ผ้าคลุมหน้าของอวี้เฟยเยียนพลิ้วไหว เผยให้เห็นใบหน้าบางส่วนของนาง
“อวี้หลัวช่า ท่านทำเช่นนี้ความหมายว่าอย่างไรกัน?”
ผู้เฒ่าใหญ่ยกมือชี้หน้าอวี้เฟยเยียน นิ้วที่ยื่นขึ้นมานั้นสั่นเทา ฝ่ามือเมื่อครู่ทำให้เขาบาดเจ็บไม่น้อย ขณะนี้ยังชาไปทั่วทั้งฝ่ามือ
“อวี้หลัวช่า! นี่ท่านกำลังโจมตีข้าหรือ ท่านต้องการจะละเมิดข้อตกลงการแข่งขันใช่หรือไม่”
“เหอะ เหอะ…”
ได้ฟังคำกล่าวหาผู้เฒ่าใหญ่ อวี้เฟยเยียนถึงกับหัวเราะออกมา รอยยิ้มนางช่างสดใสบริสุทธิ์ ทั้งยังไพเราะน่าฟัง
“กติกาการแข่งขันมีระบุไว้ด้วยหรือว่า หากเห็นความอยุติธรรม ห้ามมิให้ยื่นมือเข้าช่วย”
“ข้าเพียงแค่เห็นว่าเด็กคนนั้นน่าสงสาร เพียงเพราะว่าเขาพูดความจริงล่วงเกินผู้เฒ่าใหญ่เข้า จึงนำมาซึ่งอันตรายถึงชีวิต จึงได้ช่วยเหลือเขาเท่านั้นเอง”
“ผู้เฒ่าใหญ่ การที่ท่านทำร้ายคน เดิมทีแล้วก็มิเกี่ยวข้องกับการแข่งขันแต่อย่างใด ต่อให้เป็นการละเมิดกติกา ก็เป็นท่านที่ละเมิดกติกาก่อน เป็นท่านที่เริ่มเรื่องนี้”
“ข้ายังมีอีกเรื่องจะเตือนท่าน ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ขอให้ท่านรอให้การแข่งขันจบลงก่อนแล้วค่อยจัดการ”
อวี้เฟยเยียนกล่าวจบ ก็เดินไปที่ศิษย์ที่ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บเมื่อครู่ แล้วป้อนยาเม็ดหนึ่งใส่ปากเขา ทั้งยังจับกระดูกที่หักไปเมื่อครู่ ต่อให้เขาด้วยตัวเอง แล้วทิ้งท้ายกล่าวชมเชยเขาว่า
“เจ้าพูดถูกทุกอย่าง!”
“ไม่ว่าจะที่ไหน เมื่อไหร่ก็ตาม ช่วยชีวิตคนเป็นความรับผิดชอบของนักปรุงยา คนที่ตั้งใจแน่วแน่ในจุดนี้นับว่ามีน้อยนัก ขอให้เจ้าตั้งใจแน่วแน่ต่อไป ต่อไปเจ้าจะต้องกลายเป็นนักปรุงยาชั้นเลิศอย่างแน่นอน!”
ศิษย์น้อยที่บาดเจ็บเห็นอวี้เฟยเยียนที่แสนอ่อนโยน ทั้งยังชมเชยตนเอง ก็เขินอายจนหน้าแดง คำพูดคำจาติดขัดไปหมด
“ท่านอวี้หลัวช่า ข้า…เอ่อ ข้าคิดอย่างไร…ก็พูดออกไปอย่างนั้น!”
“พูดได้ดี ทำต่อไปนะ แน่วแน่ในอุดมการณ์ ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องทำสำเร็จ!”
“ขอบคุณขอรับ!”
จนกระทั่งศิษย์ที่บาดเจ็บถูกห้ามออกไป ก็ยังคอยหันกลับมามองสาวน้อยในชุดสีอ่อนอย่างไม่วางตา
“ท่านอวี้หลัวช่า ข้าจะพยายามต่อไป!”
