วันต่อมา คนในจวนทั้งห้าก็ไปเยี่ยมบ้านตระกูลเมิ่งที่หมู่บ้านนอกเมืองเป่ยเฉิง
ในฐานะที่เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเป็นจอหงวนฝ่ายบุ๋นและบู๊ หวงฝู่ซวิ่นได้ประทานจวนให้ แต่ทั้งสองไม่ยอมไปอยู่ ยังคงกลับมาอยู่กับทุกคนในบ้านตระกูลเมิ่งที่หมู่บ้านแห่งนี้
เมิ่งจงจวี่และเหล่าเมิ่งซื่อมีอายุมากขึ้นทุกวัน พวกเขาจึงชอบคนเยอะเพราะครึกครื้นกว่า จึงไม่ได้ห้ามพวกเขา ต่อมา เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้ก็กลับมาอยู่ หมู่บ้านจึงครึกครื้นมากขึ้นกว่าเดิม
แต่วันนี้ หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามาในจวน ก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างไปจากเดิมมาก ในบ้านเงียบเหงาไร้ซึ่งเสียงผู้คน บรรยากาศก่อนหน้านี้ที่มีเด็กๆ วิ่งวุ่นไปทั่วเรือนและเสียงหัวเราะรื่นเริงของผู้ใหญ่ที่ดังไปทั่วกลับไม่มีแล้ว มีแต่ความเงียบอย่างไม่มีที่สิ้นสุดมาแทนที่ แม้แต่บ่าวรับใช้ยังต้องเขย่งเท้าเวลาเดิน เพื่อไม่ให้เกิดเสียงดัง
เมื่อสาวใช้นางหนึ่งเห็นพวกเขา พลันแสดงสีหน้าดีใจ และเดินเข้ามาถอนสายบัวคารวะ
“คนในบ้านอยู่กันหรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากถาม
สาวใช้พูดตอบเสียงต่ำ “อยู่เจ้าค่ะ อยู่เรือนของนายท่านเมิ่งเจ้าค่ะ”
ทั้งห้าคนมาถึงเรือนของเมิ่งจงจวี่
บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความหดหู่ เสียงอันชราภาพของเมิ่งจงจวี่ดังออกมาจากในห้อง “ชิงเอ๋อร์ ความชอบธรรมมาเป็นอันดับหนึ่งสำหรับปู่เสมอ ภพชาตินี้ปู่ไม่เคยเห็นแกตัวเลย แต่วันนี้ปู่อยากเห็นแก่ตัวสักครั้ง ปู่จะขอร้องซื่อจื่อให้ไปช่วยไปพูดขอให้เจ้าอยู่เมืองหลวง อยู่กับพวกเรา ดีไหม”
น้ำเสียงของเมิ่งจงจวี่เต็มไปด้วยความวิงวอน นี่คือสิ่งที่ไม่เคยได้เห็นจากตัวเขา
เสียงของเมิ่งชิงก็ดังจากในห้อง “ท่านปู่ โปรดให้อภัยหลานอกตัญญูคนนี้ด้วยเถอะขอรับ ครั้งนี้หลานขอเอาแต่ใจ อย่างไรเรื่องที่ชายแดนหลานก็ต้องไปขอรับ”
“เจ้า…” เมิ่งจงจวี่ทั้งโกรธทั้งร้อนใจจนไอขึ้นมา
คนในห้องรนจนวุ่นวายไปหมด บ้างตกใจ บ้างช่วยรินน้ำ บ้างตบหลังให้
เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนสบตากันครู่หนึ่ง แล้วเดินเข้าไปในห้องพร้อมกัน
ทุกคนในบ้านตระกูลเมิ่งอยู่กันพร้อมหน้า ยืนกันเต็มห้องไปหมด เมิ่งจงจวี่และเหล่าเมิ่งซื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้อง เมิ่งชิงคุกเข่าต่อหน้าพวกเขา ส่วนลูกสาวคนเล็กของราชเลขาฝ่ายทหารปัจจุบันที่เป็นภรรยาของเมิ่งชิงกำลังอุ้มลูกและมองเขาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
“ท่านปู่ ท่านย่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนขานเรียกพร้อมกัน
คนในห้องหันศีรษะมองไปที่พวกเขา
เมิ่งซื่อดีใจ รีบเดินไปหา “เซวียนเอ๋อร์ โยวเอ๋อร์ พวกเจ้ามาพอดีเลย รีบมาช่วยพูดกับชิงเอ๋อร์หน่อย เขาดึงดันจะไปชายแดน พวกเราห้ามเขาไม่อยู่เลย”
