หลังจากทักทายกันเสร็จแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ก้าวออกมา คนหนึ่งพยุงท่านปู่ อีกคนพยุงท่านย่าเดินเข้าไปในจวน
ส่วนหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ต่างพยุงเมิ่งซื่อไว้คนละข้าง แล้วพูดคุยกับนางสลับกันคนละประโยค
หน้าประตูจวนเงียบลงแล้ว ขุนนางข้างหลังจึงค่อยๆ พาครอบครัวลงจากรถม้า แล้วทักทายกันก่อนเดินเข้าจวน
พ่อบ้านและคนใช้ต่างสวมเสื้อผ้าใหม่ แล้วยืนต้อนรับอยู่หน้าประตูจวนด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง
หน้าประตูจวนอ๋องฉีคึกคักกันมาก
ท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีก็ยืนต้อนรับอยู่ในจวนด้วยรอยยิ้ม
งานแบบนี้ แน่นอนว่าต้องมีหวงฝู่ซวิ่น
ในขณะที่ผู้คนที่มาแสดงความยินดีเริ่มมากันครบแล้ว พ่อบ้านก็รีบวิ่งมารายงานว่า “ท่านอ๋อง ซื่อจื่อ ฮ่องเต้เสด็จมาขอรับ”
แม้ว่าปรกติจะไม่มีถวายความเคารพก็ไม่เป็นไร แต่วันนี้ต่อหน้าขุนนางมากมาย เกียรติที่ควรให้ การถวายความเคารพที่ควรทำก็ไม่ควรหาย ท่านอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนเดินออกไปต้อนรับ แล้วทำความเคารพหวงฝู่ซวิ่น
“เสด็จอา น้องเซวียน ไม่ต้องทำความเคารพ” หวงฝู่ซวิ่นยกมือขึ้น ความน่ายำเกรงของฮ่องเต้ก็ค่อยๆ แสดงออกมาทันที
ขอบพระทัยเสร็จแล้ว ก็เชิญเขาเข้าไป
ฤกษ์ดีถึงแล้ว พิธีปักปิ่นจึงเริ่มขึ้น
พระชายาฉีและเมิ่งเชี่ยนโยวก้าวออกมา ปล่อยผมเปียทั้งสองข้างของเด็กสาวทั้งสองคนลง แล้วเกล้าผมให้เป็นทรงเดียวกันอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็หยิบปิ่นปักผมหยกสีเขียวที่เหมือนกันสองอันเสียบลงไปในมวยผมของทั้งสอง
เมิ่งเชี่ยนโยวนั้นไม่ได้มีอารมณ์มากมาย แต่ดวงตาของพระชายาฉีนั้นแดงก่ำ หลานสาวทั้งสองคนเข้าสู่วัยสาวแล้ว เวลาของการพูดคุยเรื่องแต่งงานก็มาถึงแล้ว เวลาที่อยู่ข้างพวกนางนั้นมีไม่มากแล้ว
รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์นาง เมิ่งเชี่ยนโยวจึงควงแขนนางแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านแม่ ยังมีหลานเอ๋อร์มิใช่หรือ ตอนนี้นางยังเล็กอยู่ เพิ่งจะครบหนึ่งอาทิตย์ อีกนานกว่านางจะอายุสิบห้าปี”
หวงฝู่หลานเป็นลูกสาวของหวงฝู่อวี้กับเจียงจิ่น หลังจากที่ทั้งสองพยายามแล้ว ในที่สุดก็คลอดลูกสาวออกมาอีกหนึ่งคนตามที่หวังไว้ ตอนนี้กลายเป็นคนโปรดคนใหม่ของจวนไปแล้ว
เมิ่งซื่อก็ตาแดงก่ำเล็กน้อย ครอบครัวเมิ่งต้าจินตบมือนางเบาๆ แล้วปลอบว่า “เด็กต้องโตอยู่แล้ว แม้จะอาลัยอาวรณ์แค่ไหนก็ขัดขวางการแต่งงานมีลูกของพวกนางไม่ได้”
