จำนนรักชายาตัวร้าย – ตอนที่ 91-3 ซย่าโหวฉิงเทียน ท่านก็มีหัวใจที่อ่อนโยนดวงหนึ่ง
ไม่นาน หมอหลวงก็มากราบทูลเรื่องที่หลิวฮองเฮาเสียสติให้ซย่าโหวจวินอวี่รับรู้ สีหน้าเขาเข้มขึ้น แล้วกำชับให้คนดูแลหลิวฮองเฮาให้ดี
สาส์นท้ารบของซย่าโหวจวินอวี่ส่งไปถึงซีเย่ว์ เพิ่มเรื่องราวโศกนาฏกรรมของหลิวฮองเฮาเข้าไปอีกเรื่อง
“เสด็จพี่ ให้ข้าไปตามล่าหลิวเปยเถอะ ข้ารับรองว่าภายในหนึ่งวันจะจับตัวมันกลับมาได้แน่นอน!”
ซย่าโหวฉิงเทียนหารู้ไม่ว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบนั่นก็คือซย่าโหวจวินอวี่นั่นเอง
เขากำลังครุ่นคิดว่า ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบซย่าโหวเสวี่ย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะมารังแกคนในตระกูลซย่าโหวได้
ในมุมซย่าโหวฉิงเทียน หากเป็นเรื่องภายในเราคนในจะจัดการแก้ไข รังแกกันอย่างไรก็ได้ ถือเป็นเรื่องภายในครอบครัว แต่เมื่อออกไปข้างนอก ใครก็ตามที่กล้ารังแกตระกูลซย่าโหว ก็เท่ากับเป็นศัตรูเขา ซึ่งมันสมควรตาย!
“ไม่ต้อง!”
ข้อเสนอของซย่าโหวฉิงเทียน แน่นอนว่าซย่าโหวจวินอวี่ไม่เห็นด้วย
“เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้า…”
ซย่าโหวจวินอวี่นะหรือจะให้ซย่าโหวฉิงเทียนไปไล่ล่าหลิวเปย
ไม่เพียงแต่ไม่ต้องไปไล่ล่าตามจับหลิวเปย เขายังให้คนแอบจัดการอะไรบางอย่างๆ ลับๆ ในจุดที่สำคัญ เพื่ออำนวยความสะดวกให้หลิวเปยหลบหนีไปได้
เพราะหากไม่ทำเช่นนี้ แล้วจะยกทัพไปโค่นล้มซีเย่ว์อย่างสะดวกโยธินได้อย่างไรกันเล่า!
เวลาผ่านไปเพียงแค่คืนเดียว ซย่าโหวจวินอวี่กลับแลดูแก่ชราลงไปมาก เมื่อมองดูใบหน้าที่แก่ชราร่วงโรยของซย่าโหวจวินอวี่แล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนจึงไม่ดึงดันอีกต่อไป เขานั่งเป็นเพื่อนเคียงข้างซย่าโหวจวินอวี่เท่านั้น
เห็นแผ่นหลังที่ตรงแน่วของซย่าโหวฉิงเทียน ซย่าโหวจวินอวี่ก็ยิ้มออกมา
ยังดี ที่มีบุตรชายที่แสนซื่ออยู่ข้างกายเขา!
ลูกเอ๋ย เรื่องการวางแผนซ้อนกล ให้พ่อทำก็เพียงพอแล้ว เจ้ารอคอยแค่ได้อุ้มคนงามกลับบ้าน แล้วมีหลานตัวอ้วนให้พ่อสักสองสามคนก็พอ!
ลูกสะใภ้ทั้งสามคนล้วนเก่งกาจทั้งสิ้น แล้วสินสอดทองหมั้นจะน้อยไปได้อย่างไรกัน!
แผนการในใจที่ฮ่องเต้ทรงตระเตรียมไว้คือ ลูกสะใภ้หนึ่งคน หนึ่งแคว้น เช่นนี้จึงจะนับว่ายุติธรรม
ถึงแม้ว่าซีเย่ว์จะยากจนไปสักหน่อย แต่นั่นเป็นเพราะฮ่องเต้แห่งซีเย่ว์เลอะเลือนไร้สามารถ แท้ที่จริงแล้วซีเย่ว์เป็นแคว้นที่มีทรัพยากรมาก อากาศดี ประชาชนขยันขันแข็งเรียบง่าย จึงนับเป็นพื้นที่ที่ดีอยู่ไม่น้อย
ครั้งนี้ที่ลงมือ ถึงแม้ว่าวิธีการจะเลวทรามไปบ้าง แต่เพื่อชีวิตในภายภาคหน้าที่สวยงามของบุตรชาย เขาจึงยอมทุ่มเททุกอย่าง!
สุดท้าย ซย่าโหวจวินอวี่ก็ผล็อยหลับไปเคียงข้างซย่าโหวฉิงเทียน
ซย่าโหวฉิงเทียนมองดูเส้นผมบางส่วนของซย่าโหวจวินอวี่เริ่มที่จะขาวโพลนอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยๆ ชันกายลุกขึ้นหยิบผ้าห่มมาห่มให้กับเขา
รอจนกระท่งซย่าโหวฉิงเทียนเดินออกไปอย่างเงียบๆ แล้ว ซย่าโหวจวินอวี่ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาฉายแววจนปัญญา ทั้งยังฉายแววแห่งความซาบซึ้งใจ
เมื่อไหร่กันที่เจ้าจะยอมเรียกข้าว่าเสด็จพ่อ…
ข่าวที่ว่าองค์ชายแห่งซีเย่ว์วางยาพิษสังหารองค์หญิงเสวี่ยจนสิ้นพระชนม์ ต่อสู้ทำร้ายองครักษ์จนบาดเจ็บล้มตายนับสิบ แพร่ไปทั่วเมืองหลวงภายในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน
เหล่าชาวบ้านได้ฟังข่าวนี้ก็รู้สึกโกรธแค้นเป็นอย่างมาก จนแทบอยากที่จะจับกุมหลิวเปย แล้วสับด้วยมือของพวกเขาเอง!
ขณะเดียวกันประกาศจับของหลิวเปยถูกส่งไปทั่ว
ฝ่าบาทต้องทรงทำศพส่งพระธิดา คนผมขาวส่งคนผมดำ เมื่อได้ยินข่าวนี้ เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างก็โกรธเคืองจนแทบกระอักเลือด หลิวฮองเฮาเสียพระทัยที่สูญเสียองค์หญิงจนสติฟั่นเฟือน อารมณ์คั่งแค้นโกรธเคืองปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองหลวง…
หลากหลายเรื่องราวถูกเผยแพร่ออกไปอย่างต่อเนื่อง ล้วนกระทบจิตใจประชาชน ทำให้หัวใจที่รักชาติของพวกเขาคุกกรุ่น
ประชาชนตั้งกลุ่มขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือทางการไล่ล่าหลิวเปยไอ้คนเนรคุณ ขณะเดียวกระแสให้โค่นล้มซีเย่ว์ก็ยิ่งหนักหน่วงขึ้นทุกวัน
ขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ต่างก็ยื่นหนังสือถึงฮ่องเต้ ให้ทรงมีพระบัญชาเคลื่อนพล
เพียงแต่พระองค์เสียพระทัยอย่างหนักจนประชวร เมื่อได้ยินข่าวคราวเหล่านี้ ในใจอวี้เฟยเยียนก็เกิดความเคลือบแคลงสงสัยเล็กน้อย จนมากเข้า สุดท้ายก็แปรเปลี่ยนเป็นเข้าใจเรื่องราวทุกอย่าง
ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง……
ฝ่าบาททรงคือยอดฝีมือที่เ**้ยมโหดที่สุดในประวัติศาสตร์จริงๆ นับถือ นับถือ!
ข้างกายอวี้เฟยเยียน คืออวี้จิงเหลยและอวี้เชียนเสวี่ยที่กำลังหารือเรื่องราวในราชสำนัก ทั้งสองคนล้วนแต่เป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์ภักดี ซึ่งก็ได้ถวายฎีกาเพื่อให้ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาเคลื่อนพลโจมตีซีเย่ว์
เมื่อเห็นอวี้จิงเหลยและอวี้เชียนเสวี่ยถกเถียงกันอย่างหนัก อวี้เฟยเยียนก็หมดคำพูด
ส่วนในเรื่องนำทหารไปออกรบ ทั้งคู่ต่างไม่มีใครยอมใคร
คนหนึ่งก็บอกว่า ท่านพ่อท่านอายุมากแล้ว มิควรที่จะต้องไปต่อสู้ฆ่าฟันเด็ดหัวพวกศัตรูลูกสุนัขในสนามรบอีก หน้าที่นี้ก็ให้ลูกไปทำเถอะ ท่านจะได้ไม่ต้องลำบากอายุมากแล้วคงไม่ค่อยสะดวก เดี๋ยวจะพลาดท่าทำตัวเองบาดเจ็บเข้า ลูกต้องมาสงสารท่านอีก
ส่วนอีกคนก็บอกอีกว่า ไอ้ลูกชาย อาศัยเจ้าน่ะหรือ เจ้าเป็นแค่ขั้นราชัน ยังกล้าคุยโว เจ้านะอยู่ที่นี่! เรื่องนี้ให้พ่อจัดการเอง เจ้ารออยู่ที่นี่เป็นเด็กดีรีบทำลูกเข้า! อายุอานามก็ไม่น้อยแล้ว ควรจะเป็นพ่อคนได้แล้ว!
ชายต่างวัยสองคนแห่งตระกูลอวี้ ถกเถียงกันจนหน้าดำหน้าแดง ส่วนอวี้เฟยเยียนก็นั่งแทะเมล็ดแตงไปพลางพูดคุยกับมู่เหนี่ยนซีเรื่องของเสื้อผ้าที่เป็นที่นิยมที่สุดในตอนนี้ไปด้วย
อย่างไรเสีย นางก็ไม่ชอบซย่าโหวเสวี่ยอยู่แล้ว!
ซย่าโหวเสวี่ยตายไป นับเป็นเรื่องน่ายินดีปรีดา แล้วเหตุใดเล่าถึงจะต้องมานั่งเป็นเดือดเป็นร้อนโกรธแค้นแทนด้วย!
ยิ่งกว่านั้น ฮ่องเต้ทรงเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์สิ่งที่ทรงต้องการนั่นก็คือการลุกฮือของประชาชนผู้รักชาติยิ่งชีพ ยิ่งหนักหน่วงเท่าไหร่ก็ยิ่งดี จนสุดท้ายกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างสองแคว้น ถึงตอนนั้นพระองค์จะได้ทำตามสิ่งที่ประชาชนเรียกร้อง ยกทัพไปโค่นล้มซีเย่ว์ได้อย่างสะดวกโยธินนะสิ
พูดตามความจริงละก็ ซย่าโหวจวินอวี่ต่างหากที่เป็นนายใหญ่ สุดยอดไปเลย!
ไม่รู้ว่าพระองค์ทรงเริ่มคิดแผนการนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
หรือตั้งแต่ที่รู้ว่าซย่าโหวเสวี่ยสูญเสียความบริสุทธิ์ จึงเริ่มวางแผนการนี้ จัดฉากเรื่องราวทั้งหมด
น่ากลัวจริงๆ เลย!
“เสี่ยวอวี้ เหตุใดเจ้าถึงไม่ทุกข์ร้อนเลยสักนิดเดียวละ!”
เมื่อเห็นพ่อสามีและสามีต่างกำลังถกเถียงเรื่องของการทำศึกสงครามกันชนิดหน้าดำหน้าแดง มู่เหนี่ยนซีก็จนปัญญาไม่รู้ว่าจะห้ามปรามพวกเขาอย่างไร
การทำศึกสงครามถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องมีการบาดเจ็บล้มตาย ถึงแม้ว่าจะเป็นอวี้จิงเหลยหรืออวี้เชียนเสวี่ยที่เก่งกาจก็ตาม แต่มู่เหนี่ยนซีในฐานะที่เป็นครอบครัวของพวกเขา นางก็อดที่จะกังวลใจไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นพ่อสามีลงสู่สนามรบ หรือเป็นสามีลงสู่สนามรบ มู่เหนี่ยนซีล้วนแต่เป็นห่วงพวกเขาทั้งนั้น
“ท่านป้าสาม สงบใจเถอะ!”
อวี้เฟยเยียนสีหน้าราบเรียบ มีจักรพรรดิโอสถอยู่ทั้งคน ท่านปู่และท่านลุงสามจะเป็นอะไรได้อย่างไรเล่า!
“ทุกสิ่งทุกอย่างในใต้หล้านี้ล้วนแต่ไม่เที่ยง มีหลอมรวมก็มีแบ่งแยก นับเป็นเรื่องธรรมดา ซีเย่ว์ล่มสลาย ช้าเร็วก็ต้องเกิด! ท่านปู่และท่านลุงสามเป็นลูกหลานต้าโจว ยิ่งกว่านั้นพวกเขาเป็นทหาร หน้าที่ของทหารนั่นคือปฏิบัติตามคำสั่ง”
“ไม่ว่าพวกเขาจะถกเถียงกันอย่างไร สุดท้ายคนที่เป็นผู้ตัดสินก็คือฝ่าบาท!”
คำพูดของอวี้เฟยเยียน ทำให้อวี้จิงเหลยและอวี้เชียนเสวี่ยเปลี่ยนมุมมองความคิดที่มีต่อนาง
“ดี พูดได้ดี!”
ไม่ต้องรอให้อวี้จิงเหลยเอ่ยปาก ก็มีเสียงขึ้นจากด้านนอก ซย่าโหวจวินอวี่ในชุดลำลองเดินเข้ามา ติดตามมาด้วยซย่าโหวฉิงเทียน
“ฝ่าบาท…”
ฝ่าบาทเสด็จมาเยี่ยมเป็นการส่วนพระองค์ ทำให้อวี้จิงเหลยและอวี้เชียนเสวี่ยตกใจไม่น้อย
ฝ่าบาททรงเสด็จมาเช่นนี้ ได้พาองครักษ์มาด้วยหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ
ราวกับอ่านความกังวลใจของประมุขแห่งตระกูลอวี้ออก ซย่าโหวฉิงเทียนกระแอมออกมาเบาๆ แล้วกล่าวว่า
“มีข้าอยู่ ยังจะมีใครบังอาจ!”
คำพูดยโสโอหังของซย่าโหวฉิงเทียน ทำให้ซย่าโหวจวินอวี่ต้องออกปากปรามเขา
ลูกเอ๋ย เจ้านี่ตรงเกินไปแล้วกระมัง!
อยู่ต่อหน้าประมุขแห่งตระกูลอวี้ เจ้ากับอวี้เฟยเยียนจะได้ลงเอยกันหรือไม่ ยังต้องให้ผู้เป็นปู่ของนางยินยอมถึงจะได้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าไม่รู้จักกล่าวอ้อมๆ บ้างเลยหรืออย่างไร อ้อมค้อมบ้าง เข้าใจหรือไม่!
“ฉิงเทียน เจ้าพูดจาเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านแม่ทัพเป็นผู้อาวุโสกว่าเจ้า ผู้อาวุโสเข้าใจหรือไม่!”
กล่าวจบ ฝ่าบาทก็ขอโทษอวี้จิงเหลยอย่างสุภาพ ยังกล่าวอีกว่าลูกชายเขา เสียมารยาท ขออภัยด้วย
ทรงตรัสคำพูดแปลกประหลาดมีนัยเช่นนี้ อวี้จิงเหลยและอวี้เชียนเสวี่ยแน่ใจมากว่าฝ่าบาทจะต้องทรงรู้เรื่องที่ว่า ซย่าโหวฉิงเทียนชอบพออวี้เฟยเยียนอย่างแน่นอน ทั้งยังทรงสนับสนุนเต็มกำลังอีกด้วย!
ฝ่าบาทลดพระองค์ลงมาเช่นนี้ แน่นอนว่าอวี้จิงเหลยรับไว้ไม่ไหว เขารีบกล่าวตอบรับว่าซย่าโหวฉิงเทียนเป็นเด็กที่มีนิสัยเถียรตรง ซึ่งลูกผู้ชายพึงมี ไม่ควรอ้อมค้อมจนเกินไป ทำให้ฝ่าบาทพอพระทัยยิ่งนัก
บุตรชายของข้า ย่อมต้องดีที่สุดแน่นอน!
“ฝ่าบาท ทรงเสด็จมาในวันนี้ ทรงตัดสินพระทัยแล้วว่าจะให้ใครเป็นผู้นำทัพใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”