หวงฝู่สือเมิ่งรู้สึกถึงอารมณ์ของแต่ละคนที่เปลี่ยนไป จึงเอ่ยปากเพื่อต้องการเปลี่ยนประเด็น “ท่านพ่อ ท่านแม่ ฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว พวกท่านไปพักผ่อนเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
ขณะที่ตัวเองทั้งคู่ออกไปตรวจสอบ พวกนางสามคนก็ไม่ได้นอนและเฝ้ารอพวกเขากลับมาโดยตลอด เมื่อเห็นดวงตาของหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เฮ่าเริ่มแดงก่ำ เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกสงสารอย่างมาก และพยักหน้า “ไปพักผ่อนด้วยกันทั้งหมดนี่ล่ะ นอนให้หลับสบาย ยามฟ้าสว่างเมื่อใดพวกเราค่อยคิดหาวิธีกันใหม่”
ทุกคนรับคำ แล้วแยกย้ายกลับไปที่ห้องของตัวเอง และนอนหลับสนิทอย่างรวดเร็ว
ไม่นานท้องฟ้าก็ส่องแสงสว่าง ขณะที่กำลังสะลึมสะลือ ก็ถูกเสียงที่วุ่นวายจากข้างล่างปลุกให้ตื่น หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวลืมตาขึ้นและกระโจนลงจากเตียงพร้อมกัน
หลินหันเยียนตกใจตื่นเช่นกัน จึงลุกจากเตียงและสวมใส่เสื้อผ้า เมื่อเดินออกมาด้านนอก ก็เห็นผู้คนล้วนพากันวิ่งออกไปข้างนอก ในปากก็ร้องพึมพำไม่หยุด “จะเกิดสงครามแล้ว จะเกิดสงครามแล้ว”
เมื่อสะดุ้งหันศีรษะกลับไป ก็เห็นว่าหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวออกมาแล้วเหมือนกัน จึงมองซ้ายขวาก่อนครั้งหนึ่ง แล้วกดเสียงต่ำพูดกับทั้งสองคน “พวกเขาจะก่อสงครามกันแล้วเจ้าค่ะ”
เป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายจริงๆ ในใจของหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวเกิดความรู้สึกหนักอึ้ง เวลาคับขันเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เย่ว์เอ๋อร์ที่ตกอยู่ในมือขององค์ชายใหญ่ ตัวเองก็แอบเข้ามาในรัฐอิงด้วย ถ้าหากถูกคนเจอตัวเข้า ก็จะกลายเป็นเบี้ยสำคัญที่สุดในมือขององค์ชายใหญ่ทันที
คิดถึงตรงนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็กดเสียงเบาลงเช่นกัน และพูดสั่งหลินหันเยียน “เจ้าหาวิธีไปสืบฟังสถานการณ์ขององค์ชายใหญ่มาหน่อย ยิ่งละเอียดเท่าไรยิ่งดี”
หลินหันเยียนผงกศีรษะ เดินลงจากด้านบนมายังหน้าโต๊ะรับแขก แล้วแสร้งทำเป็นชี้ไปที่กลุ่มคนที่วิ่งออกไปอย่างสงสัย พร้อมยิ้มถามเถ้าแก่ “เถ้าแก่เจ้าคะ ยังเช้าตรู่อยู่เลย เหตุไฉนคนพวกนี้ถึงจะก่อสงครามกันแล้ว หมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ อย่าบอกนะเจ้าคะว่ามีคนกำลังตีกันอยู่” ถามเสร็จ ก็เขย่งปลายเท้าสูง มองออกไปด้านนอกอย่างใคร่รู้