พิธีเสร็จแล้ว ฮูหยินของแต่ละจวนต่างก้าวออกมาแสดงความยินดีด้วยรอยยิ้ม ยื่นของขวัญที่ตัวเองตั้งใจจัดเตรียมมาให้เมิ่งเชี่ยนโยวด้วยตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวรับของขวัญทุกชิ้นมา แล้วยื่นให้ชิงหลวนและจูหลีวางไว้
ส่วนผู้ชายทุกคนนั้นรวมตัวกัน ดื่มชา พูดคุยกัน
ทุกคนต่างพูดคุยหัวเราะกัน คึกคักกันเป็นอย่างมาก
มีเสียงจากหน้าประตูจวนดังเข้ามา พ่อบ้านรีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว รายงานด้วยความเหนื่อยหอบว่า “ท่าน ท่านอ๋อง หน้าประตูมีคนมาอีกแล้วขอรับ”
ท่านอ๋องฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย คนที่ทำให้พ่อบ้านรีบร้อนเยี่ยงนี้ ต้องมิใช่แขกธรรมดา แต่วันนี้แม้แต่ฮ่องเต้ก็มาแล้ว หรือว่า…ทันใดนั้นก็คิดอะไรขึ้นได้ รีบลุกขึ้นทันทีแล้วกล่าวว่า “ฮ่องเต้ เชิญท่านนั่ง ข้าออกไปดูก่อน”
“เชิญเสด็จอาขอรับ”
ดูท่าทางและสีหน้าของเขาแล้ว หวงฝู่ซวิ่นรู้ทันทีว่ามีคนพิเศษมา เขาอยากจะตามออกไปดูด้วยจริงๆ แต่เขาเป็นฮ่องเต้ อยู่ต่อหน้าขุนนางทุกคน ต้องมีความน่าเกรงขาม จึงต้องควบคุมความคิดในใจไว้ แล้วกล่าวเสียงเรียบออกมา
ท่านอ๋องฉีรีบเดินออกไปด้วยความรีบร้อน
หวงฝู่อี้เซวียนที่ดูแลเหล่าขุนนางอยู่ก็ได้ยินรายงาน ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปพร้อมกัน
สองพ่อลูกมาถึงหน้าประตูจวน รถม้าหรูหราคันหนึ่งหยุดตรงหน้าประตูจวน ข้างหลังมีผู้ติดตามอีกสิบคน ส่วนข้างๆ รถม้า ท่าป๋าหั่นหลินที่มีรูปร่างสูงขึ้น ใจเย็นขึ้น มีท่าทีของจักรพรรดิออกมาเล็กน้อยยิ้มแล้วก้มตัวทำความเคารพทั้งสองคน “ท่านอ๋อง ซื่อจื่อ วันนี้เป็นวันที่ท่านหญิงน้อยเย่ว์เอ๋อร์เข้าสู่วัยสาว ข้าจึงมาสู่ขอ”
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่มั่นใจ ความเตรียมพร้อมของเขา และท่าท่างที่มั่นใจว่าเย่ว์เอ๋อร์ต้องแต่งงานกับเขาแน่ๆ ท่านอ๋องฉีกำมือไว้แน่น แล้วก้าวขายาวไปหาเขา
ท่าป๋าหั่นหลินรีบเดินถอยหลังหลายก้าวอย่างไม่รู้ตัว ยกมือขึ้นมาปิดใบหน้าตัวเองไว้ ยื่นตาทั้งสองข้างของตัวเองออกมาในช่องว่างระหว่างนิ้ว “สองปีที่แล้ว พวกเจ้าสัญญากับข้าไว้แล้วว่า หลังจากท่านหญิงน้อยเย่ว์เอ๋อร์เข้าสู่วัยสาว จะอนุญาตให้ข้ามาสู่ขอ”
ท่านอ๋องฉีกำมือไว้แน่นจนได้ยินเสียง กรอบแกรบ ส่วนท่าป๋าหั่นหลินก็เดินถอยหลังหลายก้าวด้วยความกลัวอีกครั้ง