เมิ่งจงจวี่ก็ตั้งสติขึ้นได้ ปัดมือของเมิ่งต้าจินที่ขวางอยู่ข้างหน้าเขา เสียงแหบแห้งดังขึ้น “อี้เซวียน โยวเอ๋อร์ พวกเจ้ามาพอดีเลย ปู่มีเรื่องจะขอร้องพวกเจ้า”
เมิ่งชิงที่คุกเข่าอยู่บนพื้น หน้าผากก็ซึมไปด้วยเหงื่อ มองเมิ่งเชี่ยนด้วยสายตาอ้อนวอน
เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตามองทุกคนที่ตั้งตารอนาง นางจึงยิ้มพูดขึ้นว่า “วันนี้ข้าและอี้เซวียนก็มาเพราะเรื่องนี้เจ้าค่ะ”
ทุกคนคิดว่านางจะมาพูดห้ามเมิ่งชิง จึงถอนหายใจกันอย่างโล่งอก
สีหน้าผิดหวังของเมิ่งชิงปรากฏขึ้นบนใบหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปช้าๆ จนถึงด้านหน้าเมิ่งชิง นางก้มหน้ามองเขา สีหน้าเคร่งเครียด “ชิงเอ๋อร์คิดดีแล้วใช่ไหมว่าจะไปชายแดน”
เมิ่งชิงพยักหน้าหงึกๆ “เป็นหน้าที่ของชายชาติทหารที่ต้องปกป้องรักษาบ้านเมือง ข้าในฐานะที่เป็นรองแม่ทัพก็ยิ่งไม่ควรขี้ขลาดในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ จะไม่ทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพสั่นคลอนเด็ดขาดขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องตาเขา พูดอย่างเคร่งเครียดดังเดิมว่า “ไปสู้รบที่ชายแดนไม่เหมือนกับการฝึกรบในค่ายทหาร เจ้าต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แท้จริง หากเกิดอะไรขึ้น อาจเลือดสาดเนื้อทะลัก หรืออาจจะกลับมาได้อีกเลยก็เป็นได้ เจ้าคิดดีแล้วใช่ไหม”
ทุกคนในห้องส่งเสียงสะอื้นไปทั่ว เมิ่งซื่อหน้ามืด ลำตัวเอนไหวไปมาจนเกือบจะสลบไป ดวงตาพลันแดงก่ำขึ้นมา
เมิ่งชิงมองตาเมิ่งเชี่ยนโยวกลับอย่างแน่วแน่ “ข้ารู้ และข้าก็เตรียมใจไว้แล้ว”
“หลานรักของย่า ย่าขอร้องเถอะนะ อย่าไปเลยนะ อย่าไปเลย” เหล่าเมิ่งซื่อทนไม่ไหวอีกต่อไป ร้องไห้วิงวอนเขา
เมิ่งจงจวี่ก็ทำท่าเหมือนจะพูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้า มองไปที่เมิ่งจงจวี่และเหล่าเมิ่งซื่อทั้งสองคน “ท่านปู่ ท่านย่า ชิงเอ๋อร์อยากไปก็ให้เขาไปเถอะ ลูกหลานบ้านตระกูลเมิ่งของเรา จะขี้ขลาดในเวลาสำคัญไม่ได้”
เมื่อนางพูดจบ เมิ่งจงจวี่ก็ชะงัก เหล่าเมิ่งซื่อหยุดร้องไห้ ทุกคนในห้องมองนางอย่างประหลาดใจ
เมิ่งชิงกลับดีใจ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื้นตัน “ขอบคุณพี่โยวเอ๋อร์ขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตามองทุกคนในห้อง เอ่ยปากพูดอย่างไม่รีบร้อน เสียงใสแจ๋วดังเข้าไปในหูของทุกคน “เรื่องของชิงเอ๋อร์ ไม่ต้องให้ถึงมืออี้เซวียน ข้าก็ทำให้เขาไม่ต้องไปชายแดนได้เช่นกัน แต่หากเป็นเช่นนั้น ต่อไปตระกูลเมิ่งของเราจะมีหน้าอยู่ในเมืองหลวงต่อได้อย่างไร เราจะเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร บ้านตระกูลเมิ่งของเราจะถูกคนอื่นนินทาลับหลังเอาเสียได้นะเจ้าคะ!”