อวี้เฟยเยียนคงไม่รู้เลยว่า ประโยคง่ายๆเพียงประโยคเดียวของนางทำให้ศิษย์ที่บาดเจ็บ คนเมื่อครู่มุมานะพยายามมากขึ้นในภายภาคหน้า เพื่อที่จะเป็นจักรพรรดิโอสถคนที่สามของหอราชาโอสถให้จงได้
เวลาแต่ละนาทีแต่ละวินาทีผ่านไปทั้งขั้นราชันและขั้นวีรชนเริ่มมีเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นมาบริเวณไรผม
พวกเขาทำตามที่ผู้เฒ่าใหญ่สั่ง ถ่ายพลังเสวียนทั้งหมดให้กับเด็กทั้งห้าคนเพื่อรักษาลมหายใจเฮือกสุดท้ายของพวกเขาเอาไว้
แต่สองชั่วยามมันผ่านไปไม่ง่ายเลยจริงๆ
หากใช้เพียงพลังเสวียนละก็ จะต้องสิ้นเปลืองพลังเสวียนจำนวนมาก
เด็กทั้งห้าคนนอนอยู่บนพื้น ราวกับคนที่ตายแล้วอย่างไรอย่างนั้น หน้าอกน้อยๆ กระเพื่อมขึ้นลงอย่างแผ่วเบา หากไม่ตั้งใจมองดูละก็ แทบจะไม่รู้เลยว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่
การกระทำเมื่อสักครู่ของผู้เฒ่าใหญ่ทำให้แขกเหรื่อหลายคนผิดหวัง
บางคนได้ไปเชิญพวกเชียนเยี่ยเสวี่ยทั้งสามคนมา เพื่อสอบถามพวกเขาอย่างละเอียดอีกครั้ง เขาถึงได้เข้าใจ
ที่แท้แล้วผู้เฒ่าใหญ่คนนี้เป็นตัวปลอม! เขาเป็นคนของสำนักหมื่นพิษนี่เอง!
แขกที่มาร่วมงานวันนี้ ล้วนแต่เป็นพวกฉลาดเป็นกรด!
ต่อให้พวกเขารู้ความจริงแล้ว ก็มิยอมแสดงออก
เพียงแต่ทุกคนเริ่มป้องกันตนเองมากขึ้น ทุกคนสั่งให้ยอดฝีมือของตนประกบข้างกายตลอดเวลา ด้วยเกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น
เพราะอย่างไรเสีย วิธีการของสำนักหมื่นพิษก็ต่ำช้าและไร้ยางอายยิ่งนัก!
พวกเขาเล่นสกปรกก่อน จนทุกคนทนไม่ไหวอีกต่อไป
เพราะอวี้เฟยเยียนดึงความสนใจของผู้เฒ่าใหญ่ให้พุ่งมาที่ตน เขาจึงมิได้รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของผู้เข้าร่วมงาน
ถึงแม้ว่าจะมีคนออกมาขอร้องเฉกเช่นศิษย์น้อยที่บาดเจ็บไปเมื่อครู่ก็ตาม แต่ผู้เฒ่าใหญ่ก็ยังยืนยันว่าต้องสองชั่วยาม ไม่ว่าอย่างไรก็มิยอมผ่อนปรน
อวี้เฟยเยียนเองก็หมดปัญญา ทำได้เพียงรอเวลาให้หมดไปเรื่อยๆ
โอ้! เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายแล้ว!
ตอนนั้นเองที่เลี่ยเชวียลุกขึ้น มองดูเด็กทั้งห้าคนอย่างละเอียด แล้วก็พอใจในสิ่งที่เห็นเป็นอย่างมาก
“ไอ้หยา เวลานี่เดินเร็วจริงๆ เลยเชียว! นี่ก็ครบสองชั่วยามแล้ว! เพียงแต่ว่ายมทูตขาวดำของท่านพญายมราชมารออยู่ข้างๆแล้วกระมัง เอ๊ะ ไม่รู้ว่าพวกเขามาดึงวิญญาณรวดเร็วกว่าหรือว่าฝีมืออวี้หลัวช่าจะเร็วกว่ากันเล่า!”
“ผู้เฒ่าใหญ่ ท่านยืนหยัดในหลักการขนาดนี้ น่าให้ผู้คนได้เรียนรู้เป็นแบบอย่างเสียจริงๆ!”
“นี่เท่ากับท่านช่วยงานใหญ่ข้าเลยทีเดียว รอให้จัดการเก็บอวี้หลัวช่าให้ได้ก่อน พวกเราไปดื่มกันสักแก้วสองแก้ว ฮ่าๆ!”
เลี่ยเชวียกล่าวคำพูดกระทบกระเทียบเสียดสี ทั้งยังหัวเราะเสียงดังอย่างอวดดี
ทว่าการกระทำเขาไม่กระทบต่ออารมณ์ของอวี้เฟยเยียนเลยแม้แต่น้อย
แย่งคนจากเงื้อมมือพญามัจจุราช ใช่ว่านางมิเคยทำ
เพียงแต่ว่า คราวนี้นางจะต้องแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาน่ะสิ
ไม่เป็นไร! สั่งสอนให้พวกมันรู้เสียบ้าง มิเช่นนั้นพวกมันจะคิดว่าจะรังแกนางอย่างไรก็ได้
ไม่ว่าเช่นไร อวี้เฟยเยียนตัดสินใจแล้ว ในเมื่อเริ่มทำแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด ไม่ปล่อยคนของสำนักหมื่นพิษเอาไว้แม้แต่คนเดียว พวกเขาจะต้องเอาหัวทิ้งไว้ที่นี่
สำหรับรังของสำนักหมื่นพิษ อวี้เฟยเยียนก็ไม่มีปัญหาหากจะต้องถล่มรังของพวกมัน!
ในเมื่อล้วนแต่เป็นคนเลว ก็เผามันให้ราบในครั้งเดียว มิให้ไปทำร้ายผู้คนได้อีก!
“หมดเวลา!”
เมื่อทรายในนาฬิกาทรายหล่นลงมาจนหมด จอมยุทธ์ทั้งห้าคนก็วางมือพร้อมๆกัน
ในตอนนั้น พลังเสวียนพวกเขาถูกใช้ไปจนหมดไม่มีเหลือ ทำให้จอมยุทธ์แต่ละคนเหงื่อโทรมกาย อ่อนเปลี้ยเพลียแรงเป็นอย่างมาก
“ลำบากทุกท่านแล้ว!”
ผู้เฒ่าใหญ่รีบกุลีกุจอยกมือคารวะขอบคุณพวกเขาทันที
“เชิญทุกท่านกลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อน หลังการแข่งขันข้าจะไปขอบคุณทุกท่านอีกครั้ง!”
ผู้เฒ่าใหญ่หารู้ไม่ว่า เมื่อจอมยุทธ์ทั้งห้าคนเดินออกไปจากสนาม กระบี่ลำแสงห้าแฉกก็ตวัดลงมาเด็ดศีรษะพวกเขาให้ร่วงหล่นบนพื้น
“มั่ว ทำได้ดีมาก!”
เหลียนจิ่นเดินเข้ามา แล้วเทผงยาลงบนร่างของพวกเขาเล็กน้อย
ไม่นาน ร่างพวกเขาก็ละลายกลายเป็นน้ำเมือกสีเหลืองกองหนึ่ง หมอเทวดาฮั่ว เจ้าสำนักหลินและผู้เฒ่าเจ็ดที่ยืนอยู่ข้างกายมองดูด้วยอาการตกตะลึง
“นี่คืออะไรกัน?”
ผู้เฒ่าเจ็ดพุ่งตรงไปตรงหน้าเหลียนจิ่น คว้าเอาขวดยาในมือเขาไปแล้วถามว่า
“อะไรกัน ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้!”
“นี่คือผงละลายศพ!”
“สาวน้อยนั่นเก่งกาจยิ่งนัก!”
ผู้เฒ่าเจ็ดไม่พูดพร่ำทำเพลง จัดแจงยัดขวดยานั้นลงในเสื้อของตนเองทันที
“เจ้าหนุ่ม สิ่งนี้อันตรายเกินไป เจ้าอาจเผลอทำให้ตัวเองบาดเจ็บได้ เก็บไว้ที่ข้าดีกว่า!”
แค่มองก็รู้เลยว่าอาการ ‘โลภ’ ของผู้เฒ่าเจ็ดกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว หมอเทวดาฮั่วหมดคำพูด ทำได้เพียงแค่ให้สัญญากับเหลียนจิ่นว่า จะขอยาขวดใหม่ที่ดีกว่านี้จากอวี้เฟยเยียนมาให้
“เจ้าสำนัก พวกเราจะเข้าไปเมื่อไหร่กัน?”
ผู้เฒ่ารองถูกคุมขังมาหลายวัน และเพิ่งถูกช่วยออกมาอดรนทนไม่ไหว
ข้าจะไปกระชากหน้ากากมันให้ได้!
“เรื่องนี้…”
เจ้าสำนักหลินมองไปที่หมอเทวาฮั่วและเหลียนจิ่นทำนองขอความคิดเห็น
ครั้งนี้ เจ้าสำนักหลินรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก ที่เกิดเรื่องเช่นนี้ใต้จมูกของเขา ผู้อาวุโสใหญ่ถูกคนสลับตัวไป ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่ชอบมาพากล แต่ก็มิได้ค้นพบความจริง เขาบกพร่องจริงๆ
“ผู้เฒ่าทุกท่าน โปรดอยู่ในความสงบ”
น้ำเสียงเหลียนจิ่นนุ่มนวล การช่วยเหลือผู้เฒ่ารองและผู้เฒ่าสามเขาลงแรงไปไม่น้อย ดังนั้นคำพูดของเขาจึงมีน้ำหนัก
“ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่แม่นางอวี้หลัวช่ากำลังถอนพิษให้กับเด็กทั้งห้าคน หากพวกเราทะเล่อทะล่าเข้าไป จะยิ่งเพิ่มความวุ่นวาย กระทบกับการช่วยเหลือเด็กๆ ไม่ว่าอย่างไร เด็กคือผู้บริสุทธิ์! ช่วยพวกเขาให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน”
“เช่นนั้นเจ้าว่าควรทำอย่างไร?”
ผู้เฒ่าสี่เคร่งขรึม ท่าทางเข้มงวด
เมื่อครู่ถูกอวี้เฟยเยียนกระตุ้นด้วยคำพูดรุนแรงขนาดนั้น ผู้เฒ่าสี่ยังรู้สึกโกรธอยู่มาก!
ทว่าเมื่อออกมาด้านนอกก็พบกับหมอเทวดาฮั่วและเจ้าสำนักหลิน พวกเขาถึงได้รู้เจตนาที่แท้จริงของ อวี้เฟยเยียน มาถึงตอนนี้ใจยังรู้สึกผิดอยู่เลย เมื่อครู่มิควรดุแม่นางน้อยถึงเพียงนั้น นางคือผู้มีพระคุณของหอราชาโอสถเชียวนะ!
“รอ”
เหลียนจิ่นกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนสง่างาม
“รอจนนางถอนพิษสำเร็จ สำนักหมื่นพิษและผู้เฒ่าใหญ่จะต้องดำเนินการแผนขั้นต่อไป ถึงตอนนั้นเราค่อยปรากฏตัว กระชากหน้ากากที่แท้จริงของเขาออกมา!”
“ข้าเห็นด้วยกับเหลียนจิ่น!”
หมอเทวดาฮั่วเห็นด้วยกับเหลียนจิ่นเป็นคนแรก
“พวกเราใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง รอให้แม่นางน้อยอวี้แสดงความสามารถออกมาเสียก่อน พวกเราค่อยใช้สถานการณ์ กำจัดสำนักหมื่นพิษ!”
“ศิษย์น้องฮั่ว อวี้หลัวช่า จะจัดการทุกอย่างได้ใช่หรือไม่?”
เจ้าสำนักหลินกังวลใจขึ้นมา เพราะแม้กระทั่งผู้เฒ่าใหญ่ยังถูกเปลี่ยนตัว หลายปีที่ผ่านมาอำนาจของสำนักหมื่นพิษแผ่ขยายไปอย่างรวดเร็วเป็นวงกว้าง หากว่าอวี้หลัวช่าเสียเปรียบจะทำอย่างไร?
“เจ้าสำนักหลินโปรดวางใจ! นางจะไม่ทำศึกที่ไม่มั่นใจ!”
ผู้อาวุโสฮั่ว ชื่นชมอวี้เฟยเยียนมิหยุดปาก
ส่วนผู้เฒ่าเจ็ดที่อยู่ด้านข้างก็คอยเป็นลูกคู่รับพยักหน้าสนับสนุนทุกครั้งไป
“เจ้าสำนัก นางเป็นถึงจักรพรรดิโอสถ ข้าเป็นผู้คัดเลือกด้วยตัวเอง ข้ารู้สึกว่าความสามารถนางยังไปได้ไกลกว่านั้นอีกด้วยซ้ำ…ไม่แน่ว่าวันนี้ พวกเราจะได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์!”
หมอเทวดาฮั่วและผู้เฒ่าเจ็ดสองคนพูดชมเชยความเก่งกาจอวี้เฟยเยียนไม่หยุดปาก ส่วนผู้เฒ่าคนอื่นๆ ก็ยังไม่ค่อยยอมรับบ้าง ตั้งหน้าตั้งตาอยากจะไปที่ลานประลองเพื่อดูว่าอวี้เฟยเยียนจะแก้พิษอย่างไรกัน
เหลียนจิ่นรู้ดี หากมิให้พวกเขาได้ประจักษ์ในความสามารถนางกับตาสักครั้ง พวกเขาก็จะไม่ยอมรับเป็นแน่
ยังดีที่ เขาได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว