จำนนรักชายาตัวร้าย – ตอนที่ 94-1 ชายผู้นี้จะกำบังแดดฝนให้นางเอง
“ฝ่าบาท พระทัยเย็นไว้เพคะ!”
หลิวกุ้ยเฟยยกชามถั่วเขียวต้มดอกไป๋เหอเข้ามา
“อากาศร้อน พระองค์อย่าได้ทรงกริ้วจนทำร้ายพระวรกายเลยนะเพคะ!”
เมื่อเห็นหน้าหญิงอันเป็นที่รัก อารมณ์โกรธเชียนลั่วเฉิงก็พลันเบาบางลง
“ข้ายังไม่พบศพเจ้าลูกไม่รักดีนั่น เลยไม่ค่อยวางใจ!”
“ฝ่าบาท พระองค์ควรจะทรงเชื่อใจใต้เท้าหงเยี่ยนะเพคะ!”
หลิวกุ้ยเฟยยื่นมือออกไปลูบปลอบเบาๆ ที่อกเชียนลั่วเฉิง เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ให้กับเขา
“เจ้าลูกนอกคอกนั่นจะต้องตายแล้วอย่างแน่นอนเพคะ!”
“ได้ ข้าเชื่อเจ้า!”
ทั้งสองพูดคุยกะหนุงกะหนิงอยู่อีกครู่ใหญ่ หลิวกุ้ยเฟยหยอกล้อจนอารมณ์เชียนลั่วเฉิงดีขึ้นแล้วค่อยถอยออกมา
เมื่อออกมาพ้นประตู สีหน้าหลิวกุ้ยเฟยก็แปรเปลี่ยนเป็นดุดัน
“ไปตำหนักเย็น!”
เมื่อมาถึงตำหนักเย็น เมื่อประตูตำหนักถูกเปิดออกกลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายลอยออกมาปะทะ จนหลิวกุ้ยเฟยต้องถอยร่นไปสองสามก้าว
ภายใต้แสงตะวัน ร่างหญิงผู้หนึ่งสวมชุดสีขาวยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ นางกำลังเงยหน้ามองท้องฟ้าพลัน ราวกับได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง นางหันขวับมามองเห็นหลิวกุ้ยเฟย
“ฮองเฮา ท่านคงจะว่างมากกระมังเพคะ!”
เมื่อเห็นใบหน้างามของฮองเฮา หลิวกุ้ยเฟยก็กำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น
หญิงผู้นี้ ใช้วิชามารอะไรกันแน่
อายุอานามก็ประมาณหนึ่งแล้ว เหตุใดใบหน้าถึงยังอ่อนเยาว์ราวสาวแรกแย้มวัยยี่สิบกว่าได้ แทบคาดเดาอายุไม่ถูกเลย
โชคดีที่ฝ่าบาทมิทรงโปรดปรานฉู่ฮองเฮา มิเช่นนั้นนางคงจะไม่มีโอกาสได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทเป็นแน่!
“หากว่าหลิวกุ้ยเฟยต้องการความสุขสงบ ก็สามารถมาอยู่เป็นเพื่อนข้าได้นะ!”
ฉู่ฮองเฮากล่าวตอบเสียงเรียบ
“เฮอะ! ข้าคงไม่มีอารมณ์สุนทรีย์เช่นนั้นหรอก!”
หลิวกุ้ยเฟยยิ้มเยือกเย็นออกมา นางเดินเข้าไปใกล้ จนเมื่อฉู่ฮองเฮาหมุนกายกลับมา หลิวกุ้ยเฟยยิ้มเยาะที่มุมปาก
“ในเมื่อฮองเฮาประทับอยู่ที่นี่แล้วมีความสุข เช่นนั้นหม่อมฉันก็จะไปกราบทูลฝ่าบาท ให้ท่านอยู่ที่นี่ระยะยาวไปเลย!”
“ขอบคุณ!”
