พอเดินออกนอกห้อง หญิงรับใช้ที่พานางเข้าเรือนก็ยืนอยู่ตรงระเบียง จิ่งเหิงปัวพลันร้อง “เอ๊ะ” เสียงหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “เหตุใดข้าถึงได้ยินเสียงร้องไห้รำไร?”
“ที่ใดกัน” หญิงรับใช้มีสีหน้าเปลี่ยนไป มองไปยังทิศทางหนึ่งปราดหนึ่งโดยสำนึก เอ่ยว่า “ฮูหยินท่านคงจะหูฝาดเสียแล้ว”
“โอ้ คงกระนั้น” จิ่งเหิงปัวใช้วาจาสองสามคำไล่นางไป กล่าวกับลูกน้องของเหยียลี่ว์ฉีหลายคนนั้นว่า “เฝ้าที่นี่ให้ดี อย่าให้ผู้อื่นเข้ามา”
นางเดินกลับไปในห้อง เรือนร่างกะพริบวูบหายไป
…
“อ๊าก!” ในห้องงดงามห้องหนึ่ง ผู้อ่อนวัยป่วยไข้ผิวขาวซีดหน้าผากเขียวคล้ำล้มกายลงบนหมอน เงยหน้าขึ้นฟ้า สองตากลอกขึ้นหอบหายใจถี่กระชั้น ร้องว่า “ตก…ตก…ตกใจแทบแย่!”
“นายน้อย! นายน้อย!” สาวใช้และหญิงรับใช้ฝูงใหญ่ฝูงหนึ่งพุ่งเข้าไป ผู้ที่เทน้ำก็เทน้ำไป ผู้ที่นวดหน้าอกก็นวดหน้าอกไป ผู้ที่ตบหลังก็ตบหลังไป ร้องว่า “ไม่เป็นไรแล้ว! ไม่เป็นไรแล้ว! ท่านค่อยๆ หายใจ! ท่านค่อยๆ หายใจ!”
พลั่ก! หญิงรับใช้นางหนึ่งยกเท้าเตะสตรีชุดม่วงที่ยิ้มเยาะอยู่หน้าเตียงล้มลงบนพื้น ร้องว่า “นังสารเลว! กล้าตั้งใจข่มขวัญนายน้อย!”
สาวใช้กลุ่มหนึ่งต่างมีสีหน้าโกรธแค้น…เมื่อครู่ฮูหยินให้คนส่งสตรีนางนี้มาให้นายน้อยดูว่าถูกใจหรือไม่ หากชื่นชอบจะได้รับไว้ ด้วยเพราะสตรีนางนี้ไม่ได้ร้องห่มร้องไห้เฉกเช่นคนเหล่านั้นที่หามาในครั้งก่อนหน้า หลังจากฟื้นคืนสติไม่เอ่ยวาจาแม้แต่คำเดียวท่าทางเชื่อฟังยิ่งนัก ทุกคนต่างนึกว่าสตรีนี้เกรงกลัวอำนาจบารมีของจวนเสนาบดีกองขุนนาง ซ้ำยังพอใจความหรูหรามั่งคั่งในจวน ยินยอมพร้อมใจน้อมรับโชคชะตา จึงไม่ได้ระแวดระวังให้มากนัก ยอมให้นางเดินไปหน้าเตียงนายน้อย
ผู้ใดจะรู้ว่าความอ่อนโยนขวยอายก่อนหน้าของสตรีนางนี้พลันสูญสลายในพริบตาที่มองเห็นนายน้อย หลังจากยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว นางก็พลันกัดลิ้นพ่นโลหิตใส่นายน้อย!
โลหิตปลายลิ้นสาดกระเซ็นเฉกเช่นดอกเหมยเละเทะ ทั่วทั้งใบหน้าของคุณชายเสนากองขุนนางที่อ่อนแอด้วยป่วยไข้มีกลิ่นคาวโลหิตบดบังดวงตาสองข้าง คุณชายร่ำรวยป่วยด้วยโรคหัวใจที่ถูกเลี้ยงดูประคบประหงมอย่างดีผู้นั้นเปล่งเสียงร้องโหยหวยออกมา ดวงตากลอกขาวเพียงครั้ง ตกใจจนสลบไสลไปทั้งอย่างนั้นแล้ว
ซย่าจื่อหรุ่ยล้มอยู่บนพื้น ไร้ซึ่งสีหน้าหวาดกลัว ยิ้มเยาะไม่หยุดหย่อน
แม้ว่านางอยู่ในสภาพโกรธแค้นจนตรอก ทว่ายังคงยืดลำตัวตรง ขาสองข้างชิดกัน นางถูกอบรมสั่งสอนจากพระราชวังมาหลายปี แม้ยามตกอับยังคงไม่เปลี่ยนแปลงท่าทาง
การรักษาความบริสุทธิ์ด้วยวิธีต่างๆ เป็นวิชาบังคับของขุนนางหญิงในพระราชวังเช่นกัน ฉะนั้นแม้ปลายลิ้นพ่นโลหิตนั่นดูท่าทางน่ากลัว ทว่าบาดแผลบนลิ้นไม่นับว่าหนักหนาสาหัส เพียงแต่เอ่ยวาจาไม่ค่อยสะดวกชั่วคราว นางจึงยิ้มเยาะ เชิดขากรรไกรล่างขึ้น ท่าทางไม่ยอมให้ศักดิ์ศรีของขุนนางหญิงของราชินีตกต่ำเพราะตนเองในที่นี้
ท่าทางสูงศักดิ์ที่หาได้ยากปานนี้ของนางกลับทำให้เหล่าหญิงรับใช้และสาวใช้ที่ยังอยากเข้ามาเตะต่อยเหล่านั้นเกิดความหวาดกลัวในจิตใจ คนรับใช้ของตระกูลใหญ่โตย่อมตามีแววอยู่บ้าง ส่วนใหญ่รู้สึกว่าสตรีนางนี้ไม่เหมือนผู้มีชาติตระกูลสามัญจึงไม่อยากเสนอหน้า มีผู้ที่เอ่ยอย่างเคียดแค้นว่า “เรื่องนี้จะต้องรายงานฮูหยิน จัดการลงโทษนังสารเลวนางนี้ให้เต็มที่!”
มีผู้ที่รีบเร่งวิ่งไปรายงานโดยพลัน พอฮูหยินจ้าวที่อยู่ในลานด้านหลังได้ยินดังนั้นก็เขวี้ยงสะดึงปักดอกไม้ที่อยู่ในมือดัง พลั่ก เสียงหนึ่ง
“อาจหาญนักนะ! ไม่ยอมก็ไม่ยอมสิ กล้าข่มขวัญบุตรชายข้าได้อย่างไร!” ฮูหยินเสนากองขุนนางที่มีใบหน้าผอมแห้ง มีลักษณะของผู้ปากจัดเลือนราง หว่างคิ้วขมวดสูง หนาวเหน็บดั่งมีไอสังหาร
“สตรีต่ำทรามเช่นนี้ไม่คู่ควรจะเป็นอนุภรรยาในจวนเสนาบดีกองขุนนางของข้า! ลากออกไป ส่งไปในห้องนายท่าน เอ่ยว่าซื้อสาวใช้มาแต่นางไม่เชื่อฟัง รบกวนให้นายท่านสั่งสอนสักหน่อย ประเดี๋ยวค่อยขายนางออกไป!”
“เจ้าค่ะ!”
…
เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวกะพริบวูบเข้าไปในลานบ้านแห่งหนึ่งอีกครั้ง ลานบ้านแห่งนี้ค่อนข้างเปล่าเปลี่ยว บริเวณโดยรอบไร้ผู้คน น่าจะเป็นสถานที่ซึ่งใช้กระทำเรื่องเลวร้ายโดยเฉพาะ
พอนางยืนได้อย่างมั่นคงก็แอบร้องว่าแย่แน่ นางไม่ได้ควบคุมน้ำหนักให้ดี หายตัวแล้วเข้ามาในลานบ้านเลย บังเอิญว่าขณะนี้ ในลานบ้านนี้กำลังมีคนเดินออกมา
จิ่งเหิงปัวรีบหันหลังในทันที ยืนหันหน้าเข้าหากำแพงตรงที่ใกล้กับหลังประตู แล้วก้มหน้าลง
ผู้ที่เอ่ยวาจากำลังมีความโกรธแค้นพวยพุ่ง และไม่ได้สังเกตว่าทางข้างหน้ามีคนเพิ่มมาอีกหนึ่งคน เดินไปพลางสั่งการไปพลาง
“สตรีต่ำทรามนางนั้นกล้าข่มขวัญบุตรชายข้า นับว่าอาจหาญไม่น้อย ส่งให้นายท่านย่อมต้องระวังไว้ มัดนางให้แน่นหน่อย!”
“ฮูหยินวางใจเถิดเจ้าค่ะ ต้องทำให้นางขยับเขยื้อนไม่ได้แม้แต่นิ้วมือนิ้วเดียว” ยายแก่นางหนึ่งก้มหน้าเดินตาม สีหน้าประจบสอพลอ
สองคนก้าวไปข้างหน้าไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น ขณะที่กำลังจะก้าวออกจากประตู ฮูหยินนางนั้นก็พลันหยุดฝีก้าว ขมวดคิ้วหันหน้ามองดูจิ่งเหิงปัวที่ถลกแขนเสื้อยืนหันหลังให้นาง เอ่ยว่า “เจ้าเป็นสาวใช้ของลานบ้านใด พบข้าแล้วยังกล้าหันหลังให้อีก หันมา! เงยหน้าขึ้นมา!”
จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้น หันกลับมามองดูฮูหยินเสนากองขุนนาง กะพริบตาครั้งหนึ่ง
“โอหัง! พบข้าแล้วยังกล้าไม่โค้งกายคำนับ!” ฮูหยินเสนากองขุนนางเดือดดาลนัก
“โอ้” จิ่งเหิงปัวรีบเร่งโค้งกายคำนับ ฮูหยินเสนากองขุนนางเชิดหน้าขึ้น
พลั่ก! กระถางดอกไม้ที่มีดินอยู่เต็มพลันเหินทะยานขึ้น สะบัดกลางอากาศดุจดั่งมีคนกวัดแกว่ง กระแทกบนท้องของฮูหยินเสนากองขุนนางอย่างรุนแรง!
“อึ่ก…” ฮูหยินเสนากองขุนนางเจ็บจนร้องไม่ออกด้วยซ้ำ นางกุมท้องไว้ ทั่วทั้งร่างเอวงอดุจกุ้งแห้ง
“อืม การคำนับครั้งนี้ทำได้เข้าท่านัก” จิ่งเหิงปัวพยักหน้า หันหน้าครั้งหนึ่ง ร้องว่า “อย่าหนี!”
หญิงรับใช้ที่ความรู้สึกว่องไวมากนางนั้นวิ่งออกไปได้สามก้าวแล้ว โก่งคอขึ้นกำลังจะร้องขอความช่วยเหลือ
พลั่ก! กระถางดอกไม้ที่กระแทกฮูหยินเสนากองขุนนางลอยกลับหัวขึ้นมา กระแทกใส่ศีรษะของหญิงรับใช้นั้นปานฟ้าแลบ
กระถางดอกไม้ปะทะเข้ากับศีรษะ เสียงกร๊อบแผ่วเบาที่เปล่งออกมาฟังแล้วน่าหวาดกลัว หญิงรับใช้ยังไม่ทันได้เปล่งเสียงร้องโหยหวน ก็พลันล้มลงดังตุบแล้ว
“เจ้า…เจ้าคือผู้ใด…” ฮูหยินเสนากองขุนนางเจ็บปวดอยู่ระลอกหนึ่ง ฝืนใจหวังค้ำยันกายขึ้นมา
จิ่งเหิงปัวถีบเข้าตรงท้องนางในเท้าเดียว ตำแหน่งเดียวกับที่กระถางดอกไม้กระแทกใส่เมื่อครู่ ถีบจนเรือนร่างผอมแห้งของฮูหยินเสนากองขุนนางกลิ้งไปครั้งหนึ่ง จนกระแทกกับกำแพงข้างหลังดังพลั่ก
จิ่งเหิงปัวฉวยมือใส่กลอนประตู หันกาย ถลกแขนเสื้อ ทุบตี!
