จำนนรักชายาตัวร้าย – ตอนที่ 94-2 ชายผู้นี้จะกำบังแดดฝนให้นางเอง
“ฮองเฮา อีอี…”
เชียนลั่วเฉิงเดินไปหยุดที่เบื้องหน้าฮองเฮา แล้วเรียกขานชื่อจริงของนาง
นางถือกำเนิดมาจากตระกูลฉู่ ไม่ว่าที่ไหนเมื่อ การกระทำและคำพูดทุกอย่างของนางยังคงสวยงามไร้รอยด่างพร้อยเสมอ
แม้กระทั่งช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตที่ต้องจากโลกนี้ไป ฉู่ฮองเฮายังแต่งกายให้เกียรติตนเองอย่างที่สุด
เชียนลั่วเฉิงเกือบลืมไปแล้วว่าตนไม่ได้พบหน้าฉู่ฮองเฮามานานเท่าไหร่กัน นางนอนหลับอย่างสงบนิ่งอยู่ตรงนี้ ใบหน้านางเรียบเฉย ไม่มีความอาฆาตแค้นแม้แต่น้อย ราวกับนางกำลังนอนหลับก็ไม่ปาน
แต่ทว่ารูปโฉมนาง ยังคงงามเฉกเช่นในอดีตไม่เปลี่ยนแปลง
เชียนลั่วเฉิงไม่นึกไม่ฝันเลยว่า ฉู่ฮองเฮาจะเลือกวิธีนี้ในการปลิดชีพตนเอง
หลายปีมานี้ ไม่ว่าเชียนลั่วเฉิงจะเย็นชามองข้ามนาง หรือให้ท้ายหลิวกุ้ยเฟยให้หาเรื่องนางอย่างไร ตั้งแต่ต้นจนจบฉู่ฮองเฮาก็ยังคงสงบนิ่งไม่มีสะทกสะท้าน
ดวงตาคู่นั้นที่ผ่องแผ้วสดใสราวสายน้ำของนาง ยังคงทอดมองมาที่เขานิ่งๆ ทำให้เชียนลั่วเฉิงทนไม่ไหวจนต้องเป็นฝ่ายหลบหลีกสายตาในทุกครั้งไป
มาตอนนี้ ดวงตาคู่งามนั้นกลับกลายเป็นกลวงโบ๋ชุ่มไปด้วยเลือด ซึ่งถึงแม้ว่าเลือดจะเหือดแห้งไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อมองดูก็ยังแลดุร้ายน่าหวาดกลัวอย่างที่สุด
นางกำนัลที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายฉู่ฮองเฮากราบทูลว่า
“พระนาง ควักพระเนตรของตนเอง แล้วแตะโลหิตจากดวงพระเนตร เขียนอักษรเลือดที่ประตูตำหนัก…”
ควักดวงตาของตนเอง นางจะต้องเจ็บปวดทรมานมากเพียงไหนกัน!
เมื่อหวนรำลึกถึงวันที่แต่งงานกัน ขณะที่ฉู่ฮองเฮาทำถุงหอมให้กับเขา ไม่ทันระวังถูกเข็มตำที่นิ้วมือ ท่าทางบอบบางจนเกือบจะร้องไห้ออกมาเช่นนั้น ทำให้เชียนลั่วเฉิงเจ็บปวดราวถูกมีดแหลมทิ่มแทงที่ใจ
ฮองเฮา เจ้าแค้นเคืองข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ
นี่เจ้าโทษที่ดวงตาของเจ้ามองคนผิด จึงต้องควักมันออกมาอย่างนั้นหรือ
หรือ…ถึงแม้จะตายไป เจ้าก็ไม่ยินยอมที่จะมองข้าอีกต่อไป
เจ้าหมายความเช่นนี้ใช่หรือไม่
“ฝ่าบาท พระนางทรงมีรับสั่งว่า ตระกูลฉู่จงรักภักดี ไม่มีวันแปรเปลี่ยน ตอนนี้เยี่ยนอ๋องก็ทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ขอฝ่าบาททรงเห็นแก่ความเป็นสามีภรรยากันมาหลายปี ขอทรงยั้งมือ ปล่อยตระกูลฉู่ด้วยเถิดเพคะ!”
