“ท่านพ่อ ชิงเอ๋อร์รู้ตัวแล้วว่าผิด ท่านก็ให้อภัยเขาสักครั้งเถอะ”
เมิ่งต้าจินเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก
เมิ่งเอ้ออิ๋นก็สำทับว่า “ใช่แล้ว ท่านพ่อ ชิงเอ๋อร์คุกเข่าอยู่ด้านนอกทั้งคืน แม้ว่าร่างกายจะทำขึ้นจากเหล็กก็รับไม่ไหวนะ พวกเราให้เขาเข้ามาก่อน จะด่าจะตีเช่นไรก็แล้วแต่ท่าน”
“ใช่แล้ว ท่านพ่อ”
เมิ่งซานถงก็เอ่ยเช่นกัน “ดีร้ายอย่างไร ชิงเอ๋อร์ก็เป็นรองแม่ทัพของกองทัพ หากเรื่องที่คุกเข่าทั้งคืนถูกลือออกไป จะทำให้เขาไม่สามารถยืนหยัดในกองทัพต่อไปได้นะ”
…
ไม่ว่าจะพูดเช่นไร เมิ่งจงจวี่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องก็ไม่เอ่ยวาจาใดสักคำ
เหล่าเมิ่งซื่อโมโห จึงลุกขึ้นยืน “ตาเฒ่า ชิงเอ๋อร์เป็นคนสำคัญของข้า เจ้าไม่สงสารแต่ข้าสงสาร หากเจ้ายังไม่ยอมให้เขาเข้ามาอีก ข้าไม่จบกับเจ้าแน่”
เด็กและผู้ใหญ่ทั้งครอบครัวล้วนเฝ้าสังเกตการณ์กันอยู่ วาจาของนางนี่มันอยู่ในกฎข้อใดกัน เมิ่งจงจวี่ถลึงตาใส่นาง เจ้ามันสายตาคับแคบ ไม่รู้จักโลก เจ้าสงสารชิงเอ๋อร์ แล้วข้าไม่สงสารหรืออย่างไร แต่เมื่อกระทำความผิดก็ต้องได้รับการลงโทษ ยิ่งไปกว่านั้นคราวนี้ความผิดของชิงเอ๋อร์นั้นมากเกินไปแล้ว
หากว่าเป็นแต่ก่อน เหล่าเมิ่งซื่อถูกเขาถลึงตาใส่เช่นนี้จะต้องไม่เอ่ยวาจาใดอีกแน่นอน แต่เมิ่งชิงคุกเข่าอยู่ด้านนอกมาทั้งคืนแล้ว นางก็ไม่วางใจตลอดทั้งคืนเช่นกัน เมื่อเห็นฟ้าสว่างแล้ว เมิ่งจงจวี่ก็ยังไม่ยอมผ่อนปรน นางจึงกระวนกระวายใจนานแล้ว เมื่อเห็นเขาถลึงตาใส่ ไม่เพียงแต่ไม่กลัว แต่ยังลุกขึ้นยืนเดินออกไปด้านนอก “เจ้าไม่ไป ข้าไปเอง! ข้าจะให้เมิ่งชิงลุกขึ้น ถ้าหากว่าเจ้ากล้าขวาง ข้าจะพาเมิ่งชิงไปอาศัยอยู่ข้างนอก”
เมื่อสิ้นเสียง คนก็เดินออกไปนอกประตูแล้ว
นี่มันกฎเกณฑ์ข้อใดกัน เมิ่งจงจวี่โกรธจนหนวดกระดิก แต่ก็ลุกขึ้นยืน และเดินตามออกไปเช่นกัน
เมื่อทุกคนเห็นเหตุการณ์นี้แล้ว ก็ยินดี รีบเดินตามทั้งสองคนออกมาถึงนอกจวน
เมิ่งชิงยังคงคุกเข่าตัวตรง ใบหน้าไม่มีความรู้สึกโกรธแค้นใดๆ เมื่อเห็นทุกคนกรูตามเมิ่งจงจวี่สองคนออกมา ก็ไม่รอให้ทั้งสองคนยืนได้อย่างมั่นคง โขกศีรษะลงกับพื้นทันที ปึก ปึก ปึก! เสียงโขกศีรษะดังขึ้น “ท่านปู่ ท่านย่า หลานชายอกตัญญู เมิ่งชิงรู้ตัวว่าผิดแล้ว ขอให้ทั้งสองคนให้อภัยหลานสักครั้ง”
เหล่าเมิ่งซื่อหน่วยตาแดงระเรื่อทันที ยื่นมือออกไป คิดจะประคองเขา แต่กลับถูกเมิ่งจงจวี่ยื่นมือออกมาห้ามเอาไว้
“ชิงเอ๋อร์ เจ้าเอ่ยต่อหน้าทุกคนในตระกูลและเพื่อนร่วมงานของเจ้าสิว่า เจ้าผิดที่ใด หากวันนี้เอ่ยไม่ได้ เจ้าก็ไม่ต้องเข้าไปในจวนนี้แล้ว”
ขุนพลหวังและอีกหลายคนสบตากัน แทบจะอยากให้ตัวเองหายตัวไปในทันที เจ้าว่าพวกเขาหลายคนที่ซวยเช่นนี้ ได้เห็นสภาพตกอับอย่างที่สุดของท่านรองแม่ทัพแล้ว ถ้าหากว่าต้องได้ยินความลับอะไรที่ไม่สามารถเอ่ยออกมาได้อีก พวกเขาจะยังมีชีวิตต่อไปได้อีกหรือไม่
ไม่รอให้เมิ่งชิงตอบ ขุนพลหวังก็ประสานมือทำความเคารพเมิ่งจงจวี่ “ท่านปู่เมิ่ง การที่พวกข้าหลายคนไม่ได้กลับค่ายทหารทั้งคืน ก็เป็นการทำผิดกฎแล้ว ถ้าหากไม่รีบกลับไปให้ทันช่วงเวลาฝึก เช่นนั้นก็ต้องเพิ่มโทษไปอีกขั้นหนึ่ง ท่านผู้เฒ่าคิดว่า พวกข้าควรจะกลับไปก่อนใช่หรือไม่ขอรับ”
สิ่งที่ต้องการก็คือให้พวกเขาเป็นพยาน เพื่อให้เมิ่งชิงจดจำวาจาทั้งหมดที่ตนเองเอ่ยออกมาในวันนี้ เมิ่งจงจวี่จะยอมปล่อยให้พวกเขาจากไปได้อย่างง่ายดายได้เช่นไรกัน จึงเอ่ยว่า “ยามนี้ยังเช้าอยู่ ฟังสักสองสามประโยคคงไม่สร้างความล่าช้าให้พวกท่านมากเท่าใดหรอก”
นี่ก็คือไม่เห็นด้วย ขุนพลหวังคิดจะหาเหตุผลอื่น แต่เสียงของเมิ่งชิงก็ดังขึ้นแล้ว “ท่านปู่ เป็นชิงเอ๋อร์ที่อกตัญญู ชิงเอ๋อร์ไม่ควรไม่ฟังคำของท่าน ดื้อดึงไปปรนนิบัติเลี้ยงดูท่านแม่ของข้า ในวันนี้ข้าเห็นชัดเจนแล้ว นางไม่ได้รักและทะนุถนอมบุตรชายอย่างจริงใจ แต่ละโมบในชื่อเสียงอำนาจและเงินทองของหลาน ในวันนี้หลานได้เห็นหน้าตาจริงๆ ของนางชัดเจนแล้ว และได้ตัดสินใจตัดขาดความสัมพันธ์กับนาง ขอให้ท่านปู่ให้อภัยหลานอกตัญญูที่ไม่เข้าใจว่าอะไรควรไม่ควร”
“เจ้าคิดดีแล้วหรือว่าจะตัดความสัมพันธ์กับนางจริงๆ”
เมิ่งจงจวี่ถามเสียงเข้ม
เมิ่งชิงผงกศีรษะ น้ำเสียงแน่วแน่ “ก่อนหน้านี้หลานนึกว่านางเป็นท่านแม่ผู้ให้กำเนิดข้า การปรนนิบัติเลี้ยงดูนางในช่วงบั้นปลายชีวิตเป็นเรื่องที่หลานควรกระทำ แต่การกระทำทั้งหมดของนางในหลายเดือนมานี้กลับทำให้หลานเจ็บปวดจนเกิดความผิดหวัง หลังจากนี้หลานจะไม่ไปพบนาง และจะไม่สอบถามเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนางทั้งหมดอีก”
“ดี! นี่เป็นสิ่งที่เจ้าพูด วันนี้คนในตระกูลและเพื่อนร่วมงานของเจ้าล้วนอยู่ที่นี่ ข้าก็จะเอ่ยเป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน สตรีอย่างหลี่ชุ่ยฮวา เป็นสตรีที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าตระกูลเมิ่งของพวกเราอีก หวังว่าเจ้าจะจำคำสัญญาของตนเองในวันนี้ได้ ในภายหลังหากกล้ากลับคำ ข้าจะไล่เจ้าออกจากตระกูลไปตลอดกาล และไม่ให้อภัยเจ้าตลอดไป”
เมิ่งชิงโขกศีรษะลงกับพื้นอย่างแรง “หลานจำเอาไว้แล้วขอรับ”
“ลุกขึ้นมาเถอะ!”
“ขอบคุณท่านปู่!”
เมิ่งชิงลุกขึ้นมา แต่เป็นเพราะคุกเข่านานเกินไป ภาพเบื้องหน้าจึงมืดสนิท ฝีเท้าโงนเงนไปเล็กน้อย
“ชิงเอ๋อร์!”
เหล่าเมิ่งซื่อตกใจร้องออกมา ยื่นมือออกไป คิดจะกอดเขาเอาไว้
เมิ่งชิงส่ายศีรษะ ประคองร่างให้ยืนอย่างมั่นคง แย้มรอยยิ้มให้กับนาง “ท่านย่า ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่เป็นอะไรขอรับ”
เหล่าเมิ่งซื่อจับมือเขาขึ้นมาด้วยความสงสาร “ไป รีบตามย่าเข้าไป!”
“ท่านย่ารอก่อนขอรับ!”
เมิ่งชิงกล่าวจบก็หันไปทางขุนพลหวังและคนอื่นๆ ประสานมือไว้ที่หน้าอกเพื่อขอบคุณ “ขอบคุณพวกท่านที่อยู่เป็นเพื่อน ไมตรีของพวกท่านนั้น ข้าจดจำเอาไว้ในหัวใจแล้ว คำขอบคุณนั้นคงไม่เอ่ยไปมากกว่านี้ หลังจากนี้หากทุกท่านต้องการความช่วยเหลือจากข้า ก็ให้รีบเอ่ยออกมา”
ขุนพลหวังและอีกหลายคนรีบกำหมัดตอบกลับ “ท่านรองแม่ทัพเกรงใจเกินไปแล้วขอรับ”
เมิ่งชิงหันไปมองเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ ขอยืมเงินท่านสักสองร้อยตำลึงก่อนได้หรือไม่”
เมิ่งเสียนไม่เอ่ยอันใด หยิบตั๋วเงินออกมาจากแขนเสื้อยื่นไปด้านหน้าเขาทันที
เมิ่งชิงรับเอาไว้ ดึงมือของขุนพลหวังขึ้นมา วางตั๋วเงินลงกลางฝ่ามือเขา “ตั๋วเงินพวกนี้นำกลับไปด้วย หากพี่น้องทุกท่านมีเวลาก็ไปร่ำสุรากันอีกสักครั้ง”
“นี่…”
ขุนพลหวังลังเล การที่ท่านรองแม่ทัพเลี้ยงสุราพวกเขาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง รับเงินเหล่านี้ต่อหน้าคนในครอบครัวเขาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เขาไม่กล้ารับมาทั้งอย่างนี้
เมิ่งจงจวี่เอ่ย “รับเอาไว้เถอะ ถือเสียว่าเป็นเงินที่ชิงเอ๋อร์เลี้ยงสุราพวกท่านเท่านั้น”
เมื่อท่านผู้เฒ่าเอ่ยแล้ว ขุนพลหวังก็ไม่ลังเลอีก รับตั๋วเงินมาใส่ไว้ในอ้อมอก หลังจากประสานมือทำการบอกลาแล้ว คนทั้งหมดก็ควบม้าไปยังทิศทางของค่ายทหาร
หวงฝู่อี้เซวียนส่งคนไปจับตามองทุกความเคลื่อนไหวของหลี่ชุ่ยฮวาตลอด
เรื่องที่เมิ่งชิงตัดขาดความสัมพันธ์กับหลี่ชุ่ยฮวาแล้วกลับไปยังจวนนอกเมืองก็ได้รับรู้อย่างรวดเร็ว ยกถ้วยชาในมือจิบไปเล็กน้อย และออกคำสั่งว่า “จับตามองทางฝั่งหลี่ชุ่ยฮวาต่อไป ดูสิว่านางจะมีแผนการอันใดอีกในภายหลัง”
เมิ่งชิงที่คุกเข่าทั้งคืน แม้ว่าร่างกายจะทำขึ้นจากเหล็กกล้าก็ทนไม่ไหว เมื่อกลับเข้าไปในจวน เส้นประสาทที่ตึงเครียดก็คลายออกในที่สุด คนก็ล้มป่วยทันที อาการป่วยค่อนข้างรุนแรง เมิ่งจงจวี่ร้อนใจเป็นอย่างมาก จึงให้เมิ่งเสียนรีบไปเรียกเมิ่งเชี่ยนโยวมา
หวงฝู่อี้เซวียนกลับไม่ยินยอม “โยวเอ๋อร์เป็นพระชายาซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉี ไม่ใช่ท่านหมอให้โรงหมอ อีกประการหนึ่ง เขาตัดขาดความสัมพันธ์กับโยวเอ๋อร์ต่อหน้าชาวบ้านมากมายขนาดนั้น พวกข้าคงไม่กระตือรือร้นไปช่วย โดยที่อีกฝ่ายไม่รับน้ำใจหรอก เขาจะเป็นหรือตายก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรา”
เมิ่งเสียนเข้าใจนิสัยของเขา นั่นคือเรื่องที่ตัดสินใจไปแล้ว ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จึงไปที่ร้านยาเต๋อเหรินอย่างจนปัญญา และเชิญท่านหมอที่ดีที่สุดของที่นั่นมาตรวจอาการให้เมิ่งชิง
เมิ่งจงจวี่เห็นว่าผู้ที่มาไม่ใช่เมิ่งเชี่ยนโยว ก็ถอนหายใจเบาๆ ชิงเอ๋อร์ขอร้องให้ตนเองให้อภัยนั่นเป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าคิดจะขอร้องโยวเอ๋อร์และเซวียนเอ๋อร์ สองคนนั้นให้อภัยให้ล่ะก็ เกรงว่าจะยากแล้ว