“เจ้ามันสมควรตาย! มอบสตรีนางใดก็ไม่รู้ให้นายท่านเรื่อยเปื่อย! ไม่รู้หรือว่าคุณหนูสามชื่นชอบนายท่าน! เจ้ามันสตรีขี้อิจฉา ไม่เอ่ยว่าช่วยเหลือให้สมหวัง ซ้ำยังชอบหาเรื่องทำลาย วันนี้ข้าจะถีบเจ้าให้ตายระบายความโกรธแทนคุณหนูสามของข้า!” จิ่งเหิงปัวถีบนางไปหลายครั้งหลายคราว ทุกครั้งต่างถีบตรงบริเวณที่กระถางดอกไม้นั้นกระแทกใส่
“เจ้าคือ…สาวใช้ของเย่ว์เหยียน…” ฮูหยินเสนากองขุนนางลืมตาไม่ขึ้น กุมท้องไว้เกลือกกลิ้งทั่วพื้น กระซิบกระซาบเสียงแผ่วเบาอย่างเหลือเชื่อ
“คุณหนูสามรักนายท่านอยู่นะ เจ้าไม่รู้หรือ? หรือว่าเจ้ารู้ทว่าแสร้งทำเป็นไม่รู้? เจ้าไม่ยอมให้คุณหนูสามสมหวังด้วยเพราะนางเป็นน้องสาวของเจ้ามิใช่หรือ? น่าสงสารคุณหนูสามร้องไห้อยู่ในห้องทุกวัน ยังต้องหันหน้ามาฝืนยิ้มแย้มให้เจ้า ซ้ำยังต้องเห็นเจ้าช่วยหาสตรีให้นายท่านครั้งแล้วครั้งเล่า! เจ้าหาสตรีมามากมายขนาดนั้น เหตุใดถึงไม่อาจช่วยให้คุณหนูสามสมหวัง? พี่สาวน้องสาวร่วมสามีเดียวกันมีสิ่งใดไม่ดีหรือ หา? มีสิ่งใดไม่ดีหรือ? วันนี้ข้าพลีชีวิตนี้ จะทำให้เจ้าเข้าใจแจ่มแจ้งว่าคุณหนูสามไม่ใช่ผู้ที่รังแกได้โดยง่ายขนาดนั้น! เก็บใบหน้าพี่น้องจอมปลอมของเจ้าไป!” ขณะนี้จิ่งเหิงปัวเรียบเรียงฉากน้ำเน่าที่ ‘น้องสาวรักพี่เขยเกลียดพี่สาวไม่ยอมช่วยให้สมหวัง’ ฝ่าเท้าถีบรุนแรงเต็มกำลัง ตามเตะฮูหยินเสนากองขุนนางจากกำแพงฝั่งนี้ไปยังกำแพงฝั่งนั้น ตะโกนอย่างเปี่ยมด้วยพลังว่า “วันนี้ข้าพลีชีวิตนี้ระบายความอัดอั้นตันใจแทนคุณหนูสาม อีกทั้งสตรีนางนั้น! สตรีนางนั้นอาจหาญให้ท่านายท่าน! นายท่านเอ่ยไว้แล้วแท้ๆ ว่าประเดี๋ยวจะตบแต่งคุณหนูสามเป็นอนุภรรยา! ถึงคราวให้สตรีไร้หัวนอนปลายเท้าเหล่านี้ไปปรนนิบัตินายท่านได้อย่างไรกัน! เอ่ยมา! นางอยู่ที่ใด?”
“ข้าง…ข้าง…ข้างหลัง…” ภรรยาเสนากองขุนนางเพียงขอให้นางรามือ เร่งรีบชี้ทาง หลบอยู่มุมกำแพงสั่นเทาไปพลางขู่เข็ญไปพลาง เอ่ยว่า “เจ้า…เจ้ากล้าเตะข้า…ประเดี๋ยวนายท่านของข้าจะมาแล้ว…”
“มาก็ดี จะได้เจอของดีด้วยกัน” จิ่งเหิงปัวยิ้มอย่างดุร้าย
วันนี้นางโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว!
ตระกูลจอมทำลายล้างตระกูลนี้ ส่งให้บุตรชายแล้วยังส่งให้ตาเฒ่าอีก!
ฮูหยินเสนากองขุนนางกลอกตาขาวสลบไสลไปแล้ว จิ่งเหิงปัวลากทั้งสองคนเข้าห้องด้านข้างมั่วซั่ว วิ่งเข้าห้องหลัก
…
บนสันกำแพงนิ่งงันเป็นรูปปั้นดินรูปสลักไม้กองหนึ่ง
ผ่านไปครู่ใหญ่
“อีชี รีบหยิกข้าสักครั้ง บอกข้าหน่อยว่าข้ายังมีชีวิตอยู่…โอ๊ยเจ้าหยิกแรงขนาดนี้เพื่ออะไรกัน!”
“เจ้ามีชีวิตอยู่อย่างดียิ่ง สีโลหิตสวยสดงดงาม ผิวบางเนื้อสดนุ่ม พอหยิกเพียงครั้งย่อมหลั่งโลหิต วางใจ เจ้าอายุยืนกว่าไอ้อาจารย์แก่หนังเหนียวมากนัก”
“ทว่าข้ารู้สึกว่ายิ่งติดตามองค์ราชินีนานเข้า ข้ายิ่งอายุขัยสั้นลง…เมื่อครู่นางนั้นคือองค์ราชินีหรือ? คือองค์ราชินีนางนั้นในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จหรือ”
“ใช่สิ ภรรยาข้าน่าเกรงขามนัก! สง่างามนัก หลอกลวงเก่งนัก! ทุบตีเก่งนัก!”
…