เดิมนึกว่าสายโด่งแล้วเหมิงหู่จะขวางนางไว้ เหล่าองครักษ์จะค่อยๆ ปรากฏกายรบกวนโลกของสองเรา หรือไม่กงอิ้นก็อาจจะทานอาหารเช้าไปแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าพอนางก้าวข้ามประตูข้างเข้าไปอย่างรีบร้อนก็มองเห็นจิ้งถิงเงียบสงัด กงอิ้นแต่งกายเรียบง่าย กำลังยืนดูปลาอยู่เบื้องหน้าอ่างปลาทองแดงแปดเหลี่ยมขนาดมหึมาในลานบ้าน
เสียงฝีเท้าของนางดังตึ่กตั่กๆ เขาคล้ายจะไม่รับรู้ ทว่าบนพื้นโต๊ะข้างกายกลับมีชาโสมร้อนผ่าววางอยู่
นางวิ่งไปข้างหลังเขาดังตึ่กตั่กๆ เขย่งเท้าขึ้นกำลังจะยื่นมือสองข้างออกไป เขาก็พลันหลบไปยืนด้านข้าง แล้วเอ่ยว่า “เจ้ายังเช็ดมือไม่สะอาดด้วยซ้ำ คิดจะทำอะไร”
จิ่งเหิงปัวกลอกตาขาวครั้งใหญ่…ชอบทำลายบรรยากาศแบบนี้ตลอดเลย! ก่อนจะนำสองมือเช็ดบนแผ่นหลังของเขาทั้งหลังมือทั้งฝ่ามือเสีย
กงอิ้นหงายมือกุมมือของนางไว้ ก่อนจะฉวยมือหยิบผ้าเช็ดมือที่อยู่ข้างหนึ่งมาเช็ดมือให้นางทุกซอกทุกมุม แล้วเอ่ยว่า “อากาศเย็นแล้ว เจ้าสัมผัสน้ำเย็นทำอะไรกัน เมื่อใดเจ้าถึงจะหยุดก่อเรื่องได้?” เขาวิจารณ์ไปพลางปลายนิ้วดีดบนฝ่ามือนาง ท่าทางดูไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย ทว่ามือที่เย็นเยียบของจิ่งเหิงปัวกลับอุ่นขึ้นมาในทันที
“ท่าทางนี้ของเจ้าไม่ถูกต้อง” จิ่งเหิงปัวไม่เกรงใจเช่นกัน คว้าฝ่ามือของเขาไว้ในครั้งเดียว ก่อนจะนำมากุมไว้บนฝ่ามือของตนเอง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็กุมฝ่ามือเขาจนกลายเป็นก้อนเดียว ห่อหุ้มมือของตนเองไว้ แล้วเอ่ยว่า “นี่แน่ะ เจ้าควรจะทำเช่นนี้ กุมมือของข้าไว้แล้วถูมือให้ข้า อบอุ่นเพียงใด น่าซาบซึ้งเพียงใด ใกล้ชิดเพียงใด คล้ายซีรีส์เกาหลีเพียงใด…”
นางเงยหน้ามองดูส่วนสูงของเขาแล้วเปรียบเทียบกับส่วนสูงของตนเอง เสียใจอยู่บ้างว่าความแตกต่างของความสูงที่น่ารักที่สุดนั้นไม่เพียงพอ ต้องโทษตัวนางเองที่สูงเกินไป
กงอิ้นชักมือกลับ กวาดตามองนางปราดหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ไร้สาระ” ก่อนฉวยมือประคองชาโสมบนโต๊ะขึ้นมา ปลายนิ้ววัดอุณหภูมิข้างถ้วยให้พอเหมาะแล้วจึงส่งให้นาง เอ่ยว่า “ดื่มสิ”
จิ่งเหิงปัวกำลังพูดจนคอแห้ง นางก็ฉวยมือรับมาดื่ม แล้วกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ข้าเองก็ได้ตระเตรียมความรักมามอบให้เจ้าด้วยล่ะ”
พอนางเงยหน้าขึ้นโดยไม่ตั้งใจก็มองเห็นใบหน้าที่ก้มลงมาของกงอิ้นพอดี นัยน์ตาสีดำขลับของเขาทั้งแน่วแน่ทั้งสงบเงียบ จ้องมองถ้วยของนาง เห็นสีหน้ายามดื่มน้ำแกงของนางดูตั้งอกตั้งใจ นั่นคือความอ่อนโยนที่ไร้วาจาอีกแบบหนึ่ง ท่ามกลางความสนใจโดยละเอียดทุกชั่วขณะ
ในใจนางรู้สึกดีอกดีใจ วางถ้วยลงแล้วโอบคอของเขาไว้ กระซิบข้างหูเขาว่า “น้ำแกงโสมหอมเหลือเกิน เจ้าก็ลองชิมด้วยสิ?”
กงอิ้นจ้องมองริมฝีปากสีแดงฉ่ำเล็กน้อยของนาง ท่าทางแบะขึ้นมาเล็กน้อยดั่งการเชื้อเชิญโดยไร้สรรพเสียงประโยคหนึ่ง ระหว่างริมฝีปากกำจายกลิ่นหอมของโสมเจือจาง ซ้ำยังมีกลิ่นหอมประหลาดทว่ายั่วยวนหอบหนึ่งพัดมา สายลมแผ่วเบารอบด้านต่างคล้ายย้อมด้วยกลิ่นอายแห่งวสันต์ อ่อนนุ่มและวนเวียนด้วยเพราะเหตุนี้
เขาชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเบนสายตาออก น้ำเสียงยังคงเฉื่อยเนือยทว่าเสียงคล้ายแหบแห้งขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้ายังไม่ได้อาบน้ำสินะ?” ว่าพลางขยับเขยื้อนเรือนร่างหลบลี้ไปหลังพุ่มดอกไม้พุ่มหนึ่ง
จิ่งเหิงปัวกะพริบตา
อ้าวเฮ้ย เจ้าปากร้ายรังเกียจข้าไปพลางขยับเขยื้อนไปยังพุ่มไม้ไปพลาง บอกเป็นนัยว่าข้าจะอาละวาดแบบไหนกันแน่เหรอ?
ยอมรับว่าเจ้าก็คิดเหมือนกันมันจะตายเหรอไง
จอมหยิ่งทระนงปากไม่ตรงกับใจ!
เดิมทีพี่แค่อยากจะแทะโลมเจ้า แต่ตอนนี้ไม่คิดจะปล่อยเจ้าไปแล้ว!
นางเขย่งเท้าขึ้น คว้ามหาเทพที่ทั้งอยากผลักนางออก ทั้งหักห้ามใจผลักออกไม่ได้ อีกทั้งกังวลว่าตอนนี้เป็นเวลากลางวันแสกๆ ทั้งคิดจะขยับไปซ่อนกายในพุ่มไม้ไว้ในครั้งเดียว กลีบปากแบะขึ้นดุจกลีบผกา “จุ๊บ” จูบไปหนึ่งครั้งอย่างรวดเร็ว
“ไม่ได้แปรงฟัน ไม่ได้ล้างหน้า เจ้าดมแล้วได้กลิ่นใด หากรู้สึกว่าไม่หอมเจ้าก็จุมพิตข้าคืนได้ อย่างไรเสียเจ้าก็ไม่ได้แปรงฟันไม่ได้ล้างหน้า ข้าก็ไม่ถือสาเจ้าหรอกนะ” นางยิ้มแย้มกล่าวจบในรวดเดียวอย่างรวดเร็ว กะพริบตามองดูเขา
กงอิ้นกำลัง…มองหมู่เมฆ
สายตาสูงล้ำข้ามผ่านเหนือศีรษะนาง จ้องมองเมฆล่องลอยไกลโพ้นก้อนหนึ่ง สีแดงอ่อนบนหลังหูและแก้มสองข้างผืนนั้นคล้ายยิ่งชัดเจนมากขึ้น
“ยังไม่ไปอาบน้ำอีก? ประเดี๋ยวหากพลาดการประชุมราชการเจ้าก็ไม่ต้องคิดจะมาเข้าร่วมอีกเลย”
