ประตูใหญ่ของตำหนักบรรทมราชินีถูกเปิดออกอย่างเชื่องช้า
จิ่งเหิงปัวหันหลังเหลียวมองก่อนก้าวขึ้นบันได นางมองไม่เห็นเงาร่างของกงอิ้นท่ามกลางศีรษะมนุษย์ที่คลาคล่ำ
“อย่ามองเลย” มุมปากของจ้าวซื่อจื๋อคือรอยยิ้มใคร่ครวญ เอ่ยว่า “ให้ราชครูอำลาสตรีสุดที่รักของเขานั้นคงโหดร้ายยิ่งนัก ข้าคิดว่าเขาคงไม่มาแล้ว”
“นอกจากองครักษ์ที่คุมตัวราชินีอยู่ องครักษ์ที่เหลือโปรดอย่าได้ตามเข้าไป” เฟยหลัวเรียกร้องให้เหล่าองครักษ์ถอยไป เพราะกลัวว่าเมื่อปิดประตูตำหนักแล้ว พวกตนเองนี้จะถูกลูกน้องของกงอิ้นสังหารเข้า
เหล่าองครักษ์คล้ายได้รับการกำชับจากกงอิ้น ยืนอยู่นอกประตูตำหนักเช่นนั้น เปิดประตูตำหนักทิ้งไว้กว้าง
จิ่งเหิงปัวหันหลังกลับไป เดินเข้าสู่ภายในประตูตำหนัก แวบแรกก็พลันมองเห็นจื่อหรุ่ยยืนอยู่ข้างประตู แสดงความเคารพต่อนาง
“ขุนนางหญิงขั้นหนึ่งซย่าจื่อหรุ่ย ถวายบังคมองค์ราชินี”
ซย่าจื่อหรุ่ยคล้ายไม่ได้มองเห็นรอยยิ้มเสียดสีของเหล่าขุนนาง สุขุมนอบน้อมดั่งวันวาน ยามโค้งกายกระโปรงบานไม่ขยับเขยื้อนแม้เพียงน้อย มารยาทชาววังสมบูรณ์พร้อมเป็นที่สุด
จิ่งเหิงปัวจ้องมองนาง เพียงชั่วพริบตานี้ก็มีหลากหลายความรู้สึกผสมผสาน
ยามอันตรายทุกข์ยากพบเห็นความจริงใจ
แต่ไหนแต่ไรมาการให้ทั้งหลายของนาง มีเพียงอยู่ท่ามกลางฝูงชนเล็กน้อยถึงได้รับการตอบแทน
“ขุนนางหญิงที่จงรักภักดีเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่อายุวัฒนะด้วยกันกับราชินีอย่างจงรักภักดีเล่า?” มีคนเอ่ยขึ้นด้วยอารมณ์แปรปรวน
“จื่อหรุ่ยมีความคิดเช่นนี้พอดี” ซย่าจื่อหรุ่ยขยับชุดกระโปรงให้เรียบร้อย เอ่ยตอบไปอย่างสงบนิ่ง
เกิดความนิ่งเงียบในชั่วพริบตาหนึ่ง
ทุกคนที่ไม่สนใจใยดีหันหน้ามา พินิจมองขุนนางหญิงขั้นหนึ่งที่มีอนาคตยาวไกลนางนี้อย่างจริงจังปราดหนึ่ง ก่อนจะมองจิ่งเหิงปัวที่มุมปากผลิแย้มรอยยิ้ม ดวงเนตรผ่องอำไพอีกปราดหนึ่ง
ในดวงตาเหล่าของขุนนางฉายแววยากจะเข้าใจ คิดไม่ออกว่าจิ่งเหิงปัวที่เป็นเพียงราชินีที่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ เพียงไม่กี่เดือนนี้กลับทำให้ขุนนางหญิงที่หยิ่งผยองสำรวมใจเช่นนี้ได้อย่างไร?
สตรีนางนี้มีเสน่ห์ที่ยากจะอธิบายแบบหนึ่ง ทำให้คนเชื่อถือพึ่งพาอาศัย ยินยอมเลื่อมใสศรัทธาตอบแทน หากให้นางเจริญเติบโต อนาคตอาจจะเป็นสตรีจอมฉวยโอกาสที่เสนอความคิดความอ่าน ทั่วโลกหล้าเชื่อฟัง
โชคดีที่น้ำใจไมตรีของนางนั้นทุ่มเทไปผิดที่ กลับใส่ใจราษฎรที่ต่ำต้อยไร้ประโยชน์เหล่านั้นจนเกินไป
ทุกคนหัวเราะเยาะ ต่างรู้สึกว่าทั้งถากถางทั้งยินดี
ทว่าเมื่อมองสตรีสองนางที่กำลังมองหน้าสบตากันท่ามกลางหิมะ ดวงพักตร์สงบเงียบงดงาม สายตาคล้ายมีแสงน่าครั่นครื้น ก็พลันรู้สึกขึ้นมาว่าตนเองอัปลักษณ์ต่ำต้อย ในใจอดจะเกิดความโกรธเคืองขึ้นมาไม่ได้ เดินไปข้างหน้าก้าวใหญ่ ฝีเท้าสับสนปนเปกัน เบียดจื่อหรุ่ยไปฝั่งหนึ่ง ก่อนจะผลักจิ่งเหิงปัวให้เดินไปยังตำหนักหลวง
ก่อนที่จิ่งเหิงปัวจะถูกผลักไป นางเพียงทันได้ส่งสัญญาณมือให้จื่อหรุ่ย
…
ชุ่ยเจี่ยรออยู่สักพักก็ได้ยินยงเสวี่ยที่อยู่ข้างนอกคล้ายร้อง “โอ๊ย” ออกมาอย่างเลือนราง ในใจก็ตื่นตระหนก ลุกขึ้นยืนมองไปข้างนอก
นางเดินไปยังข้างหน้าต่าง มองไม่เห็นสิ่งใดผ่านสายลมหิมะมัวสลัวทั้งนั้น
ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเจ้าหมาโง่ที่อยู่ข้างหลังร้องประหลาดออกมา มันเอ่ยว่า “เสี่ยวอวิ๋นร์”
ชุ่ยเจี่ยหยุดชะงัก จากนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ รีบหันหลังโดยพลัน
ทว่าก็สายไปเสียแล้ว
หลังเอวถูกค้ำยันด้วยวัตถุแข็งเย็นเยียบ ไอหนาวมุ่งสู่ไขกระดูก นางรู้ว่านั่นก็คือกริชที่คมกริบเล่มหนึ่ง
เสียงคุ้นเคยดังอยู่ข้างหลังไหล่นาง หัวเราะแผ่วเบาพลางเอ่ยว่า “ชุ่ยเจี่ยร์ ข้าก็รอพวกเจ้ามานานแล้ว”
…
จิ่งเหิงปัวก้าวเข้าตำหนักหลวงของวังบรรทมราชินี
ก่อนนางจะเข้าไป เฉิงกูมั่วก็ได้พาลูกน้องตรวจสอบภายในตำหนักใหญ่อย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดปกติถึงอนุญาตให้นางเข้าไป
นางค่อยๆ เดินไปบนพรมขนยาวสีแดงเข้มลายอักษรร่ำรวยมีวาสนาหมื่นอักษร ข้ามบันไดหน้าตำหนัก ผ่านบันไดหยก เหนือศีรษะคือบัลลังก์ราชินีที่ประดับด้วยทองและหยกปูด้วยเบาะรองลายปัก
เมื่อก้าวผ่านธรณีประตูแล้ว นางก็รั้งกระโปรงบานขึ้นเล็กน้อย
ไม่มีผู้ใดมองเห็นว่าที่ข้างหลังธรณีประตู เงาสีม่วงผืนหนึ่งกลับกะพริบเข้าสู่ใต้กระโปรงบานของนางอย่างเงียบเชียบ
กระโปรงบานแผ่สยายยาว คดเคี้ยววกวนตลอดทางขึ้นบันไดหยก นางนั่งลงบนบัลลังก์ ขยับกระโปรงบานให้เรียบร้อย มือที่ถูกมัดไว้เท้าคาง มองดูประตูตำหนักอย่างเกียจคร้าน
เหล่าขุนนางทยอยตามเข้ามา ต่างคนต่างยืนประจำตำแหน่งตามความเคยชิน หากไม่ใช่เพราะบรรยากาศเคร่งขรึมเย็นยะเยือกโอบล้อมนางไว้ สถานการณ์เช่นนี้ดูคล้ายราชินีกำลังเสด็จออกว่าราชการอยู่หลายส่วน
หลังจากยืนนิ่งแล้ว ทุกคนก็พลันนึกถึงปัญหาข้อหนึ่งขึ้นมาได้
ผู้ใดจะขึ้นไปถวายยาพิษ?
ใช้องครักษ์ของกงอิ้นก็ไม่วางใจ ใช้ขุนนางหญิงของราชินีก็ไม่วางใจ แล้วจะใช้ตนเองหรือ? ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมา ก็พลันนึกถึงความมหัศจรรย์มากหลายของราชินี นึกถึงยามนางที่พลันปรากฏกายเบื้องหน้าบุตรชายสมุหพระกลาโหมเฉิงปานภูตพราย แล้วสูญสลายไปปานภูตพรายหน้าพระราชวังเมื่อครู่
ด้วยวิธีการอัศจรรย์เกินคาดเดาของราชินีอาจจะไร้หนทางต่อต้านคนจำนวนมากนี้ ทว่าสังหารสักคนสองคนที่ก้าวขึ้นไปบีบบังคับนางยังคงมีความเป็นไปได้ยิ่งนัก
จนยามนี้นางก็ยังไม่รีบร้อนไม่โศกเศร้า แสดงท่าทางแปลกประหลาด ทำให้ความระแวดระวังในใจของทุกคนยิ่งเพิ่มมากขึ้น ต่างรู้สึกว่าแม้การสังหารราชินีเป็นเรื่องสำคัญ ทว่าคนมากมายขนาดนี้อยู่ที่นี่ เรื่องนี้ย่อมกระทำโดยผู้อื่นได้ ไม่จำเป็นต้องให้ตนเองรับหน้าที่วีรบุรุษนี้
มองท่าทางของราชินีแล้ว เป็นไปได้ยากว่านางเองจะยอมสิ้นชีพ
เป็นไปตามนั้น จิ่งเหิงปัวนั่งอยู่บนบัลลังก์ กระหวัดนิ้วมือ แล้วกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ผูกคอตายก็อัปลักษณ์เกินไป ข้าไม่อยากสิ้นชีพเช่นนั้นให้พวกเจ้าห็น ผู้ใดจะถวายยาพิษขึ้นมาให้เจิ้น?”
ทุกคนมองดูนาง ในใจหนาวสะท้านขึ้นมาอยู่บ้าง ต่างรู้สึกว่าไม่ว่าสตรีนางนี้จะวางแผนอย่างไรไว้ในใจ ยามนี้นางก็ยังคงสุขุมเย่อหยิ่งเช่นเคย นี่ถึงเป็นความดุดันที่แท้จริง
“หึๆ ผู้บัญชาการเฉิงเป็นวีรบุรุษผงาดฟ้า ซ้ำยังหวังรีบเร่งชำระล้างความแค้นที่สังหารบุตรชาย เรื่องนี้ต้องเป็นผู้บัญชาการเฉิงสิ!” จ้าวซื่อจื๋อเสนอเฉิงกูมั่วโดยพลัน
เฉิงกูมั่วเคยชินกับการต่อสู้ ไม่รู้สึกสะทกสะท้านต่อแรงกดดัน เขาก็ก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่งจริงๆ
แค่เพียงก้าวเดียว
นกกระเรียนทองแดงหน้าบันไดบัลลังก์พลันร่วงหล่น ลอยมาทางหน้าผากของเขา!
เฉิงกูมั่วตกใจรีบก้าวถอย นกกระเรียนทองแดงร่วงลงพื้นเสียงดังเคร้ง แล้วกลิ้งออกไปไกลโพ้น
เฉิงกูมั่วไม่กล้าขยับเขยื้อนอีก เงยหน้ามองจิ่งเหิงปัวอย่างตกตะลึง
จิ่งเหิงปัวที่อยู่บนบัลลังก์หุบยิ้มลงแล้ว มือเท้าคางโน้มตัวเล็กน้อย นัยน์ตาเย็นชาคู่หนึ่งจ้องมองเขาเขม็ง ไม่เห็นความเฉิดฉายดุจแสงอาทิตย์ เห็นเพียงความเย็นชาและไอสังหาร
พริบตาหนึ่งดุจเทพเจ้า
“ผู้ต่ำต้อยยังต้องเก็บร่างกายที่มีประโยชน์นี้ไว้สืบทอดความรุ่งเรืองของตระกูลเฉิงเรา” เฉิงกูมั่วพลันร่นถอยก้าวหนึ่ง ปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา เอ่ยสืบต่อว่า “ไม่สู้ใต้เท้าจ้าวไปเถิด”
“ข้านี้มิใช่ว่าเดินเหินไม่สะดวกหรอกหรือ หากเป็นเช่นนั้น รบกวนน้องเฉิงช่วยเหลือสักหน่อย?” จ้าวซื่อจื๋อมองดูนกกระเรียนทองแดงนั้นแล้วเอ่ยชื่อคนหนึ่งที่มีคุณสมบัติต่ำต้อยที่สุดในตำหนัก
“ข้า…ข้า…” บุตรชายสมุหพระกลาโหมเฉิงถูกการปรากฏกายปานภูตพรายของราชินีก่อนหน้านี้ทำให้ตกใจจนขวัญกระเจิงเสียตั้งนานแล้ว ยามนี้แม้นางกำลังยิ้มแย้ม แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าน่ากลัวน่าสยดสยอง จึงถอยไปข้างหลังอย่างแผ่วเบา
ส่วนพวกเซวียนหยวนจิ้ง กลับยืนอยู่ทางฝั่งหนึ่ง ทักทายกันราวกับไม่เกี่ยวข้องกับตนเองเนิ่นนานแล้ว
จิ่งเหิงปัวยิ้มเยาะมองดูท่าทางของขุนนางสูงส่งฝูงนี้อยู่ข้างบน ผลักดันเข้าสิ เกี่ยงกันเข้าสิ ข้าก็มองพวกเจ้าอย่างทะลุปรุโปร่งตั้งแต่แรกแล้ว สิ่งที่ต้องการก็คือให้พวกเจ้าเป็นเช่นนี้!
ใต้กระโปรงบานของนาง
เฟยเฟยกำลังยุ่งเหยิงวุ่นวาย พรมน้ำปัสสาวะของตนเองบนฝากระถางธูปใบน้อย จากนั้นก็ยกฝาขึ้นครอบลงบนกระถางธูป
ไอควันในกระถางธูปลอยผ่านฝาชุ่มชื้น ยามลอยวกวนออกมาอีกครั้ง ก็เปลี่ยนจากเดิมที่เป็นสีขาวบริสุทธิ์กลายเป็นสีเขียวเจือจาง
ควันสีเขียวสายหนึ่งค่อยๆ ลอยออกมาจากใต้กระโปรงบานของจิ่งเหิงปัวอย่างเชื่องช้า
จิ่งเหิงปัวจ้องมองประตูตำหนักที่ปิดสนิทแน่น รอยยิ้มเยาะเย้ยกะพริบวูบผ่านในแววตา
สักพักไอควันนี้ก็น่าจะทำให้ทุกคนเคลิบเคลิ้มได้ นางจะพาทุกคนเข้าสู่ตำหนักบรรทมของตนเอง
ตำหนักบรรทมของราชินีคือพื้นที่ส่วนตัว ตอนเหล่าขุนนางมีสติจะไม่เข้าไปตามใจชอบ แต่ภายใต้สภาพเลอะเลือนคงเข้าไปได้แล้ว
นางอยากให้พวกเขาได้ชื่นชมใต้ตำหนักบรรทมของตนเองสักหน่อย ความงดงามของฟ้าดินวิเศษผืนหนึ่งนั้น
รอให้พวกเขาได้ชื่นชมแล้ว ความคิดที่อยากฆ่านางอาจจะเปลี่ยนแปลงไป นางเตรียมเลียนแบบกงอิ้นสักหน่อย ให้พวกเขาลงนามข้อตกลงที่จำเป็นต้องปฏิบัติตามเช่นกัน
ตอนนี้ เพียงแค่รอให้ไอควันสำแดงฤทธิ์เท่านั้น
เมื่อแววตาของนางเฉียดผ่านภายในตำหนัก ก็พลันรู้สึกว่าผิดปกติอยู่บ้าง
เหมือนว่าขาดใครไปสักคน
…