กล่าวจบนางกำนัลผู้นั้นก็โขกศีรษะคำนับฮ่องเต้ และเมื่อนางได้ทูลคำสั่งเสียสุดท้ายของฮองเฮาเรียบร้อยแล้ว นางกำนัลผู้นั้นก็โขกหัวกับบานประตูตำหนักเย็นจนสิ้นใจตายตรงนั้น ฉับพลันบรรยากาศก็ยิ่งเศร้าสลดอย่างที่สุด
มีเพียงหลิวกุ้ยเฟยที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ เลิกคิ้วหลิ่วตาด้วยความสบายใจอย่างที่สุด นางก็มิอาจปกปิดความเปรมปรีดิ์ยินดีในใจของพระนางไว้ได้
“ฝ่าบาท ฮองเฮาทรง…รับโทษปลิดชีพด้วยพระองค์เองใช่หรือไม่เพคะ”
ตั้งแต่นางเข้าวังมาก็ดำรงตำแหน่งกุ้ยเฟย ถึงตอนนี้สิบกว่าปีแล้ว
ตำแหน่งกุ้ยเฟยนี่ นางเป็นจนเบื่อแล้ว!
หลายปีมานี้ ไม่ว่าเชียนลั่วเฉิงจะรักเอาใจนางอย่างไร แต่จนแล้วจนเล่าก็ไม่ยอมมอบตำแหน่งฮองเฮาให้แก่นางเสียที
หลิวกุ้ยเฟยรู้ดีว่า เป็นเพราะเชียนลั่วเฉิงกังวลใจในตระกูลฉู่ ดังนั้นจึงพิรี้พิไรไม่ยอมยกนางขึ้นเป็นฮองเฮาเสียที
ตอนนี้เชียนเยี่ยเสวี่ยก็ตายไปแล้ว ฉู่ฮองเฮาก็ปลิดชีพตนเอง ตระกูลฉู่ก็ล้มแล้ว ไม่มีใครมาขวางทางของนางได้อีก ตำแหน่งฮองเฮาควรที่จะเป็นของนางได้แล้ว!
“หุบปากเดี๋ยวนี้นะ!”
เชียนลั่วเฉิงสั่งสอนหลิวกุ้ยเฟยต่อหน้าธารกำนัล อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
สิบกว่าปีมานี้หลิวกุ้ยเฟยใช้อำนาจบาตรใหญ่ แม้จะไม่มีตำแหน่งฮองเฮาแต่ก็มีฝ่าบาทคอยให้ท้ายมานานแล้ว นางกุมอำนาจวังหลังทั้งหกตำหนัก จึงกลายเป็นฮองเฮาในใจของทุกคนมาช้านาน
วันนี้เกิดออะไรขึ้น
ฝ่าบาท กล่าวสั่งสอนนางโดยไม่ไว้หน้า
หลิวกุ้ยเฟยที่ถูกเชียนลั่วเฉิงกล่าวตำหนิสั่งสอน รู้สึกว่าอารมณ์คุกรุ่นของเขามันช่างเหลวไหลยิ่งนัก
แต่ทว่า แต่ไหนแต่ไรมานางก็มักจะคอยสังเกตสถานการณ์อยู่แล้ว ถึงแม้ว่านางจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดฝ่าบาทจะต้องพิโรธก็ตาม ทว่านางก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่าอย่างไรฝ่าบาทก็ยังทรงเป็นเจ้านายที่ใหญ่ที่สุดในวังหลวงแห่งนี้ ซึ่งมิอาจล่วงเกินได้ ดังนั้นหลิวกุ้ยเฟยจึงรีบคุกเข่าลงโขกศีรษะคำนับเพื่อรับผิด เชียนลั่วเฉิงถึงได้ยอมเลิกรา
แต่ทว่า สิ่งที่เชียนลั่วเฉิงกระทำภายหลังกลับทำให้หลิวกุ้ยเฟยโกรธมาก
เชียนลั่วเฉิงมิเพียงฝังร่างฉู่ฮองเฮาเอาไว้ในสุสานราชวงศ์ แต่งตั้งฉู่ฮองเฮาเป็น ‘เซี่ยวกงเหรินฮองเฮา’ ทั้งยังประกาศอีกว่าเมื่อพระองค์สวรรคตแล้วให้ฝังร่างเคียงข้างร่างฉู่ฮองเฮาอีกด้วย
นอกจากนี้เชียนลั่วเฉิงยังประกาศโทษทัณฑ์ตระกูลฉู่หน้าท้องพระโรง
ฝ่าบาทรับสั่งริบคืนตำแหน่งอ๋องของตระกูลฉู่ รวมทั้งถอดถอนยศตำแหน่งทั้งหมดของลูกหลานตระกูลฉู่และให้เนรเทศสมาชิกทุกคนในตระกูล
สำหรับเยี่ยนอ๋อง จนแล้วจนเล่าเชียนลั่วเฉิงก็ยังคงคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีมูลเหตุมาจากนาง ดังนั้นจึงไม่ยอมปล่อยนาง กระทั่งการตายของฉู่ฮองเฮา พระองค์ก็เหมารวมว่าเป็นความผิดเชียนเยี่ยเสวี่ยเช่นกัน
หากมิใช่เชียนลั่วเฉิงลอบทำร้ายเขา เยี่ยหงก็คงไม่ทำร้ายนางจนบาดเจ็บเป็นตายไม่รู้แน่ชัด ฮองเฮาก็คงไม่หมดอาลัยตายอยากจนฆ่าตัวตายเช่นนี้!