ลูกน้องทุกคนต่างก้มหัวลง ทนมองต่อไปไม่ได้ ฮ่องเต้คนเดียวของรัฐพวกเขา ทำตัวเหมือนชายหนุ่มที่อ่อนแอ กลัวถูกตี เสียหน้าคนรัฐอิงพวกเขาจริงๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาถูกผีอะไรเข้าสิง ไม่เอาหญิงสาวที่สวยงามมากมายในรัฐ เอาแต่คิดถึงเด็กสาวที่ยังไม่โต
ท่านอ๋องฉีค่อยๆ ขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ท่าป๋าหั่นหลินก็ค่อยๆ เดินถอยหลัง ถอยจนไม่มีที่จะถอยแล้ว จึงปล่อยใบหน้าของตัวเอง แล้วกล่าวพึมพำว่า “เราพูดกันก่อน ตีคนแต่อย่าตีหน้า ไม่เยี่ยงนั้นออกจากจวนไปจะทำให้ผู้อื่นตกใจได้”
คนที่ติดตามมายิ่งก้มหัวลงไปอีก สะกดจิตตัวเองในใจว่า นี่มิใช่เจ้านายของพวกข้า นี่มิใช่ฮ่องเต้ของพวกข้า พวกข้าไม่รู้จักคนนี้
ท่านอ๋องฉีหยุดเดิน มองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น แล้วกล่าวเสียงดังว่า “พ่อบ้าน”
พ่อบ้านรีบก้าวออกมาแล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋อง”
“ไปรายงานฮ่องเต้ว่า ฮ่องเต้ของรัฐอิงมาจวนอ๋องฉีกะทันหัน ไม่รู้ว่ามีเป้าหมายอะไรซ่อนเร้นหรือไม่ ให้ฮ่องเต้ส่งคนไปตรวจสอบอย่างละเอียด”
ประโยคนี้รุนแรงมาก ท่าป๋าหั่นหลินตกใจทันที รัฐอิงเป็นรัฐบรรณาการ พูดตรงๆ ก็คือ หากเขาที่เป็นฮ่องเต้ออกจากรัฐของตัวเอง ก็มิใช่อะไรทั้งนั้น ยิ่งตอนนี้ มาเมืองหลวงโดยไม่ได้รับอนุญาต มาอยู่ต่อหน้าต่อตาฮ่องเต้ของรัฐอู่ หากฮ่องเต้ของรัฐอู่อารมณ์ดี ไม่ว่าอะไรเขา บอกว่าเขาแค่มาสู่ขอที่จวนอ๋องฉีเท่านั้น แต่ถ้าหากอารมณ์ไม่ดี กล่าวให้โทษเขาโทษฐานเข้ามาเมืองหลวงด้วยเจตนาที่ไม่ดี ผลลัพธ์ไม่ดีแน่นอน
พ่อบ้านตอบรับคำสั่งอย่างเสียงดัง แล้วหันหลังวิ่งเข้าไปในจวนทันที วันนี้ท่านหญิงน้อยทั้งสองเข้าสู่วัยสาว อารมณ์ของเจ้านายทุกคนต่างดีใจและเสียใจ มีความสับสนที่พูดไม่ถูก ส่วนท่าป๋าหั่นหลินก็มาสู่ขอในเวลานี้พอดี นั่นเท่ากับว่าเอาตัวพุ่งชนความโมโหของเจ้านายชัดๆ ไม่ถูกเจ้านายลงโทษสิแปลก
หวงฝู่ซวิ่นได้ยินรายงาน ก็มีเหตุผลเพื่อออกไปดูพอดี ลุกขึ้นมาอย่างไม่รีบร้อน ค่อยๆ สะบัดแขนเสื้อของตัวเองแล้วกล่าวว่า “ข้าไปดูสักหน่อย ฮ่องเต้รัฐอิงช่างกล้าจริงๆ กล้ามาเมืองหลวงโดยที่ไม่มีคำอนุญาตจากข้า”
พูดจบ ก็ก้าวขาออกไปข้างนอกทันที
เหล่าขุนนางก็ได้ยินคำรายงาน ต่างสบตากัน แล้วลุกขึ้นพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย แล้วเดินตามข้างหลังมาถึงหน้าประตูจวน
ทันทีที่กลุ่มคนมากมายเดินออกมา ท่าป๋าหั่นหลินก็ตกใจเป็นอย่างมาก ก้าวออกมา ก้มตัว ทำความเคารพแล้วกล่าวว่า “ท่าป๋าทำความเคารพฮ่องเต้”
หวงฝู่ซวิ่นไม่ได้เรียกเขาลุกขึ้น แต่มองไปที่ท้ายทอยของเขา แล้วกล่าวถามว่า “ท่าป๋า เจ้ามาเมืองหลวงโดยที่ไม่มีคำอนุญาตของข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าทำผิดโทษประการใด”
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ” ท่าป๋าหั่นหลินขอประทานอภัย “สามปีที่แล้ว ท่าป๋าถูกใจท่านหญิงน้อยเย่าเย่ว์ แต่ตอนนั้นอายุนางยังน้อย ท่าป๋าจึงรอถึงตอนนี้ วันนี้นางเข้าสู่วัยสาวแล้ว ท่าป๋าจึงทนต่อไปไม่ได้ จึงเดินทางมาไกล หนึ่งคือเพื่อแสดงความยินดีที่นางเข้าสู่วัยสาวในวันนี้ สองคือมาจวนอ๋องฉีเพื่อสู่ขอ ขอฮ่องเต้ทรงเห็นแก่ความรู้สึกที่ท่าป๋ารอคอยมานานหลายปีนี้ ประทานอภัยโทษที่ท่าป๋ามาเมืองหลวงโดยที่ไม่ได้รับพระอนุญาตพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดประโยคนี้ คำพูดดูจริงใจ รู้สึกได้ถึงความรู้สึกจริง ทำให้ผู้คนที่ได้ยินตื้นตันใจเล็กน้อย สีหน้าของหวงฝู่ซวิ่นไม่เปลี่ยนแปลง ไม่พูดจา แต่ในใจนั้นเริ่มวางแผนแล้ว แม้ว่ารัฐอิงจะเป็นรัฐบรรณการ แต่ก็เป็นอิสระ หากเย่ว์เอ๋อร์แต่งงานไปก็เป็นฮองเฮาเพียงคนเดียวที่มีสง่าราศีไม่มีผู้ใดเปรียบเทียบได้ ฐานะสูงกว่าแต่งงานกับครอบครัวขุนนางในเมืองหลวง
นึกถึงตรงนี้ ก็พยักหน้า แล้วตั้งใจกล่าวด้วยความน่าเกรงขามว่า “แม้ว่าเจ้าจะจริงใจ แต่ไม่มีกฏเกณฑ์ก็ไม่ได้ อย่างนี้แล้วกัน ภายในหนึ่งเดือนเจ้าห้ามออกจากเมืองหลวง รอให้ข้าส่งคนตรวจสอบเรียบร้อยแล้วว่าเจ้าไม่มีเจตนาที่ไม่ดีข้าจึงจะปล่อยให้เจ้ากลับไป”
ดูเหมือนจะลงโทษเขา แต่จริงๆ แล้วคือกำลังช่วยเขา ท่าป๋าหั่นหลินจะฟังไม่เข้าใจได้อย่างไร จึงรีบก้มตัวทำความเคารพแล้วกล่าวตอบว่า “ขอบพระทัยฮ่องเต้ที่ไม่ตำหนิ ท่าป๋าใช้หัวของตัวเองรับประกันว่า ภายในหนึ่งเดือนจะไม่ออกจากเมืองหลวงแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เขาเข้าใจ ท่านอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนจะไม่เข้าใจได้อย่างไร สายตาทั้งคู่พุ่งไปทางหวงฝู่ซวิ่นทันที
สัมผัสได้ว่าพวกเขาอยากจะควักลูกตาของตัวเองออกมา ในใจของหวงฝู่ซวิ่นก็สั่นกลัวเล็กน้อย แต่ไม่แสดงสีหน้าออกมา หลังจากไอออกมาเบาๆ เพื่อปกปิดอาการร้อนตัวของตัวเอง ก็รีบตรัสสั่งว่า “ท่าป๋าเดินทางมาไกล ข้าก็ไม่มีเวลากลับไปต้อนรับดูแลเจ้าที่วัง วันนี้ก็อยู่ทานอาหารที่จวนอ๋องฉีเถิด ถือว่าข้าจัดงานเลี้ยงต้อนรับเจ้า อีกอย่าง เกี่ยวกับสถานการณ์ของรัฐอิงในสองปีนี้ ข้าก็มีเรื่องจะถามเจ้า”