เถ้าแก่ได้ยินน้ำเสียงของนางไม่เหมือนกับคนขององค์ชายใหญ่ แลยังเห็นว่านางเป็นผู้หญิง จึงนึกว่านางไม่ทราบความจริง ถอนหายใจและพูด “แม่นาง ท่านไม่รู้อะไรเสียแล้ว เช้าตรู่วันนี้ องค์ชายใหญ่มีพระราชโองการว่าพรุ่งนี้พระองค์จะนำกองทัพใหญ่ออกเดินทางไปก่อสงครามกับรัฐอู่ขอรับ”
หลินหันเยียนสะดุ้ง สีหน้าซีดขาวทั้งใบ และถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเกร็ง “นี่…นี่จะทำสงครามกันเร็วปานนี้เลยหรือเจ้าคะ ข้ายังมีกิจการที่ยังไม่ได้ถอนกลับมาอีกบางส่วนอยู่เลย”
เถ้าแก่มองนางอย่างเห็นใจ และโบกมือ “อย่าได้ไปห่วงกิจการแล้วล่ะขอรับ กลับบ้านไปเถิด รักษาชีวิตไว้สำคัญยิ่งกว่า”
หลินหันเยียนเริ่มร้อนใจ น้ำเสียงเริ่มกระสับกระส่ายขึ้นมา “เช่นนั้นจะได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ ครอบครัวของพวกเรามีทั้งคนแก่และเด็กหลายสิบคน ต้องมีการค้าเล็กๆ พวกนี้เพื่อหาเงินประคับประคองเลี้ยงดูชีวิต นี่พอบอกว่าไม่ต้องการ ก็ไม่ต้องการ แล้วครอบครัวคนแก่และเด็กของพวกเราจะกินลมหรืออย่างไรกัน”
พูดจบ ราวกับว่าเริ่มเบื่อหน่าย จึงพูดต่อ “เจ้าว่าไหม องค์ชายใหญ่นี่ก็จริงๆ เลย อยู่ดีไม่ว่าดีแท้ๆ บอกจะก่อสงครามก็ก่อสงคราม แล้วไม่สนใจคนอย่างพวกเราที่จะเป็นหรือตายเลย”
ถ้อยคำนี้ของนางพูดออกไป เถ้าแก่สะดุ้ง แล้วรีบยกมือทำท่าบอกให้ห้ามพูด เมื่อเห็นว่าซ้ายและขวาไม่มีคนสนใจพวกเขา ถึงจะกดเสียงต่ำกล่าวอ้อนวอนด้วยความหวังดี “แม่นาง ต่อไปอย่าได้พูดเช่นนี้นะขอรับ ถ้าหากถูกคนขององค์ชายใหญ่ได้ยินเข้าแล้ว เกรงว่าไม่เพียงแต่ข้าและท่านเท่านั้น แม้แต่ชีวิตของครอบครัวท่านก็รักษาไว้ไม่ได้แล้วขอรับ”
สีหน้าของหลินหันเยียนซีดเผือดขึ้นตามสถานการณ์ และกดเสียงต่ำ “เถ้าแก่ องค์ชายใหญ่น่ากลัวเช่นนั้นเลยหรือเจ้าคะ”
เถ้าแก่มองอย่างระมัดระวังอีกครั้ง เมื่อแน่ใจว่าทั้งโรงเตี๊ยมเหลือแต่เพียงพวกเขาสองคน ครานี้ถึงจะกดเสียงต่ำพูดกับนางต่อ “แม่นาง ท่านไม่รู้อะไรขอรับ องค์ชายใหญ่นี่นะ พระองค์เป็นคนที่มีนิสัยโหดร้าย รุนแรง เพียงแค่บังอาจทำให้พระองค์กริ้ว ชีวิตก็ต้องจบไม่สวยเป็นแน่ แม้แต่พี่น้องเหล่านั้นของพระองค์ก็ถูกลงมืออย่างร้ายกาจ ส่วนเรื่องสงครามครั้งนี้ ก็เป็นพระองค์ที่ทรงหาเรื่องขึ้นมาเอง”
สีหน้าของหลินหันเยียนยิ่งซีดขึ้นอีก ผวาจนพูดอย่างอ้ำอึ้ง “เช่นนั้น เช่นนั้น…” เช่นนั้นอยู่เป็นเวลานาน ก็ไม่ได้พูดสักคำออกมา
เถ้าแก่ถอนหายใจยาวพร้อมส่ายหน้า เมื่อเกิดสงครามระหว่างสองรัฐ คนที่ลำบากก็คือประชาชนคนสามัญเหล่านี้อย่างพวกเขา ทั้งต้องหาเสบียง จ่ายภาษี และยังต้องดูแลครอบครัวของตัวเอง ตัวเขาที่มีลูกชายหนึ่งคน ก็ได้ถูกเกณฑ์ให้ไปออกรบเมื่อหลายวันก่อนแล้ว แม้ก่อนหน้านี้จะเป็นเรื่องที่สามารถแอบใช้เงินเจรจาต่อรองมาได้ แต่ครั้งนี้ ต่อให้ตายก็ไม่อาจทำได้แล้ว ดูเหมือนว่าองค์ชายใหญ่จะตัดสินพระทัยว่าจะทำสงครามกับรัฐอู่อย่างจริงจังเสียแล้ว