จิ่งเหิงปัวเบ้ปาก…เล่ห์เหลี่ยมที่ต้องมีทุกครั้งหลังจากมหาเทพเขินอาย…เอ่ยการงาน แสร้งทำเป็นปกติ
“วันนี้เป็นวันพักอาบ[1] เหล่าขุนนางใหญ่ไม่ทำงานนะเจ้าลืมหรือ?” นางหัวเราะฮิๆ ได้มองเห็นใบหน้าของมหาเทพแดงซ่านอย่างเก้อเขินอีกครั้งสมปรารถนา
แต่นางรู้สึกว่าแบบนี้โคตรน่ารักเลย! หูแดงโคตรน่ารัก แก้มแดงโคตรน่ารัก สายตาเหลียวซ้ายแลขวาผิดจากสภาพปกติน่ารักโคตร ท่าทางเรือนร่างแหงนไปข้างหลังแต่เท้าโน้มมาข้างหน้ายิ่งน่ารักไปใหญ่
ไม่รู้ว่าบนเตียงน่ารักหรือเปล่า…จิ่งเหิงปัวดึงเส้นผมอย่างขุ่นเคือง…มหาเทพเปลี่ยนรหัสประตูใหญ่แล้ว ถึงขนาดตั้งฉากกั้นประหลาดผืนหนึ่งในตำหนัก การหายตัวที่ไปได้ทุกหนทุกแห่งของนางนั้นกลับถูกขวางไว้ แอบย่องเข้าไปหลายครั้งต่างประสบพบเจอสิ่งประหลาด บางครั้งคือความมืดมิดดำขลับกลุ่มหนึ่งพาให้ใจนางเกิดความหวาดกลัว เร่งรีบหายตัวออกไป บางครั้งคือความขาวโพลนมัวสลัวผืนหนึ่ง มองอะไรไม่เห็นเลย นางจึงไม่กล้าก้าวเข้าไปมั่วซั่ว บางครั้งเหมือนดั่งน้ำทะเลผืนหนึ่ง นางมองไปแล้วเกิดความหวาดกลัว จะยังกล้าก้าวเข้าไปได้อย่างไร
ในใจนางรู้ว่านี่คงจะจัดอยู่ในกับดักประเภทภาพลวงตาที่เข้าควบคุมความคิดจิตใจ แต่ด้วยเพราะเสมือนจริงเหลือเกิน ในจิตใต้สำนึกเลยไม่ยอมเสี่ยงอันตราย ส่งผลให้การหายตัวใช้ไม่ได้ ได้แต่ละทิ้งความปรารถนาที่จะโถมทับเจ้าคนนั้นอย่างหดหู่
จริงเลยแฮะ นางลูบจมูก รู้สึกว่ามหาเทพไร้เหตุผลเกินไปแล้ว ราชินีแต่งงานกับราชครูได้ พี่ก็ยอมแต่งงานกับเจ้าได้ ดูท่าทางนั้นของเจ้าแม้ไม่พูดออกมา แต่คงยอมแต่งงานกับพี่แน่นอน ทำไมถึงไม่ยอมให้พี่ลองเข้าหอสักหน่อยล่ะ? หรือกลัวว่าลองแล้วไม่ไหวขึ้นมาพี่จะทอดทิ้งเขา?
จิ่งเหิงปัวเบิกตาโพลงอย่างตื่นตระหนก…เฮ้ย ไม่! หรอก! มั้ง?