ในสายตาเชียนลั่วเฉิง เชียนเยี่ยเสวี่ยคือลูกอกตัญญู!
ด้วยเหตุนี้ เชียนลั่วเฉิงจึงตัดสินโทษตายให้กับเชียนเยี่ยเสวี่ย
อยู่ต้องพบคน ตายต้องพบศพ! ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดิน ก็จะต้องตามหาเชียนเยี่ยเสวี่ยให้เจอให้จงได้
“ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้เป็นการปล่อยเสือเข้าป่านะเพคะ!”
หลังจากที่รู้คำตัดสินของฝ่าบาท หลิวกุ้ยเฟยก็ทั้งเอะอะโวยวายทั้งร้องห่มร้องไห้
ใครจะคาดคิด ครั้งนี้เชียนลั่วเฉิงตัดสินใจขั้นเด็ดขาด เมื่อเห็นหลิวกุ้ยเฟยร้องไห้ตีโพยตีพายเข้ามากเข้า เขาจึงสั่งให้นางคัด ‘ข้อปฏิบัติแห่งสตรี’ หนึ่งร้อยจบเสียเลย
ท่าทีที่เปลี่ยนไปของเชียนลั่วเฉิง ทำให้หลิวกุ้ยเฟยจับทางไม่ถูก
สุดท้ายหลิวกุ้ยเฟยจึงเชื้อเชิญปรมาจารย์เยี่ยหงมาช่วยเหลือ เมื่อพบหน้า หลิวกุ้ยเฟยก็ร่ำไห้ระบายเป็นการใหญ่
“ท่านดูสิ ฝ่าบาททรงหมายความว่าอย่างไรกัน ที่ข้าทำเช่นนี้เพราะเป็นห่วงฝ่าบาทนะ!”
“หากท่านไม่วางใจตระกูลฉู่! เช่นนั้นก็ให้คนตามไปสังหารพวกนั้นเสียก็สิ้นเรื่อง!”
ตี้อู่หงเยี่ยกล่าวพลางลูบไล้และพินิจพิจารณาแหวนวงใหญ่บนนิ้วของตนเองไปด้วย
นางมีเรื่องต้องขบคิดอีกมาก ไหนเลยจะมีเวลามาฟังหลิวกุ้ยเฟยพร่ำเพ้อพรรณนาไร้สาระได้
ตี้อู่หงเยี่ยตามล่าหนานกงจื่อหลิงตั้งแต่เมืองอู๋โยวจนมาถึงฉินจื้อนี่ เดิมทีนางคิดว่าจะใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ จับเจ้านอกคอกนั่นได้
ที่ไหนได้ จู่ๆ หนานกงจื่อหลิงก็หายตัวไปเสียเฉยๆ
แม้กระทั่ง ‘ผงหอมหมื่นลี้’ ของนางก็หายไปด้วย
เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ
ผงหอมหมื่นลี้ จะหมดสรรพคุณได้อย่างไรกัน!