ริมฝีปากของหลินหันเยียนสั่นเป็นเวลานาน ถึงจะพูดอะไรออกมา “แต่ว่าหลานสาวที่น่าสงสารของข้ายังทำงานในจวนขององค์ชายใหญ่อยู่เลย”
เถ้าแก่ได้ยินดังนั้น ก็อึ้งไปพักหนึ่ง และมองนางอย่างแคลงใจเล็กน้อย
หลินหันเยียนรีบอธิบาย “เถ้าแก่ ท่านอย่าได้เข้าใจผิดนะเจ้าคะ หลานสาวที่น่าสงสารของข้าคนนี้เป็นลูกของบ้านพี่สะใภ้ใหญ่ข้า พี่ชายใหญ่ของข้าเสียชีวิตไปเร็ว จึงเลี่ยงไม่ได้ที่พี่สะใภ้ใหญ่จะไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ก็เลยไปแต่งงานใหม่พร้อมพาลูกไปด้วย ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าก็ห้ามไม่ได้ จึงตามใจนาง แต่ว่านางถูกสามีใหม่หลอกเอาเงินไป และไม่รู้ว่าจะเจรจาตกลงกับผู้คนอย่างไรดี จึงขายหลานสาวที่น่าสงสารนั่นของข้าให้แก่พ่อค้าคนกลาง ข้าสืบข่าวจากหลายที่ ถึงได้รู้ว่านางถูกขายเข้าจวนองค์ชายใหญ่ กลายเป็นสาวใช้ นี่ข้ากับครอบครัวของพี่สะใภ้รองมาที่เมืองหลวงเพื่ออยากจะดูว่าสามารถซื้อตัวนางคืนออกมาได้หรือไม่”
ฟังคำพูดนางจบ เถ้าแก่ก็ส่ายหน้า “แม่นาง ข้าว่าท่านเลิกล้มความคิดนี้เถิดขอรับ ทุกคนที่ถูกขายเข้าไปในจวนขององค์ชายใหญ่ ถ้ายังไม่กลายเป็นคนตาย ก็ไม่มีทางได้ออกมาอย่างแน่นอนขอรับ”
หลินหันเยียนตกใจจนเกือบจะร้องไห้แล้ว “นี่จะทำอย่างไรดีล่ะ ท่านพ่อกับท่านแม่ข้ายังรอให้พวกข้าพานางกลับไปอยู่นะเจ้าคะ”
เดิมทีหลินหันเยียนก็มีหน้าตาสละสลวย ครั้นภายในดวงตามีน้ำตาเอ่อขึ้น ก็ยิ่งทำให้เห็นแล้วรู้สึกสงสาร แม้ว่าเถ้าแก่จะมีอายุไม่น้อยแล้ว แต่ก็อดทนกับความยั่วเย้าเช่นนี้ไม่ได้ จึงหลุดปากพูดออกมา “แต่ข้าสามารถช่วยแม่นางคิดหาวิธีพบหน้านางได้นะขอรับ เพียงแต่เรื่องที่จะซื้อนางออกมานั้น ขออย่าได้คิดเลยขอรับ”
หลินหันเยียนได้ยินแล้วก็ยินดี น้ำตาภายในดวงตาก็จางหายไป จากนั้นจึงเอื้อมมือหยิบเงินหนึ่งตำลึงจากชายเสื้อวางไว้บนโต๊ะรับแขก “ขอบพระคุณเถ้าแก่อย่างมากเจ้าค่ะ เงินเหล่านี้ ท่านเอาไว้ไปซื้อสุราดื่มนะเจ้าคะ หลังจากข้าได้เจอหลานสาวที่น่าสงสารของข้าแล้ว จะตอบแทนให้มากกว่านี้อีกเจ้าค่ะ”
สงครามใกล้จะเริ่มแล้ว ยังไม่รู้ว่าจะสู้รบตบตีกันถึงขั้นไหน การมีเงินอยู่ในมือเยอะหน่อยก็เป็นเรื่องดี พอเห็นนางให้เงินใหญ่ก้อนนี้มาโดยเปล่าๆ เถ้าแก่ก็รีบเอื้อมมือออกไปอย่างรวดเร็วโดยยกชายเสื้อขึ้นปิดไว้ และค่อยๆ เก็บเข้าไปในโต๊ะรับแขก แล้วใบหน้าก็ยิ้มเบิกบาน “เรื่องนี้ช่างง่ายนัก ลูกชายคนโตนั่นของข้ากับภรรยาเขาจะไปส่งผักที่จวนขององค์ชายใหญ่ทุกวัน ท่านบอกชื่อกับลักษณะเด่นของหลานสาวคนนั้นแก่นางเพื่อให้พวกเขาช่วยสอบถามมาให้ท่านอย่างลับๆ”