ทุกคนไม่พูดอะไร
เหล่าเมิ่งซื่อปากสั่น ครั้นจะเอ่ยปากพูด ก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวขัดขึ้นว่า “ท่านปู่ ท่านยาย ข้าเข้าใจความรู้สึกของพวกท่านนะเจ้าคะ อาสี่มีชิงเอ๋อร์เป็นสายเลือดเพียงคนเดียว หากเขาเป็นอะไรไป ต่อไปถ้าตายไปแล้วได้เจอกันในภพภูมิอื่น พวกท่านคงไม่กล้าสู้หน้าเขา แต่ท่านทั้งสองเคยคิดไหมเจ้าคะ หากท่านอาสี่ยังมีชีวิตอยู่ เขาอาจจะซาบซึ้งเพราะรู้สึกภาคภูมิใจในตัวของชิงเอ๋อร์ที่เลือกทำเช่นนี้ก็ได้ ลองคิดถึงอดีตที่เขายอมสละชีวิตตนเพื่อปกป้องบ้านตระกูลเมิ่งสิเจ้าคะ เรื่องวันนี้ท่านอาสี่จะต้องเห็นด้วยอย่างไร้ซึ่งความลังเล แม้เลือดของชิงเอ๋อร์จะสาดกระเด็นไปทั่วทั้งสนามรบ และอาจไม่ได้กลับมาอีก เขาก็ต้องดีใจและภูมิใจเจ้าค่ะ”
เมื่อฟังนางพูดจบ ทุกคนต่างมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป
เมิ่งจงจวี่และเมิ่งซื่อคิดถึงเมิ่งเสียวเถี่ยที่ตายไป คิดถึงความเจ็บปวดที่คนหัวขาวต้องส่งคนหัวดำไปก่อน ดวงตาก็แดงก่ำ
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งซื่อคิดถึงเมิ่งเสียวเถี่ยที่ตายไปเพราะปกป้องบ้านตระกูลเมิ่ง น้ำตาก็เอ่อขึ้นมา
ในห้องพลันเงียบไป
ผ่านไปนาน เมิ่งจงจวี่จึงถอนหายใจยาว “ดูท่าข้าคงแก่แล้วจริงๆ เรื่องบางเรื่องข้าคงคิดได้ไม่ถี่ถ้วนพอ โยวเอ๋อร์พูดถูก บางทีหากเถี่ยเอ๋อร์ได้เห็นคุณงามความดีที่ชิงเอ๋อร์ทำ คงภูมิใจในตัวเขามาก”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลงของเขา เมิ่งชิงก็ดีใจมาก เขาโขกศีรษะลงบนพื้นแรงๆ หนึ่งที “ขอบคุณท่านปู่ที่เข้าใจขอรับ”
เมิ่งจงจวี่ถอนหายใจยาวอีกครั้ง ลูบศีรษะเมิ่งชิง “ชิงเอ๋อร์ ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว ปู่จะไม่ห้ามเจ้าอีก แต่เจ้าจงจำไว้ว่า คนในบ้านรอเจ้ากลับมาอยู่ เจ้าห้ามเป็นอะไรไปเด็ดขาดนะ”
เมิ่งชิงพยักหน้ารับประกันว่า “ขอรับ ข้ารู้แล้ว ท่านปู่ ข้าจะปกป้องตัวเองดีๆ และรีบกลับมาขอรับ”
เมิ่งจงจวี่พยักหน้า ดวงตาที่เอ่อไปด้วยน้ำตาก็ไหลลงมาหยดลงบนมือของเมิ่งชิง แผดเผาใจของเขา
น้ำตาเมิ่งซื่อไหลออกมามากกว่าเดิม
อารมณ์ของทุกคนในห้องหนักอึ้งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปาก หวังจะทำลายบรรยากาศอันหดหู่ลง “ท่านปู่ ท่านย่า พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพวางแผนดีอยู่แล้ว ชิงเอ๋อร์ไม่เป็นอะไรหรอก จะต้องได้รับชัยชนะกลับมาแน่”
เมื่อพูดจบ ก็ส่งสายตาให้สัญญาณหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ที่อยู่ข้างหลัง ให้พวกนางไปปลอบใจเมิ่งจงจวี่และเหล่าเมิ่งซื่อ
หลังจากทั้งสองได้รับสัญญาณของนาง พวกนางก็เดินขึ้นหน้า คนหนึ่งไปหาเมิ่งจงจวี่ อีกคนไปหาเหล่าเมิ่งซื่อ แล้วพูดออดอ้อนว่า “ท่านทวด กังฟูของท่านน้าชิงเอ๋อร์นั้นเก่งกล้า ต้องไม่เป็นอะไรแน่นอนเจ้าค่ะ พวกท่านอย่าเสียใจเลยนะเจ้าคะ”
เมิ่งจงจวี่และเหล่าเมิ่งซื่อตบมือพวกนางเบาๆ แล้วหยุดน้ำตาที่กำลังจะไหลลงมา
ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก
เมิ่งชิงก็ลุกขึ้นยืน
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดกับทั้งสองว่า “ท่านปู่ ท่านย่า เรารีบมากันแต่เช้า ก็เลยยังไม่กินข้าวเช้ากันมา ตอนนี้หิวแย่แล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ เหล่าเมิ่งซื่อก็สงสารจับใจ แล้วรีบสั่งสะใภ้ทั้งสามคนในนั้น “พวกเจ้ารีบไปทำอาหารเถอะ เดี๋ยวจะทำเอาเด็กๆ หิวโซเอา”
ทั้งสามขานรับ แล้วรีบเดินออกไปทันที
บรรยากาศที่หนักอึ้งเมื่อครู่จึงมลายหายไป
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสัญญาณให้หวงฝู่อี้เซวียนให้เขาอยู่กับเมิ่งจงจวี่และพี่น้องเมิ่งต้าจินทั้งสามคน ส่วนตัวเองก็รีบเดินไปที่ครัว เมิ่งซื่อและคนอื่นๆ ที่ทำครัวอย่างคล่องแคล่ว เก็บและล้างผักเสร็จกำลังจะเริ่มทำแล้ว
“ท่านป้า ท่านแม่ ท่านอาสะใภ้สาม ที่ข้าพูดแบบนั้นไปเพราะต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของท่านย่าเจ้าค่ะ พวกเราทานข้าวเช้าก่อนมาที่นี่แล้ว พวกท่านไม่ต้องวุ่นวายแล้วนะเจ้าคะ”
ทั้งสามหยุดชะงักลง เมิ่งซื่อยิ้มตำหนินาง “เจ้าน่ะ ขนาดพูดโกหกยังจริงจังเช่นนี้ ทำเอาเราเชื่อกันหมดเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวแลบลิ้น หัวเราะแหะๆ
เมิ่งซื่อกลับทำหน้าขึงขัง เหมือนเตรียมจะหาเรื่อง “ข้าได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้เย่ว์เอ๋อร์ประสบอุบัติเหตุ ทำไมเจ้าไม่ได้บอกพวกข้าล่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหุบยิ้ม เดินไปหน้าเมิ่งซื่อ จับแขนนาง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ท่านแม่ เย่ว์เอ๋อร์แค่ไม่ระวังตกน้ำ จนขวัญหาย มีไข้สูงเล็กน้อย ไม่ได้เป็นอะไรมากเจ้าค่ะ ข้ากลัวว่าพวกท่านจะเป็นห่วง จึงไม่ได้ให้พี่ใหญ่บอกท่าน”
“อย่ามาปิดบังข้าเลย” เมิ่งซื่อไม่เชื่อนาง พูดด้วยสีหน้าดุดันว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่านางถูกคนผลักลงน้ำ จนเกือบจะไม่มีชีวิตรอด”
เรื่องผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ยอมรับง่ายๆ แน่ นางพูดเสียงสูงว่า “ข่าวลือ ข่าวลือทั้งนั้นเจ้าค่ะ ไม่ได้รุนแรงอย่างที่เขาว่ากันเสียหน่อย แค่ตัวร้อนจริงๆ ทานยาลงไปก็หายแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งซื่อจ้องนาง เมื่อเห็นท่าทีนางเหมือนไม่ได้โกหก ก็เริ่มเชื่อ “แม้จะเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ต้องดูแลนางดีๆ ร่างกายของผู้หญิงนั้นบอบบาง อย่าให้ทิ้งโรคร้ายอะไรไว้ล่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ แม่ วิชาแพทย์ของข้าแม่ยังไม่วางใจอีกหรือเจ้าคะ ข้าจะดูแลพวกนางอย่างดี ให้ไม่หลงเหลือปัญหาอะไรแม้นเพียงเล็กน้อยเลยเจ้าค่ะ”
คนในบ้านทั้งห้าคนอยู่ในหมู่บ้านนอกเมืองทั้งวัน จนเริ่มตกค่ำ จึงกลับจวนอ๋อง
ผ่านไปอีกหนึ่งวัน
วันต่อมา ถึงวันที่ท่านแม่ทัพออกเดินทาง เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนตื่นแต่เช้า ปลุกหวงฝู่สือเมิ่ง หวงฝู่เย่าเย่ว์ และหวงฝู่รุ่ยทั้งสามคน เพื่อส่งฉู่เหวินเจี๋ยและเมิ่งชิงออกเดินทาง
หวงฝู่เย่าเย่ว์กลับกุมท้องตนเองไว้ ใบหน้าบู้บี้ พูดด้วยน้ำเสียงทรมานว่า “ท่านแม่ ข้าปวดท้องเจ้าค่ะ คงไปไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวให้นางนั่งลง เพื่อตรวจชีพจรให้นาง เมื่อพบว่าไม่มีปัญหาอะไร ก็ขมวดคิ้วพูดว่า “อาจจะเป็นเพราะเมื่อคืนนอนเตะผ้าห่ม ก็เลยเป็นหวัด เอาอย่างนี้ ดื่มซุปน้ำอ้อยหน่อยแล้วกัน แล้วห่มผ้านอนต่ออีกหน่อยนะ ตื่นมาก็ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ”
“เจ้าค่ะ” หวงฝู่เย่าเย่ว์ขานรับ นอนกลับไปอย่างว่านอนสอนง่าย
เมิ่งเชี่ยนโยวไปครัวเล็ก ลงมือทำซุปน้ำอ้อยร้อนๆ ถ้วยหนึ่งให้นาง เมื่อคอยเฝ้าจนนางดื่มลงไป ก็กำชับนางให้พักผ่อนดีๆ จากนั้นก็พาหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่รุ่ยออกไปที่ประตูเมืองพร้อมกับหวงฝู่อี้เซวียนอย่างเร่งรีบ
เมื่อพวกเขาออกไป หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ลืมตาทันที นางลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ไร้ซึ่งสภาพความอ่อนแอ
นางเปิด**บออก หยิบเสื้อผ้าออกมา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เก็บกลับไป หยิบตั๋วเงินสองสามใบที่อยู่ข้างใต้**บออกมา หลังจากตรวจสอบดูแล้ว ก็เก็บเข้าในเสื้อตน จากนั้นก็ลุกยืนเดินไปที่โต๊ะหนังสือของนางและหวงฝู่สือเมิ่ง หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนจดหมายอย่างรวดเร็วแล้ววางไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็ออกไปหลังเรือนเพื่อจูงม้ามาตัวหนึ่ง นางกระโดดขึ้นควบม้า สะบัดบังเ**ยนมุ่งไปทางประตูเมืองอย่างเร่งรีบ
การออกรบครั้งนี้ ฉู่เหวินเจี๋ยพาฉู่เหยาไปด้วยเพื่อเป็นการฝึกฝนเขา แม้เฝิงจิ้งซูจะไม่เห็นด้วย แต่ก็ห้ามไว้ไม่ได้ นางพูดกำชับให้ฉู่เหยาระวังตัวซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยดวงตาที่บวมแดง
ฟ้ายังไม่สาง พระชายาฉีก็เร่งอ๋องฉีให้ไปประตูเมืองกับนาง เมื่อเห็นฉู่เหยาก็ไปด้วยเช่นกัน นางก็อยากจะเข้าไปหยิกหูฉู่เหวินเจี๋ยมาด่าเขาฉาดใหญ่ แต่ว่าวันนี้เป็นวันออกรบ เขาเป็นท่านแม่ทัพ นางจะทำเช่นนี้ไม่ได้ แต่นางก็ใช้สายตาอันดุดันปรามเขาอยู่พักใหญ่
ฉู่เหวินเจี๋ยลูบจมูกตนไม่กล้าพูดอะไร ในใจคิดว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิด คิดถึงตอนนั้นเขาออกรบกับท่านพ่อตั้งแต่อายุสิบสองปี เหยาเอ๋อร์สิบห้าปีแล้ว ควรพาเขาออกไปฝึกสนามจริงนานแล้ว
เฝิงจิ้งซูก็ไม่เห็นด้วย แต่ก็เอาชนะฉู่เหวินเจี๋ยไม่ได้ นางร้องไห้ทั้งคืน ดวงตาบวมแดงจนแทบจะลืมตาไม่ได้ ตอนนี้ก็จับมือฉู่เหยาอยู่ พูดกำชับเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าให้ระวังตัว
ฉู่เหวินเจี๋ยเห็นสถาณการณ์เช่นนี้ก็ไม่พอใจ ตนเองจะออกรบเหมือนกัน ภรรยาควรแสดงความอาลัยอาวรณ์และปลอบประโลมตนมากกว่ามิใช่หรือ
เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนมาถึง ก็เห็นสถานการณ์ตรงหน้าที่เฝิงจิ้งซูและพระชายาฉีกำลังพูดกำชับฉู่เหยาอย่างไม่มีทีท่าจะหยุด ส่วนฉู่เหวินเจี๋ยก็กำลังมองทั้งสองอย่างขุ่นเคือง