จำนนรักชายาตัวร้าย – ตอนที่ 85-3 ฝ่าบาท องค์หญิงเสวี่ยตั้งครรภ์
อวี้จิงเหลยยังมองไม่ออกนั้น อวี้เชียนเสวี่ยก็ก้าวขึ้นมาคุกเข่าลงตรงหน้าอวี้จิงเหลย
“ท่านพ่อ…”
เชียนเสวี่ย
อวี้จิงเหลยคุ้นชินกับภาพอวี้เชียนเสวี่ยที่ผ่ายผอมดำคล้ำ เมื่อเพ่งมองชายหนุ่มหน้าหยกตรงหน้าให้ชัดๆแล้ว ผู้เป็นพ่อก็ถึงกับเงียบไปครู่ใหญ่
อวี้จิงเหลยมองสำรวจโดยละเอียดอีกครู่หนึ่ง เขาจึงได้ประจักษ์ว่าอวี้เชียนเสวี่ยที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้ากับเจ้าหมาป่าคนเล็กแห่งตระกูลอวี้เมื่อสิบกว่าปีก่อนคือคนคนเดียว
ชายผู้นี้คือบุตรชายคนเล็กของเขาจริงๆ!
“เชียนเสวี่ย เจ้าจริงๆหรือ!”
“ท่านพ่อ ลูกเอง! ลูกอกตัญญู ทำให้ท่านพ่อเป็นห่วง!”
“กลับมาก็ดีแล้ว! กลับมาก็ดีแล้ว!”
อวี้จิงเหลยละล่ำละลัก มือใหญ่ยื่นออกมาจับอวี้เชียนเสวี่ยให้ลุกขึ้นแล้วตบที่บ่าของเขาเบาๆ
“ไม่เลว! เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก! ดีจริงๆ!”
“ท่านพ่อ เบามือหน่อยครับ!”
แรงที่ฟาดลงมาหนักหน่วง ทำให้อวี้เชียนเสวี่ยกัดฟันเบา
“เบามือ เยียนเอ๋อร์บอกว่าเจ้าสำเร็จขั้นราชันแล้วมิใช่หรือ แล้วเหตุใดแรงจากฝ่ามือแค่นี้ก็รับไม่ไหวกัน อย่างนี้ไม่ได้! พรุ่งนี้เจ้าจะต้องตื่นแต่เช้า ไปฝึกซ้อมกับข้า”
คำพูดสั่งสอนของอวี้จิงเหลย อวี้เชียนเสวี่ยเศร้าใจแต่ก็พูดไม่ออก
ท่านพ่อ ท่านเป็นถึงขั้นจักรพรรดิแล้วนะ!
ฝ่ามือเดียวของท่าน ฟาดขั้นราชันเช่นลูกกระเด็นได้ รู้หรือไม่!
อีกอย่าง ข้าเป็นลูกชายแท้ๆ ของท่านนะ!
ข้าเพิ่งจะกลับมา ท่านก็จะลากข้าไปฝึกซ้อมทันที มันจะใจร้ายไปหน่อยกระมัง!
“ท่านลุงสามกลับมาแล้ว ในสายตาของท่านปู่ก็มีแต่ท่านลุงสาม! เฮ้อน่าสงสารตัวเองจริงๆเลย! ข้าไปดีกว่า!”
ในตอนนั้นเอง เสียงหวานที่บ่นกระปอดกระแปดดังแว่วมา
“เยียนเอ๋อร์ เจ้าพูดว่าอะไรกัน!”
อวี้จิงเหลยแสร้งขมวดคิ้วเข้มแล้วค่อยฉีกยิ้มกว้างออกมา จากนั้นก็ยื่นมือออกไปอุ้มอวี้เฟยเยียนยกขึ้นราวกับเด็กๆ
“เจ้าคิดเล็กคิดน้อยแม้แต่กับลุงสามของเจ้าอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าวางใจเถอะ เยียนเอ๋อร์เป็นที่หนึ่งในใจปู่เสมอ ที่หนึ่งในใจปู่! ลุงสามของเจ้าหยาบนัก จะมาเทียบกับเยียนเอ๋อร์ได้อย่างไรกัน!”
“ท่านปู่ ท่านปู่ปราดเปรื่องยิ่งนัก!”
อวี้เฟยเยียนยกนิ้วให้กับผู้เป็นปู่
“จริงๆ แล้วในใจของลุง เจ้าก็เป็นที่หนึ่งเช่นกัน!”
“จริงหรือคะ ฮ่าๆ!”
เมื่อกลับมาที่บ้าน อวี้เฟยเยียนก็รู้สึกผ่อนคลายและเป็นอิสระ คราวนี้เลยอดมิได้ที่จะออดอ้อนผู้เป็นปู่
“คารวะ ท่านแม่ทัพ!”
มู่เหนี่ยนซีก้าวมาด้านหน้าคารวะอวี้จิงเหลยอย่างเปิดเผย
ใครต่างก็บอกว่าสะใภ้จะให้ขี้เหร่อย่างไร ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องพบพ่อแม่สามี
เมื่อครู่ระหว่างทาง มู่เหนี่ยนซีรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก
นางชาติกำเนิดต่ำต้อย หากว่าตามการแบ่งชนชั้นวรรณะของโลกและจักรวาลแล้ว โจรสลัดจัดว่าเป็นชนชั้นปลายแถว เทียบชั้นอะไรไม่ได้เลยกับอวี้เชียนเสวี่ยที่เป็นลูกหลานกงโหวผู้สูงศักดิ์
ดังนั้นหากว่าเลือกที่ฐานะทัดเทียมกันละก็ มู่เหนี่ยนซีและอวี้เชียนเสวี่ยไม่เหมาะสมกันแม้แต่น้อย แต่มู่เหนี่ยนซีก็ให้กำลังใจตัวเองมาโดยตลอด
นางชอบอวี้เชียนเสวี่ย นางจะอยู่กับเขา
ต่อให้อวี้จิงเหลยคัดค้าน นางก็จะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
ครานี้นางเห็นว่าอวี้จิงเหลยแลดูใจดีมีเมตตา ซึ่งแตกต่างจากจงอี้กงที่นางจินตนาการเอาไว้เองอยู่มาก ทำให้มู่เหนี่ยนซียิ่งมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น
“มู่เหนี่ยนซี…”
อวี้จิงเหลยจ้องมองสาวน้อยผมสีน้ำตาลนิ่ง
รูปร่างหน้าตานางราวกับเลือดผสม ผมยาวสลวยสีน้ำตาล ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ดั้งจมูกโด่ง กับริมฝีปากที่อวบอิ่ม ผิวสีน้ำตาลอ่อน ท่าทางร่าเริงสนุกสนาน เต็มไปด้วยพลัง
“เจ้าค่ะ ข้าน้อยมู่เหนี่ยนซี!”
เมื่อรู้ว่าอวี้จิงเหลยรู้จักชื่อแซ่ของตน มู่เหนี่ยนซีไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก
อวี้เฟยเยียนเขียนจดหมายส่งข่าวให้กับอวี้จิงเหลย เรื่องนี่มู่เหนี่ยนซีและอวี้เชียนเสวี่ยต่างก็รับรู้
และเรื่องที่ท่านลุงสามจะพาท่านป้าสามกลับไปด้วย อวี้เฟยเยียนก็บอกล่วงหน้าเอาไว้แล้วในจดหมาย รวมทั้งสถานะของมู่เหนี่ยนซี นางก็บอกเอาไว้อย่างชัดเจน
เพราะอย่างไรเสีย เรื่องนี้ก็ปิดไม่อยู่อยู่แล้ว ไม่สู้บอกไว้ก่อนล่วงหน้า ให้ทั้งสองฝ่ายได้เตรียมใจกันเอาไว้
“เจ้าเป็นโจรสลัดอย่างนั้นหรือ”
อวี้จิงเหลยตั้งค่ายอยู่ริมมหาสมุทรของแคว้นต้าโจวเป็นเวลานาน จึงได้มีโอกาสได้ข้องเกี่ยวกับโจรสลัดหรือพวกโจรหลายต่อหลายครั้ง
แม่นางน้อยที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นโจรสลัด ทั้งยังเป็นหัวหน้าอีกด้วย จึงเป็นอวี้จิงเหลยเสียอีกที่เป็นฝ่ายจ้องมองนางอยู่เป็นนาน
เพราะอย่างไรเสีย โลกของโจรสลัดก็แตกต่างกับโลกของผู้อื่นอยู่ไม่น้อย
มู่เหนี่ยนซีอายุยังน้อย ก็กลายเป็นโจรสลัดที่มีชื่อเสียง นั่นก็หมายความว่านางก็มีความสามารถอย่างแท้จริง!
“เจ้าค่ะ เป็นเจ้ใหญ่เจ้าค่ะ!”
เมื่อเห็นว่าอวี้จิงเหลยรู้สถานะของตนเองดี มู่เหนี่ยนซีก็ไม่มีท่าทีเคอะเขินเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามนางกลับมีท่าทีภาคภูมิใจด้วยซ้ำไป
“อื้ม!”
อวี้จิงเหลยพยักหน้าเบาๆ
ลองไม่กล่าวถึงว่านางเป็นโจรสลัดที่มีคุณธรรมหรือชั่วช้า
ณ ขณะนั้นนางแสดงท่าทีที่เปิดเผยซื่อตรงทั้งยังเคารพในอาชีพของตน นับว่ามู่เหนี่ยนซีเป็นหญิงที่เปิดเผยตรงไปตรงมาคนหนึ่ง
“ท่านพ่อ…”
อวี้เชียนเสวี่ยเกรงว่าอวี้จิงเหลยจะทำให้มู่เหนี่ยนซีลำบากใจ เขาจึงรีบก้าวมายืนเคียงข้างนาง
“ท่านพ่อ เหนี่ยนซีคือผู้มีพระคุณของลูก!”
“ข้ารู้!”
เมื่อเห็นว่าบุตรชายเอาแต่ปกป้องมู่เหนี่ยนซีถึงขนาดนี้ อวี้จิงเหลยจึงใคร่ครวญอย่างหนัก
“แต่ว่ามู่เหนี่ยนซีคือนักโทษของราชสำนักนี่นา!”
ในรายนามประกาศจับของต้าโจวมีชื่อของมู่เหนี่ยนซีอยู่
หากว่าอวี้เชียนเสวี่ยเลือกที่จะอยู่กับนางจริงๆละก็ ความกดดันและความยากลำบากที่พวกเขาต้องเผชิญนั้นหนักหนายิ่งนัก มีคำพูดบางอย่างอวี้จิงเหลยมิอาจเอ่ยออกมาต่อหน้ามู่เหนี่ยนซี เขาต้องลองทดสอบท่าทีของบุตรชายเสียก่อนจึงจะตัดสินใจ อย่างไรเสีย ลูกคือดวงใจของพ่อแม่!
ในวันนี้เขาเหลือเพียงอวี้เชียนเสวี่ยบุตรชายคนนี้เพียงคนเดียว แน่นอนว่าย่อมต้องสนใจท่าทีความคิดเห็นของเขาอยู่แล้ว
“ในเมื่อกลับมากันแล้ว ก็ไปอาบน้ำ พักผ่อน ครอบครัวเราไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากันมาตั้งนานแล้ว!”
ในตอนนั้นเองที่อวี้จิงเหลยมองเห็นซย่าโหวฉิงเทียนที่ยืนอยู่ด้านข้าง เขาตกตะลึงชั่วครู่หนึ่ง
“ท่านอ๋อง ท่านมาได้อย่างไร…”
“ข้าแวะมาเยี่ยมผู้อาวุโส! รู้มาว่าท่านชื่นชอบในการทหาร ตอนนี้ข้าได้ตำรา ‘เบญจพิชัยยุทธ์’ มาเล่มหนึ่ง จึงอยากจะให้ผู้อาวุโสช่วยตรวจสอบให้สักหน่อยว่าเป็นของจริงหรือไม่”
ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวจบ มิเพียงแต่อวี้เฟยเยียนที่ตื่นตระหนก แม้แต่อวี้เชียนเสวี่ยก็เอ๋อไปเช่นกัน
แปลว่าเจ้าหมอนี่ไม่ได้มามือเปล่า มีการเตรียมการเอาไว้เรียบร้อยแล้ว!
อีกอย่าง เขาล่วงรู้ถึงความชื่นชอบของท่านปู่ได้อย่างไรกัน
ดูแล้วเขาคงสืบข้อมูลเตรียมตัวมาอย่างดี รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง!
นี่ถึงกับใช้กลยุทธ์การทหารเพื่อตามจีบเมียเลยหรือนี่!
ยิ่งมองก็ยิ่งทำให้อวี้เชียนเสวี่ยรู้สึกว่าซย่าโหวฉิงเทียนผู้นี้ลึกล้ำยากจะคาดเดา จิตใจและความคิดของเขาลึกซึ้งยิ่งนัก
ไม่น่าเล่าเจ้าหมอนี่ อายุยังน้อยก็สามารถเล่นงานแคว้นซีเย่ว์เสียจนเละตุ้มเป๊ะ สติปัญญาของคนผู้นี้มิใช่ธรรมดา!
‘เบญจพิชัยยุทธ์’ คือตำราพิชัยยุทธที่แม่ทัพผู้กำชัยชนะแห่งแคว้นฉินจื้อท่านหนึ่งเรียบเรียงขึ้นเมื่อร้อยปีก่อน ซึ่งต่อมาแม่ทัพผู้นี้ก็ถูกจักรพรรดิสั่งให้ตายเพราะความริษยา ตำราการทหารเล่มนั้นจึงตกทอดสู่ผู้คน
ในฐานะที่เป็นคลั่งไคล้การทหารคนหนึ่ง เมื่อได้ยินชื่อตำราเข้า ตาอวี้จิงเหลยก็เป็นประกายอย่างเห็นได้ชัด เขาเชื้อเชิญซย่าโหวฉิงเทียนอยู่รับอาหารเย็นด้วยกันทันที
“ท่านพ่อ นี่มันมื้อเย็นของบ้านเรา ท่านอ๋องมีราชกิจมากมาย ท่านยุ่งนักแล…”
อวี้เชียนเสวี่ยเห็นสีหน้าซย่าโหวฉิงเทียน ก็เจ็บใจจนกัดฟันกรอด
หลินเจียงอ๋องผู้นี้มองข้ามมิได้เลยจริงๆ!
เขามั่นใจหนักหนาว่าผู้อาวุโสแห่งตระกูลอวี้หลงใหลในตำราด้านการทหาร ชอบที่จะศึกษาการศึก นับว่าโจมตีถูกจุดทีเดียว!