ท่าป๋าหั่นหลินก้มตัวทำความเคารพ ระงับความตื่นเต้นในใจไว้แล้วกล่าวว่า “ท่าป๋าน้อมรับคำสั่ง”
ท่านอ๋องฉีโมโหมาก ตอนแรกคือตั้งใจให้หวงฝู่ซวิ่นมาไล่คนออกไป ไม่คิดว่าเขาจะพาคนเข้ามาในจวน
หวงฝู่อี้เซวียนกัดริมฝีปากแน่น มือที่กำไว้แน่นก็ไขว้หลังไว้ เพราะเขากลัวควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วต่อยไปบนหน้าของหวงฝู่ซวิ่น
หวงฝู่ซวิ่นทำเป็นไม่เห็น อย่างไรวันนี้อยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายพวกเขาไม่กล้าทำอะไรตัวเองแน่นอน ส่วนหลังจากนี้ ค่อยว่ากัน ไม่แน่พวกเขาอาจต้องขอบคุณตัวเองเสียอีก
สิ่งที่เหล่าขุนนางถนัดที่สุดคือคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ จากการกระทำของหวงฝู่ซวิ่นแล้ว แสดงให้เห็นว่าเขาเห็นด้วยที่ท่าป๋าหั่นหลินสู่ขอหวงฝู่เหย่าเย่ว์ ในขณะที่ในใจรู้สึกอิจฉาอีกใจก็รู้สึกเสียดายด้วย ที่อิจฉานั่นเป็นเพราะ หลานสาวของท่านอ๋องฉีโชคดีอะไรเยี่ยงนี้ ที่ทำให้ท่าป๋าหั่นหลินคิดถึงมานานหลายปี วันนี้เพิ่งจะเข้าสู่วัยสาว ก็ทนไม่ไหวต้องมาสู่ขอที่จวน เป็นถึงฮ่องเต้ของรัฐหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นรัฐบรรณการ แต่ก็ให้ความเคารพกับท่านอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนเป็นอย่างมาก ให้เกียรติกับพวกเขาจริงๆ ที่เสียดายคือวันนี้ตัวเองได้พาครอบครัวมา เพราะอยากจะให้พวกนางตีสนิทกับพระชายาฉี ถามความเห็น ดูว่ามีโอกาสไหมที่จะให้ลูกสาวและลูกชายของทั้งสองฝ่ายได้แต่งงานกัน
หวงฝู่ซวิ่นหันหลังเดินเข้าไปในจวน เหล่าขุนนางเดินตามหลัง ท่าป๋าหั่นหลินเห็นสีหน้าของท่านอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนจึงไม่กล้าขยับตัว
เดินได้ไม่กี่ก้าว ทันใดนั้นหวงฝู่ซวิ่นก็คิดอะไรขึ้นได้ หยุดเดิน หันหลังแล้วกล่าวว่า “ท่าป๋า เป็นอะไรไป หรือว่าต้องใช้ข้าไปเชิญเจ้าเข้ามา”
“มิบังอาจ มิบังอาจ ท่าป๋าจะมาเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ” พูดไปด้วย ขาก็เดินเข้าไปในจวนอย่างรวดเร็ว
รอจนเขาก้าวเข้าไปในจวน หวงฝู่ซวิ่นจึงจะหันกลับไป แล้วเดินเข้าไปในจวนต่อ
ทุกคนเดินเข้าไปแล้ว หน้าประตูจวนเหลือเพียงท่านอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนสองคน
ทั้งสองหันหลัง มองดูหลังของท่าป๋าหั่นหลินที่เดินเข้าไปในจวนด้วยสีหน้าขุ่นเคือง ดูอย่างไร ก็รู้สึกขัดหูขัดตา