พอกงอิ้นหันหน้ามาก็พลันมองเห็นบนใบหน้าของใครบางคนมีสีหน้าหลากหลายซ้ำไปซ้ำมาด้วยทั้งคลุมเครือทั้งอึมครึมทั้งอัปลักษณ์ทั้งหวาดผวาทั้งกังวล สีหน้านั้นพัฒนาไปถึงขั้นสุดท้ายกลายเป็นหลุบตาต่ำ กวาดสายตาผ่านบางแห่งของเขากลับไปกลับมาอย่างต่อเนื่อง เขาพลันมีท่าทางเร่งรีบคว้าโล่ป้องกันตัวขึ้นมาปกป้องตั้งแต่ใต้ช่วงเอวไว้…
จิ่งเหิงปัวกลัดกลุ้มอยู่เนิ่นนาน รู้สึกว่าเรื่องบางเรื่องยังจำเป็นอย่างยิ่ง คราวหน้าค่อยลองดูใหม่ละกัน…
อื้ม ก่อนหน้านั้น อย่าได้รีบร้อนเกินไป อย่าทำให้เขาตกใจจนหลบซ่อนขึ้นมา…
พอคิดจนมั่นใจแล้ว นางปรับเปลี่ยนสีหน้า
“แปรงฟันๆ วันนี้ข้านำของดีมาให้เจ้าด้วย”
นางนำถุงโปร่งแสงใบหนึ่งออกมาจากข้างหลังดั่งมอบของขวัญล้ำค่า เขย่าไปมาให้เขาเห็น กล่าวว่า “เจ้าต้องชื่นชอบเป็นแน่!”
แววตาของกงอิ้นทอดลงบนถุงนั้น ถุงใบนี้แปลกประหลาดยิ่งนักเช่นเดียวกับสิ่งของแปลกประหลาดทุกชิ้นที่นางมีอยู่ ดูโปร่งแสงทั้งผืน เกลี้ยงเกลาและอ่อนนุ่ม คล้ายหนังทว่ามิใช่หนัง มองไม่ออกว่าเป็นวัสดุใด มองเห็นได้ว่าภายในมีของหลายอย่าง ประกอบด้วยของทรงกระบอกอ่อนนุ่มสีสันสดใสหลอดหนึ่ง แปรงสีฟ้าอ่อนที่มีขนแปรงตรงหัวด้ามด้ามหนึ่ง หวีสีขาวที่ทำจากวัตถุดิบพิเศษเล่มหนึ่ง กล่องเล็กหลากสีแข็งๆ กลมๆ กล่องหนึ่ง ซ้ำยังมีขวดทรงโค้งสีขาวขวดน้อยสองขวด
จิ่งเหิงปัวประคองชุดอุปกรณ์อาบน้ำเพียงหนึ่งเดียวของตนเองไว้ สีหน้าบนใบหน้าดูล้ำค่า นางไม่ได้เจ็บปวดใจ แต่หากจะนำออกมาให้มหาเทพใช้ นางยังคงรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง
ตอนแรกที่หลบหนีออกจากสถาบันวิจัยนั้น ท่าทางการเก็บสัมภาระของทั้งสี่คนแตกต่างกันไป จิ่งเหิงปัวจำได้ว่าจวินเคอยัดเสื้อผ้าไปเยอะที่สุด นางไม่ค่อยสนใจสิ่งของอย่างอื่นเท่าไรนัก แค่กังวลว่าออกไปแล้วจะไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าใส่ ในกระเป๋าผ้ายีนใบเล็กทั้งใบส่วนใหญ่จึงเป็นเสื้อผ้า ไท่สื่อหลันมีนิสัยแข็งกร้าว รังเกียจทุกสิ่งของสถาบันวิจัย คิดอย่างแน่วแน่ว่าหลังจากตนเองออกไปจะพึ่งสองมือแย่งชิงทุกสิ่งมาได้ ฉะนั้นในกระเป๋าใบเล็กจึงมีสิ่งของไม่กี่อย่างยัดไว้อย่างมั่วซั่วเท่านั้น แต่สุดท้ายแล้วก็ยังยัดไม่เต็ม ส่วนเหวินเจินนางจำไม่ได้แล้ว แต่มองเห็นรำไรว่านางยัดกระทะเข้าไปในถุงใบใหญ่นั้นของนาง…ส่วนนางเอง กระเป๋าใหญ่ที่สุด สิ่งของเยอะที่สุด มีของทุกสิ่งอย่าง จนแทบอยากจะย้ายทรัพย์สินในสถาบันวิจัยไปให้หมด แต่เพราะเสื้อผ้ากินพื้นที่ไปครึ่งใหญ่ เสื้อผ้าบางชิ้นยัดเข้าไปไม่ลง อีกทั้งยังโยนไปให้ไท่สื่อหลันกับจวินเคอเล็กน้อย
นางคงเป็นเพียงคนเดียวในกลุ่มที่พกชุดอุปกรณ์อาบน้ำมาด้วย ด้วยเพราะนางคิดว่าคืนแรกอาจจะหาโรงแรมไม่ได้…เพราะทั้งสี่คนไม่มีบัตรประชาชน
ขณะนี้ชุดอุปกรณ์อาบน้ำชุดนี้จึงกลายเป็นของล้ำค่าเพียงหนึ่งเดียวในต่างโลก นางรู้สึกว่าจำเป็นต้องนำออกมาแบ่งปันกับเขาด้วย
“นี่คือสิ่งใดกัน” กงอิ้นหยิบของทรงกระบอกนั้นขึ้นมาบีบอยู่ชั่วครู่ รู้สึกคล้ายว่าภายในมีของเหลวข้น มองดูลักษณะภายนอกแล้ว แลดูสงสัยอักษรจีนตัวย่อ[2]ที่เขียนว่าคอลเกตสองอักษรนั้น สีหน้าคล้ายกลัดกลุ้มอยู่บ้าง
คงจะคิดไม่ออกว่าเหตุใดบนโลกนี้ยังมีอักษรที่ตนเองไม่รู้จักสินะ?
“นี่ๆ อย่าบีบ ถ้าล้นออกมาเสียดายของ” จิ่งเหิงปัวกำลังอยากจะหัวเราะเยาะเขา เมื่อมองเห็นเขาออกแรงบีบก็รีบเร่งหยิบแปรงสีฟันขึ้นไปรับยาสีฟัน
กงอิ้นได้ใช้นิ้วมือรับไว้แล้ว เขาดมกลิ่นชั่วครู่ ก็รู้สึกว่าหอมหวานสดชื่น พาให้คนเจริญอาหารยิ่งนัก
จิ่งเหิงปัวไม่รับแล้ว ยิ้มตาหยีมองดู ดูท่าทางมหาเทพอาจจะคิดว่านี่คือของกิน กินเข้าไปสิ กินเข้าไปนางจะได้หัวเราะเยาะเขาไปชั่วชีวิตแล้วฮ่าๆๆ นางได้รับแรงกดดันจากสติปัญญาของเขามาเกินพอแล้วฮ่าๆๆ
สีหน้าบนใบหน้าของนางดูตื่นเต้นดีใจเกินไป สายตาบริสุทธิ์แวววาวของกงอิ้นชำเลืองมองเพียงครั้ง มือก็พลันหยุดชะงัก
สตรีนางนี้ คงไม่ได้มีเจตนาดีอีกแล้วกระมัง?
ไม่คิดบ้างหรือว่าเขามีสถานะระดับใด จะมีนิสัยนำของประหลาดเข้าปากมั่วซั่วจริงหรือ?
“ของกินหรือ” เขาถาม นำยาสีฟันเข้าใกล้ข้างริมฝีปาก หางตาชำเลืองมองแววตาเปล่งประกายของนาง
“เจ้าลองดูสิ” นางตอบอย่างเจ้าเล่ห์
เขาพยักหน้า วางนิ้วมือลง นางกำลังอยากจะหัวเราะลั่น เขาก็พลันยื่นนิ้วอย่างรวดเร็ว ป้ายยาสีฟันลงบนใบหน้าของนาง!
เสียงหัวเราะหยุดลงในทันใด
“ฮะ…”
แค่นี้ยังไม่ยอมเลิกรา นิ้วมือเขาป้ายต่อเนื่องอยู่หลายครั้ง วาดรอยหลายรอยบนใบหน้านาง
“ข้ารู้สึกว่าไม่ใช่ของกิน อาจจะเป็นครีมไข่มุกของเจ้า” เขาป้ายเสร็จก็เอ่ยด้วยใบหน้าจริงจังกับนางว่า “สีขาวราวหิมะสดใสนุ่มลื่น เจือด้วยกลิ่นหอมเล็กน้อย ดูแล้วไม่เลวเลย รู้สึกอย่างไรบ้าง?”
อย่างไรบ้างน้องสาวแกสิ ปวดใจ!