ยิ่งเมื่อนึกถึงคำสั่งประมุขตระกูลหนานกงที่มอบหมายให้นางแล้ว ตี้อู่หงเยี่ยก็ยิ่งปวดเศียรเวียนเกล้าไปกันใหญ่
หากมิใช่นางต้องการจะยืมกำลังเชียนลั่วเฉิงช่วยนางตามหาหนานกงจื่อหลิงละก็ ตี้อู่หงเยี่ยก็ไม่คิดที่จะมาข้องแวะกับคนชั้นล่างพวกนี้ด้วยซ้ำ
และด้วยเหตุนี้เอง เชียนลั่วเฉิงจึงยื่นเงื่อนไขอีกว่า ให้นางจัดการโค่นล้มจักรพรรดิโอสถคนใหม่อวี้หลัวช่าเป็นการแลกเปลี่ยน
เดิมทีตี้อู่หงเยี่ยก็ได้ไม่สนใจอะไรในเรื่องนี้แม้แต่น้อย แต่เมื่อได้ยินว่าแผ่นดินหลัวอวี่ที่มีแต่พวกคนชั้นต่ำพวกนี้อาศัยอยู่ กลับมีคนที่สามารถสำเร็จเป็นจักรพรรดิโอสถได้ นางจึงเกิดสนอกสนใจขึ้นมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสืบรู้มาว่าอวี้หลัวช่าคนนี้เป็นถึงจักรพรรดิโอสถด้วยอายุเพียงสิบห้าปี ตี้อู่หงเยี่ยก็ยิ่งตกตะลึง
พรสวรรค์เช่นนี้ ต่อให้พลิกชนเผ่าตานทั้งเผ่าเพื่อค้นหามันจะเจอสักกี่คนเชียว
ในปีนั้นเทพธิดาเผ่าตานขึ้นเป็นจักรพรรดิโอสถ ด้วยอายุสิบสี่ปี
ตี้อู่เยียนเอ๋อร์แต่เล็กจนโตเติบโตอยู่ในเผ่าตาน ได้ยินได้เห็นอะไรมากมาย ทั้งยังมีอาจารย์ที่ดีคอยชี้แนะจนเป็นจักรพรรดิโอสถได้ สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับพรสรรค์และสภาพแวดล้อมที่นางเติบโตมาเป็นอย่างมาก
ตอนนี้ บนผ่นดินลัวอวี่บังเกิดผู้ที่มีทั้งพรสวรรค์และความสามารถที่เหนือกว่าตี้อู่เยียนเอ๋อร์เสียอีก แล้วจะไม่ให้คนอยากรู้อยากเห็นได้อย่างไร!
จากความกระหายอยากที่จะรู้ ตี้อู่หงเยี่ยจึงรับเงื่อนไขของเชียนลั่วเฉิง นางเองก็อยากจะพบอวี้หลัวช่าคนนั้นสักหน่อย
หากอวี้หลัวช่าคนนี้รู้จักว่าอะไรเป็นอะไรแล้วเข้าร่วมกับเผ่าตานละก็ แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งทีเดียว
แต่หากอวี้หลัวช่ามองข้ามความหวังดี ไม่ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อนาง หนทางเดียวนั่นก็คือตาย
ในบ้านเมืองโหดร้ายป่าเถื่อนเช่นนี้ ฆ่าคนตายสักคนนับเป็นเรื่องปกติ
ตี้อู่หงเยี่ยหมายมั่นปั้นมือไว้เช่นนี้ ขอเพียงนางรู้สึกว่าอวี้หลัวช่าเป็นอันตรายต่อนางแม้เพียงนิดเดียว นางก็จะจัดการเด็ดหัวแม่นางน้อยนั่นทันที
“ความหมายข้าก็คือ ข้าอยากเชิญให้ใต้เท้าเยี่ยออกหน้า…”
มองท่าทีหลิวกุ้ยเฟยเช่นนั้น สายตาตี้อู่หงเยี่ยก็ฉายแววดูแคลนออกมาอย่างไม่ปิดบัง
เจ้ามันตัวอะไร!
หรือคิดว่าตนเองมีตัวตนจริงๆ อย่างนั้นหรือ!
ยังไม่รู้จักพึงสำเหนียกฐานะของตัวเอง ถึงขนาดกล้าเรียกใช้ให้ข้าไปสังหารชาวบ้านธรรมดาชั้นต่ำ สกปรกมือข้ายิ่งนัก!