ฉู่ฮองเฮายังมีท่าทีสงบเยือกเย็นไม่ร้อนรนใดๆ เช่นเดิม รัศมีความสง่างามที่อยู่เหนือกว่านาง ทำให้หลิวกุ้ยเฟยโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก
นางเกลียดท่าทีสงบเยือกเย็นไม่เดือดไม่ร้อนของฉู่ฮองเฮาเช่นนี้ที่สุด จากสถานการณ์ในตอนนี้ นางไม่เชื่อหรอกว่าฮองเฮาจะไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย
“ข้ามาที่นี่ก็เพื่อจะมาแจ้งข่าวแก่ฮองเฮา”
“เยี่ยนอ๋องกำเริบเสิบสาน กล้าปองร้ายฝ่าบาทในงานเลี้ยงพระราชทาน โชคดีที่ใต้เท้าเยี่ยหงอยู่ที่นั่น ด้วยเยี่ยนอ๋องจึงถูกสำเร็จโทษกลางงาน สำหรับตระกูลฉู่ที่วางแผนการชั่วช้า คิดคดทรยศเป็นกบฏต่อราชบัลลังก์ ฝ่าบาทมีรับสั่งให้จับกุมตัวไว้ทั้งหมดแล้ว”
คำพูดแต่ละประโยคของหลิวกุ้ยเฟย ราวกับมีดแหลมชั้นดีทิ่มแทงลงกลางใจของฉู่ฮองเฮาให้เจ็บปวดเหลือแสน
“เยี่ยนอ๋องไม่มีวันทำเรื่องเลวทรามผิดต่อฟ้าดินเช่นนั้น ตระกูลฉู่ยิ่งไม่มีทางคิดกบฏ!”
ถึงแม้ว่าสีพระพักตร์ฮองเฮาจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป แต่น้ำเสียงพระนางที่กำลังสั่นเล็กน้อย นั่นทำให้หลิวกุ้ยเฟยอารมณ์ดียิ่งนัก
“ฮองเฮา พระองค์ช่างใสซื่อเสียจริงนะเพคะ!”
“ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร ฝ่าบาทก็ทรงตัดสินโทษเยี่ยนอ๋องไปแล้ว สำหรับตระกูลฉู่น่ะหรือ โอ้ ข้าลืมกราบทูลท่านไป ผู้ที่ทำการสอบสวนตระกูลฉู่ก็คือพี่ชายของข้าเอง…”
“เจ้ามันต่ำช้า…”
มองดูรอยยิ้มเยาะของหลิวกุ้ยเฟย ฉู่ฮองเฮาก็ส่ายศีรษะพร้อมกับถอยร่นไปด้านหลังสองสามก้าว
พี่ชายหลิวกุ้ยเฟย เป็นเศษคนที่ชั่วช้าสามานย์
ตระกูลฉู่ตกอยู่ในมือของเขา เกรงว่าจะไม่มีทางรอดเสียแล้ว…
“ฮองเฮามิต้องทรงขอบใจหม่อมฉันหรอกเพคะ ฝ่าบาททรงสัญญากับหม่อมฉันแล้วว่าจะป่าวประกาศโทษของตระกูลฉู่ให้คนทั้งแผ่นดินได้รับรู้ ถึงตอนนั้นฮองเฮาที่มีโทษเช่นท่านก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องมีชีวิตอยู่อีกต่อไป!”
เป็นสามีภรรยากันมายี่สิบปี เขากลับตอบแทนนางเช่นนี้ เขาช่างโหดเ**้ยมนัก!
“จริงสิ พระองค์คงจะมิทรงทราบ เหตุที่เยี่ยนอ๋องปองร้ายฝ่าบาท เป็นเพราะเยี่ยนอ๋องดึงดันจะพบฮองเฮาให้ได้ จะว่าไปแล้วก็เพราะมีฮองเฮาที่ไม่เอาไหนเป็นตัวถ่วง ท่านทรงใส่ร้ายลูกชายแท้ๆ ของท่านเอง!”
“น่าเสียดาย เยี่ยนอ๋องผู้เก่งกาจ ทว่าเขากลับมิใช่ลูกของข้า!”
“ดูท่าแล้ว จะมาเกิดเป็นลูกใครก็ถือเป็นหนทางการเอาชีวิตรอดอย่างหนึ่ง!”
“ฮ่าๆ!”
ท่าทีอ่อนแอน่าสงสารของฉู่ฮองเฮากับท่าทีลำพองใจของหลิวกุ้ยเฟย เป็นภาพเปรียบเทียบที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง
จนกระทั่งประตูตำหนักเย็นปิดลง ทว่าเสียงหัวเราะหลิวกุ้ยเฟยยังดังก้องอยู่ในหูฉู่ฮองเฮาไม่สร่าง
ฉู่ฮองเฮาแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง นางยืนหยัดจนกระทั่งหลิวกุ้ยเฟยกลับออกไป ถึงได้ทรุดกายลงบนพื้นอย่างคนหมดเรี่ยวแรง
“เสวี่ยเอ๋อร์ เพราะแม่ทำร้ายเจ้า!”