หลินหันเยียนเผยสีหน้าลำบากใจ “เวลานั้นหลานสาวคนเล็กนั่นของข้ายังเด็กก็ถูกพี่สะใภ้ใหญ่พาไปแล้ว บัดนี้โตมาหน้าตาเป็นอย่างไร ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันน่ะสิเจ้าคะ”
เรื่องนี้จัดการยากแล้ว เถ้าแก่ขมวดคิ้วเล็กน้อย และไม่ได้พูดอะไรสักพักหนึ่ง
เห็นสีหน้าของเขา หลินหันเยียนจึงกล่าวแนะนำอย่างพินอบพิเทา “เถ้าแก่เจ้าคะ ไม่เช่นนั้นวันนี้ให้พี่สะใภ้ใหญ่กับลูกสาวของท่านหยุดพักก่อนหนึ่งวัน ข้าจะไปแทนนางเองเจ้าค่ะ”
เถ้าแก่ลังเลเล็กน้อย
หลินหันเยียนรีบพูดรับรอง “เถ้าแก่ ท่านสบายใจได้เจ้าค่ะ ข้าเพียงแต่เข้าไปดูหลานสาวคนเล็กเท่านั้น เพื่อให้เพียงพอรับมือกับท่านพ่อท่านแม่ของข้าได้เมื่อตอนที่กลับไปแล้วเจ้าค่ะ ดังนั้น จะไม่ทำให้ท่านต้องลำบากเป็นแน่เจ้าค่ะ อีกอย่าง พี่ชายรอง พี่สะใภ้รองกับพวกเด็กๆ ของข้าก็ยังอยู่ในโรงเตี๊ยม ข้าไม่อาจสร้างเรื่องได้หรอกเจ้าค่ะ”
คิดถึงเงินก้อนที่ได้เปล่ามา เถ้าแก่ก็ใจสั่น และกัดฟันพูด “นี่ข้าเอาหัวเป็นประกันเพื่อช่วยเจ้าเลยนะขอรับ เจ้าห้ามก่อเรื่องให้ข้าโดยเด็ดขาด”
หลินหันเยียนรีบรับรอง “เถ้าแก่ ท่านวางใจเถิด หลังจากข้าแวะเข้าไปแอบดูหลานสาวคนเล็กของข้านั่นแล้วก็จะออกมาโดยทันที จะไม่ทำให้ท่านเดือดร้อนอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี เจ้าคอยก่อน ข้าสั่งลูกน้องให้เรียกลูกชายคนโตนั่นของข้ามาคุยสักหน่อย”
“ขอบคุณเจ้าค่ะเถ้าแก่” หลินหันเยียนขอบคุณอีกครั้ง แล้วโบกมือไปด้านบน ร้องเรียกด้วยภาษารัฐอิง “พี่สะใภ้ ท่านลงมาประเดี๋ยวเจ้าค่ะ” พูดจบ ก็สบโอกาสตอนที่เถ้าแก่ไม่ได้สนใจ ก็แอบทำมือกับเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นสัญญาณให้ลงมา
แม้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยนไม่เข้าใจว่านางพูดอะไร แต่เข้าใจจากท่าทางมือของนาง จึงเดินลงมาด้านล่างตัวคนเดียว
หลินหันเยียนเปลี่ยนความคิดทันใด เดินเข้าไปหาเอง แล้วถามอยู่ระหว่างบันไดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “พี่สะใภ้รอง ในมือของท่านยังมีเงินก้อนใหญ่อีกไหมเจ้าคะ”
พูดจบ ไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ ก็ใช้เสียงที่ได้ยินเพียงสองคนถามอีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออก แล้วหยิบเงินออกมาจากชายเสื้อ หลินหันเยียนรับมา พร้อมส่งสายตาที่ค่อนข้างสงบนิ่ง และหันตัวลงบันไดไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก แล้วเดินกลับขึ้นไปด้านบน
มาถึงยังหน้าโต๊ะรับแขก หลินหันเยียนวางเงินสองตำลึงลงบนโต๊ะ และยิ้มพูด “เถ้าแก่เจ้าคะ หลังจากเข้าไปในจวนขององค์ชายใหญ่แล้ว จำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ชัด ท่านก็รู้ว่ากิจการของข้าอยู่ในรัฐอู่ทั้งหมด เงินรายได้ที่รับมาจึงเป็นเงินของพวกเขา…” พูดถึงตรงนี้ ก็เอามือผลักก้อนเงินก้อนหนึ่งไปไว้ตรงหน้าเขา “ท่านสามารถช่วยข้าเอาเงินเหล่านี้ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นเงินของพวกเราได้หรือไม่เจ้าคะ”
จากนั้นก็ผลักก้อนเงินอีกก้อนไปตรงหน้าเขา “แล้วก้อนนี้ก็มอบให้แก่ลูกชายคนโตของท่าน เพื่อเป็นการขอบคุณที่เขาช่วยเหลือเจ้าค่ะ”
ครั้นได้รับก้อนเงินสองก้อนติดกัน เถ้าแก่ก็ไม่ลังเลอะไรอีกแล้ว นำเงินสองก้อนเก็บเข้าไปภายในโต๊ะรับแขกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วแลกเปลี่ยนเป็นก้อนเงินของรัฐอิงให้นางก้อนหนึ่งด้วยรอยยิ้ม และกล่าว “แม่นาง เจ้าคอยประเดี๋ยว ข้าจะไปสั่งลูกน้องให้เรียกคนมาเดี๋ยวนี้ขอรับ”
หลินหันเยียนพยักหน้า
เถ้าแก่สั่งลูกน้อง
ลูกน้องวิ่งออกไปตะโกนเรียกคนให้มาอย่างรวดเร็ว
ผู้ชายอายุสามสิบกว่าปี มีจมูกโค้งกลมและดวงตาเฉี่ยวคมดั่งเหยี่ยว ทันทีที่เห็นก็รู้ว่าเป็นคนพื้นเมืองรัฐอิง แต่ส่วนที่ไม่เหมือนก็มีเพียงแต่รูปร่างของเขาที่ออกจะเตี้ยไปบ้าง แตกต่างกับผู้ชายรัฐอิงส่วนใหญ่ที่ร่างสูงใหญ่เหล่านั้น ภายในดวงตาที่ไม่โตส่องประกายวาววับเช่นเดียวกับเถ้าแก่
ผู้ชายเดินเข้าประตูมา ตะโกนเรียกเถ้าแก่
เถ้าแก่มองหลินหันเยียนแวบหนึ่ง แล้วเดินออกจากโต๊ะรับแขก ดึงลูกชายตัวเองมาอยู่ด้านหนึ่งแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้แก่เขาเบาๆ
เมื่อผู้ชายฟังจบ ก็ขมวดคิ้วและมองไปทางหลินหันเยียน
หลินหันเยียนรอพวกเขาอย่างใจจดใจจ่อ
ผู้ชายละสายกลับมา พูดบางอย่างกับเถ้าแก่เสียงเบา
เถ้าแก่ยกมือชี้ไปชั้นบน และเหมือนว่าจะบอกเรื่องเงินแก่เขาอีกครั้ง
ผู้ชายยังคงลังเล การส่งผักให้จวนขององค์ชายใหญ่เป็นงานที่เขาได้มาไม่ง่าย ถ้าหากทำพลาดแล้ว ทั้งครอบครัวของพวกเขาก็ล้วนจบสิ้นกันหมด
หลินหันเยียนเห็นพวกเขายังคงลังเลไม่ตัดสินใจ จึงทำใจแข็งเดินมาตรงหน้าทั้งสองคนและกล่าว “ทั้งสองท่านโปรดวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้าไม่ทำให้พวกท่านต้องช่วยโดยเปล่าๆ แน่นอน ถ้าหากว่าข้าพบกับหลานสาวที่น่าสงสารของข้านั่นแล้ว และแน่ใจว่านางสบายดีไม่เป็นอะไร ข้าจะยังตอบแทนให้อีกอย่างหนักเลยเจ้าค่ะ”
ผู้ชายหรี่ตาจ้องมองนางอยู่นาน มองจนหัวใจของหลินหันเยียนเต้นระรัว และสงสัยว่านางจะถึงคราที่ความแตกเสียแล้ว ผู้ชายก็เอ่ยปากขึ้นอย่างช้าๆ