“เรื่องนี้ ข้าจะไม่ช่วยท่าน!”
“คนอื่นอาจจะประจบสอพลอท่าน เอาใจท่าน แต่ข้าไม่!”
ตี้อู่หงเยี่ยตอบปฏิเสธหลิวกุ้ยเฟยไปตรงๆ
รอจนกระทั่งตี้อู่หงเยี่ยเดินออกไป หลิวกุ้ยเฟยถึงกับตบโต๊ะด้วยความโกรธเกรี้ยว
เยี่ยหงคนนี้ ไม่เชื่อฟังเอาเสียเลย!
หากหูซาอยู่ก็คงดี!
ยิ่งคิดหลิวกุ้ยเฟยก็ยิ่งโกรธเกรี้ยว แต่ก่อนไม่ว่านางต้องการสิ่งใด เพียงแค่เอ่ยปากกับหูซาคำเดียว หูซาก็จะรับปากในทันที ไม่เหมือนกับเยี่ยหงคนนี้ ที่ไม่เห็นใครในสายตา
น่าโมโหจริงๆ!
ทว่าโมโหก็ส่วนโมโห เรื่องที่ต้องทำก็ยังต้องทำอยู่ดี
ว่าแล้ว หลิวกุ้ยเฟยก็ให้คนสนิทออกไปนอกวัง ใช้เงินจำนวนมากเพื่อเสาะหามือสังหารไว้รับมือกับตระกูลฉู่ นางจะทำให้ตระกูลฉู่ทั้งหมดตั้งแต่เด็กยันแก่ ไปได้แต่กลับมาไม่ได้!
นางจะไม่ให้พวกเขาได้มีโอกาสแว้งกัดนางได้อีก!
ณ บ้านหลังหนึ่งในเมืองหลวงของแคว้นฉินจื้อ ในที่สุดเชียนเยี่ยเสวี่ยก็ฟื้นขึ้นมา
“โอ๊ย…”
เพียงขยับร่างกาย เชียนเยี่ยเสวี่ยก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดแล่นมาจากบาดแผลที่หน้าอก แผลของเนื้อที่ปริแตก เจ็บจนร่างนางสั่นระริก
รู้สึกเจ็บได้
นางยังไม่ตายหรือนี่!
เชียนเยี่ยเสวี่ยลืมตาตื่นขึ้น รอบกายนางมืดดำสนิท
คงเพราะนางขยับตัวทำให้เกิดเสียง เสียงใสเจื้อยแจ้วของเด็กสาวผู้หนึ่งดังแว่วเข้ามา
“พี่เฮ่ออี นางฟื้นแล้ว!”
หลังจากนั้นคนทั้งสองก็เดินเข้ามาหาเชียนเยี่ยเสวี่ย มือเย็นยะเยือกจับชีพจรของเชียนเยี่ยเสวี่ยอยู่ครู่ใหญ่ คนสองคนนั้นจึงกล่าวขึ้น
“อื้ม พิษในร่างนางถูกขจัดออกไปเกินครึ่ง ถือว่ารอดชีวิต! ไม่เสียแรงที่สู้อุตส่าห์สิ้นเปลืองยาวิเศษข้า!”
ฟังจากเสียงเขา น่าจะเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง
เฮ่ออี ใครกัน
“พวกท่าน…เป็นใครกัน”
เชียนเยี่ยเสวี่ยหันหน้าไปตามทิศทางของเสียง โดยหารู้ไม่ว่าเมื่อนางลืมตาขึ้นกลับมองอะไรไม่เห็นเลย
“เหตุใดถึงไม่จุดตะเกียง”
เมื่อได้ยินคำพูดเชียนเยี่ยเสวี่ย หนานกงจื่อหลิงก็มองนางด้วยอาการตื่นตระหนก
“พี่สาว ตอนนี้คือตอนกลางวันนะ!”
ตอนกลางวัน ตอนกลางวัน…
เชียนเย่สวี่ยตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่ง นางสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ ทว่าสิ่งที่นางเห็นยังคงเป็นเพียงความมืดมิดดังเดิม
“ตาข้า! ตาข้ามองอะไรไม่เห็นอีกแล้ว!”