ยิ่งเมื่อนึกถึงเชียนเยี่ยเสวี่ยที่ต้องอดทนอดกลั้นกับฮ่องเต้และหลิวกุ้ยเฟยมากเพียงใดเพื่อนาง หัวใจของฉู่ฮองเฮาก็ยิ่งเจ็บปวดรวดร้าว
“แม่ไร้สามารถ แม่ทำให้เจ้าต้องเดือดร้อน!”
ฉู่ฮองเฮาน้ำตาไหลรินออกมาเป็นสาย หยาดน้ำตาของนางหยดลงบนพื้นปรอยๆ
เพราะความอ่อนแอของนาง ทำร้ายลูกสาวของตัวเอง ตระกูลฉู่ต้องเดือดร้อนเพราะฮองเฮาที่ไร้ประโยชน์เช่นนางอยู่ร่ำไป
นางผิดไปแล้ว!
ฝ่าบาทมิทรงยอมปล่อยตระกูลฉู่ ครานี้คงยากที่หลีกหนีเคราะห์กรรมครั้งนี้ได้พ้น!
หากมิใช่เพราะนางละโมบเพราะคาดหวังความรักความอบอุ่นเพียงน้อยนิดจากเชียนลั่วเฉิง ละทิ้งศักดิ์ศรีความเป็นคน ไหนเลยจะถลำลึกลงไปทีละก้าวทีละก้าว จนท้ายที่สุดต้องมามีจุดจบที่น่าอดสูเช่นนี้เล่า!
เพราะนาง บุตรสาวถึงต้องตาย ตระกูลฉู่ต้องสูญสิ้น เรื่องมาถึงขั้นนี้ นางยังจะมีหน้ามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้อย่างไรกัน!
นางต่างหากที่สมควรตายสักหมื่นครั้ง…
ตกกลางคืน ฉู่ฮองเฮาใช้ผ้าแพรสีขาวแขวนคอตนเองที่หน้าประตูตำหนักเย็น
กระทั่งเชียนลั่วเฉิงไปถึง ตาเหลือบไปเห็นที่หน้าประตูของตำหนักเย็น ที่ฉู่ฮองเฮาใช้เลือดของตนเองเขียนเป็นอักษรเลือดว่า ‘ใส่ร้าย’
เดิมทีฉู่ฮองเฮาคิดจะเขียนว่า ‘แค้น’
นางแค้นที่ตนเองไร้สามารถ แค้นเชียนลั่วเฉิงที่ใจร้าย สิ่งที่ฉู่ฮองเฮาเจ็บแค้นในชาตินี้นั้นมากมายเหลือคณา
ซึ่งสิ่งแค้นเคืองมากที่สุดนั่นก็คือตนเอง นางมองคนผิดไป นางชักศึกเข้าบ้าน!
แต่ ฉู่ฮองเฮามิอาจเขียนเช่นนั้นได้ เพราะญาติพี่น้องของนางยังอยู่ในคุก
หากนางเขียนว่า ‘แค้น’ เชียนลั่วเฉิงจะต้องพิโรธจนหันไปลงกับคนตระกูลฉู่เป็นแน่ ต่อให้ตระกูลฉู่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าต้องตาย แต่ก็มิอาจตายเพราะถูกลบหลู่ดูหมิ่น!
