแล้ว ถามหาเบาะแสของนาง”
ชั่วประเดี๋ยวเดียวหญิงวัยกลางคนกับเด็กรับใช้เหล่านั้นก็ถูกมัดไว้ทั่วพื้น ไม่รอให้พวกนางร้องโหยหวน ต่างคนต่างมีผ้าขี้ริ้วคอยปรนนิบัติ อวี่ชุนหิ้วหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งไปสอบสวนด้วยตนเองที่ฝั่งหนึ่ง ผ่านไปชั่วครู่จึงกลับมาด้วยสีหน้าลำบากใจ
“อะไรหรือ?” จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าท่าไม่ดีรำไร บนโลกนี้ยังมีเรื่องที่ลูกน้องของกงอิ้นไม่กล้าจัดการด้วยหรือ?
อวี่ชุนเอ่ยว่า “คนเหล่านี้ไม่ใช่คนรับใช้ของจวนผู้ใด แต่เป็นหญิงขายผักธรรมดาๆ แถวตลาดสดนี้ ต่างเอ่ยว่าเมื่อครู่ถูกคนขวางไว้แล้วให้เงินนิดหน่อย แล้วสั่งให้มายังที่นี่ สอนให้เอ่ยวาจาดังกล่าวนี้ ส่วนคนที่ให้เงินเป็นผู้ใด คุณชายนั่นคือผู้ใด ตระกูลนั้นคือตระกูลใด พวกนางไม่รู้ด้วยซ้ำ”
“ไม่ยาก” จิ่งเหิงปัวยิ้มเยาะ กล่าวว่า “ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่เจ้าเฒ่าหน้าขาวเสื้อคลุมยาวคนนั้นกระทำ ย่อมเกี่ยวข้องกับเจ้าของลานบ้านแห่งนี้แน่ นึกว่าหาคนไม่กี่คนตามตลาดมาแล้วจะลบล้างความผิดได้หรือ? หากตามหาคนที่ขายบ้านหลังนี้เจอก็ย่อมรู้ว่าเป็นผู้ใดแล้ว”
“ไม่ต้องตามหาก็เดาได้ ในวาจาของฝ่ายตรงข้ามมีช่องโหว่ ทั้งคุณชายป่วยไข้ ทั้งตระกูลขุนนางบริเวณนี้ ทั้งในจวนมีต้นกล้าขี้โรคเลื่องชื่อเอาแต่ตามหาสตรีจวนอื่นมีเพียงจวนเดียว” อวี่ชุนมีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไร เอ่ยขึ้นว่า “จวนเสนากองขุนนางของใต้เท้าจ้าวน่ะสิ”
“เช่นนั้นไปพาคนกลับมาเสียสิ” จิ่งเหิงปัวไม่ครุ่นคิดด้วยซ้ำ กล่าวว่า “ข้าไม่ไปเยี่ยมถึงจวนด้วยตนเอง เรียกให้พวกเจ้ามาจัดการแล้ว พวกเจ้าอืดอาดยืดยาดทำอะไรกัน?”
“องค์ราชินีของกระหม่อม” อวี่ชุนเอ่ยด้วยท่าทางหน้านิ่วคิ้วขมวด “พระองค์รู้ว่าท่านเสนากองขุนนางคือผู้อาวุโสในหมู่ลูกน้องของราชครูเราใช่หรือไม่”
“หา?” จิ่งเหิงปัวตาค้าง
เหตุใดถึงเจอกับลูกน้องของเขาตลอดเลย?
ทว่ากล่าวอีกแบบหนึ่ง ขณะนี้ทั่วทั้งแว่นแคว้น ส่วนใหญ่ต่างเป็นคนของกงอิ้น อัตราที่เดินวนเวียนมั่วซั่วแล้วจะเจอสักคนสูงเหลือเกิน
“ใต้เท้าจ้าวคือผู้อาวุโสสามรัชกาล คือผู้ไว้ใจใกล้ชิดของราชครูท่านก่อน ก่อนหน้านี้พระองค์ตรัสว่าไม่เคยพบมาก่อน ด้วยเพราะช่วงนี้เขาลาป่วยพักอยู่จวนตลอดมา ลาป่วยและไม่ใช่ป่วยไข้ขึ้นมาจริง เพียงกระทำการต่อต้านอย่างนุ่มนวลกับราชครูเท่านั้น” อวี่ชุนเอ่ยสืบต่อว่า “หากเอ่ยว่าเฉิงกูมั่วเป็นตัวแทนของกำลังทางทหารที่สนับสนุนราชครู เช่นนั้นใต้เท้าจ้าวย่อมเป็นตัวแทนของกลุ่มขุนนางฝ่ายบุ๋นที่สนับสนุนราชครู เพียงแต่ใต้เท้าจ้าวกับเฉิงกูมั่วแตกต่างกัน ใต้เท้าจ้าวมีคุณวุฒิเก่าแก่ ตำแหน่งสูงส่ง ยามราชครูท่านก่อนยังมีชีวิตนั้น เขาก็แก่กะโหลกกะลาขึ้นมามากแล้ว ยามราชครูรับตำแหน่ง แท้จริงแล้วเขาคือผู้แอบคัดค้านอยู่เบื้องหลัง หลังจากราชครูดำรงตำแหน่งมั่นคงจึงถอดถอนตำแหน่งรองเสนาบดีแต่เดิมของเขาแล้วเปลี่ยนเป็นเสนาบดีกองขุนนาง เขาเก็บความเคียดแค้นอยู่ในใจเสมอเช่นกัน ทว่าผู้อาวุโสสามรัชกาลเช่นเขารับหน้าที่ผู้ดูแลการศึกษาของแคว้นมานานหลายปี ขุนนางกว่าครึ่งในราชสำนักส่วนมากเป็นลูกศิษย์ของเขา ซ้ำภายนอกยังมีท่าทางสองมือสะอาดบริสุทธิ์คุณธรรมสูงส่งเสมอ ได้รับความนับหน้าถือตาจากแวดวงปัญญาชนและเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นยิ่งนัก ฉะนั้นแม้รู้แน่ชัดว่าความคิดของเขาไม่บริสุทธิ์ความประพฤติของเขาไม่ดีงาม ภายใต้สภาพการณ์ที่ยังไม่ได้กุมจุดอ่อนจุดใหญ่ไว้ ราชครูก็ไม่สะดวกจะแตะต้องเขา ฉะนั้น…”
อวี่ชุนเดาะลิ้น มีวาจาบางประโยคไม่ได้เอ่ยออกมา ระบบบุ๋นบู๊คือเสาเอกของราชครู หากเป็นแต่ก่อน จ้าวซื่อจื๋อกล้าแตะต้องขุนนางหญิงของราชินี จัดการได้ก็จัดการไป ถือโอกาสลงโทษเจ้าผู้ชราที่มีวาจาซ่อนอยู่ในใจความคิดไม่แน่นอนคนนี้สักหน่อยพอดี ทว่ายามนี้ได้ล่วงเกินเฉิงกูมั่วฝ่ายทหารแล้ว ทหารคั่งหลงไม่มั่นคง หากล่วงเกินพรรคพวกขุนนางฝ่ายบุ๋นอีก เกรงว่าตำแหน่งราชครูจะได้รับผลกระทบ
ในฐานะผู้ไว้ใจใกล้ชิดของกงอิ้น อวี่ชุนไม่อยากให้ราชครูสร้างศัตรูในช่วงเวลาที่มีปัญหาเหล่านี้อีก ไม่ว่าอย่างไรต้องรอให้ทหารคั่งหลงมั่นคงแล้วค่อยเอ่ยกันคราวหลัง
พอจิ่งเหิงปัวได้ฟังวาจาเช่นนี้แล้วก็รู้สึกได้ทันทีว่าไม่ควรให้พวกอวี่ชุนยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ กงอิ้นจะได้ไม่ลำบาก
ทว่าอวี่ชุนคงจะไม่ให้นางไปช่วยเหลือตัวคนเดียวแน่นอน ดังคาดการณ์ นางพลันได้ยินอวี่ชุนเอ่ยว่า “โปรดให้กระหม่อมรายงานราชครูก่อน…”
“ได้สิๆ” จิ่งเหิงปัวเหลียวซ้ายแลขวา ฉวยมือชี้ไปยังลานบ้านที่เห็นคันทวยชายคาแห่งหนึ่ง กล่าวว่า “จวนเสนากองขุนนางอยู่ตรงลานบ้านแห่งนั้นใช่หรือไม่เล่า”
“นั่นคือ…” อวี่ชุนกำลังครุ่นคิดว่าเรื่องนี้ควรแอบเคลื่อนไหวช่วยคนก่อนหรือรายงานราชครูก่อน โพล่งปากตอบไปประโยคหนึ่ง จากนั้นตระหนักได้ เอ่ยว่า “นั่นคือกำแพงข้างหลังที่ติดกับจวนราชครูฝ่ายซ้าย…อ้าวคนเล่า!”
เขาเบิกตามองกำแพงว่างเปล่าเบื้องหน้า พบอย่างโศกเศร้าว่าองค์ราชินีหนีไปอีกแล้ว
“พวกเจ้ากลุ่มนั้นกลับวังไปรายงานนายท่านโดยพลัน” อวี่ชุนเอ่ยเสียงดังว่า “ส่วนพวกเจ้ากลุ่มนี้ตามข้ามา เยี่ยมเยียนจวนเสนาบดีกองขุนนาง!”