ดังนั้นก่อนตาย ฉู่ฮองเฮาจึงใช้เลือดของตนเองเขียนว่า ‘ใส่ร้าย’
ใส่ร้าย…
เชียนลั่วเฉิงมองดูร่างของฉู่ฮองเฮาที่นอนราบอยู่บนพื้นหลังจากที่ให้คนยกนางลงมา
หากพูดถึงฐานะชาติกำเนิดและรูปโฉมแล้ว ฉู่ฮองเฮาอยู่เหนือกว่าหลิวกุ้ยเฟยอยู่มากนัก
เชียนลั่วเฉิงยังจำได้ดีว่า ในตอนนั้นที่ฉู่ฮองเฮายังไม่ได้หมั้นหมายกับใครนั้น ความงามและคุณธรรมของนางเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งเมืองหลวง
ตอนนั้นคุณชายมากมายต่างพากันไปสู่ขอนางที่ตระกูลฉู่อย่างไม่ขาดสาย ชนิดหัวกระไดไม่แห้ง
หากมิใช่เขาใช้วิธีการบางอย่าง เพื่อที่จะได้พบนางในงานเลี้ยงงานหนึ่งละก็ บางที ฉู่ฮองเฮาอาจจะไม่รู้จักเชียนลั่วเฉิงคนๆ นี้ด้วยซ้ำไปและก็คงไม่แต่งงานกับเขา
หากไม่มีนางและตระกูลฉู่ ตำแหน่งฮ่องเต้และแผ่นดินนี้คงไม่มีทางตกเป็นของเชียนลั่วเฉิงเป็นแน่!
คงเพราะฉู่ฮองเฮาได้พบเห็นเชียนลั่วเฉิงในขณะที่ท้อแท้ที่สุด ตกต่ำที่สุด อเนจอนาถที่สุด
ดังนั้นไม่ว่านางจะอ่อนโยนเพียงใด งดงามเพียงไหน หรือเป็นคนดีมีคุณธรรมมากเพียงใด ส่วนลึกในหัวใจของเชียนลั่วเฉิงก็ยังคงรังเกียจฉู่ฮองเฮาอยู่ดี
ไม่มีใครหรอกที่จะยินยอมเผชิญหน้ากับอดีตที่น่าอัปยศของตน ยิ่งกว่านั้นเมื่อเขาคือประมุขแคว้น
ภายหลังจากที่เชียนลั่วเฉิงขึ้นครองราชย์ ทุกครั้งที่เขาเห็นฉู่ฮองเฮา เขาก็จะคิดถึงความบัดซบของตนเองในอดีตทุกครั้งไป
ถึงขนาดที่ว่า ฉู่ฮองเฮาที่งดงามบริสุทธิ์ผุดผ่องกับเขาที่มืดดำชั่วร้ายกลายเป็นความแตกต่างที่ชัดเจนเด่นชัด ทำให้เชียนลั่วเฉิงยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจไปกันใหญ่
ใบหน้าฉู่ฮองเฮาดั่งกระจกสะท้อนให้เชียนลั่วเฉิงเห็นความอัปยศของตนเอง
ความกดดันที่ออกมาจากส่วนลึกในจิตใจ ทำให้เชียนลั่วเฉิงเลือกที่จะหลบหลีกฉู่ฮองเฮา ขณะเดียวกันก็ตามหาคนประเภทเดียวกับตนเองอย่างหลิวกุ้ยเฟยมาแทนที่
อยู่กับหลิวกุ้ยเฟย ทำให้เชียนลั่วเฉิงรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขาและหลิวกุ้ยเฟยที่เห็นแก่ตัว ต่ำช้า จิตใจคับแคบ ขี้อิจฉาริษยาเช่นเดียวกัน ทั้งเคยเผชิญกับเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกัน นิสัยเหมือนกัน ทำให้เชียนลั่วเฉิงเห็นหลิวกุ้ยเฟยเป็นดั่งสหายที่รู้ใจของตนเอง
อยู่กับหลิวกุ้ยเฟย เขาไร้ซึ่งความกดดันใดๆ
ผู้คนที่กล่าวว่าเขาว่าอาศัยบารมีตระกูลฉู่จนได้ขึ้นครองราชย์เหล่านั้น เขาก็หาโอกาสกำจัดไปทีละคน
ภายหลัง เขาก็มักจะให้ท้ายตระกูลหลิวเพื่อใช้ข่มตระกูลฉู่
เมื่อเห็นตระกูลฉู่ที่กล้าๆ กลัวๆ เช่นนั้น เชียนลั่วเฉิงปลดระวางความกดดันที่สั่งสมมานานลงได้
ในตอนนี้ สตรีที่เขาเคยใช้ความพยายามมากมายเพื่อให้ได้แต่งงานกับนาง กำลังนอนอยู่บนพื้นที่เย็นยะเยือก ฉับพลันหัวใจเชียนลั่วเฉิงก็บีบรัดอย่างแรง มันเจ็บปวดและอึดอัด
นางจะมาจากไปอย่างนี้ได้อย่างไร
ไม่ได้รับการอนุญาตจากเขา นางกล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร!