จำนนรักชายาตัวร้าย – ตอนที่ 129-1 อวี้เฟยเยียนที่มุทะลุ
หนานกงอ๋าวจัดรถม้าที่ดีที่สุดไปรับพวกของเสิ่นถูเลี่ยทั้งสีคนที่โรงเตี๋ยมเซียนเค่อ
ภายในรถม้า อวี้เฟยเยียนใช้ฟันน้อยๆงับใบหูของซย่าโหวฉิงเทียนเอาไว้ ท่าทางฟึดฟัด
“บอกมา ท่านมีความลับอะไรกันแน่? เปิดเผยหน่อย บอกมาเสียดีๆ! ไม่เช่นนั้นข้าจะลงทัณฑ์ให้สารภาพ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนชื่นชอบความรู้สึกซาบซ่านที่ใบหูยิ่งนัก แทบอยากจะให้อวี้เฟยเยียนออดอ้อนออเซาะเขาให้นานอีกหน่อยด้วยซ้ำไป
ให้นางลงทัณฑ์บังคับให้เขาสารภาพจะยิ่งมีรสชาติมากยิ่งขึ้นไปอีกนะสิ!
ดังนั้นยิ่งอวี้เฟยเยียนกัดเขาแรงเท่าไหร่ ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยิ่งชอบใจมากขึ้นเท่านั้น
สุดท้ายซย่าโหวฉิงเทียนจึงดึงรั้งอวี้เฟยเยียนเข้ามานั่งในอ้อมอกของตนเองเสียเลย
เมื่อเห็นว่าตนเองกำลังนั่งในท่า ‘กวนอิมนั่งดอกบัว’ อีกทั้งสัมผัสได้ถึงสัตว์ป่าของเขาที่กำลังตื่นตัว อวี้เฟยเยียนจึงรีบนั่งเรียบร้อยไม่ดุกดิกอย่างว่าง่าย พร้อมกับยิ้มหวาน
“แหะๆ ข้าเพียงแต่ล้อเล่นเท่านั้นเอง ท่านอย่าคิดจริงจังสิ!”
“ต่อให้เป็นสามีภรรยา แต่ก็ควรจะมีพื้นที่ให้กับตัวเองได้มีความลับเล็กๆน้อยๆบ้าง! ข้าเข้าใจ จริงๆนะ! ท่านปล่อยข้าลง แล้วพวกเรานั่งกันอย่างสงบสักพัก ดีไหม?”
เมื่อเห็นอวี้เฟยเยียนมีท่าทีขลาดกลัวขึ้นมา ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยิ่งอยากแกล้งแต่จึงแสร้งทำเป็นไม่เข้าในใจความหมายของนาง
“สอบสวนพี่ต่อไปอีกสิ! หลังจากนั้นพวกเราค่อย ‘ทำ’ เงียบๆด้วยกันสักครู่ พี่รับรองเลยว่าจะไม่ให้เจ้าได้เปล่งเสียง…”
“ไม่ดีกว่า! ไม่ต้องหรอก จริงๆนะ! ขอบคุณเจ้าจริงๆเลย!” อวี้เฟยเยียนทำสีหน้าราวกับจะร้องไห้ออกมา
ชายที่อยู่เบื้องหน้าของนางไม่นอนมาหนึ่งคืนเต็มๆเลยเชียว แล้วเหตุใดถึงได้สดชื่นกระปรี้กระเปร่าเรี่ยวแรงไม่มีลดละเช่นนี้?
“ยังมีอีกอย่าง นั่งดีๆ!”
“นั่ง นะ ไม่ใช่ ‘ทำ’!”
‘อย่ามาทำเป็นรู้ดีเรื่องอักษรตอนนี้ได้ไหม?’
อวี้เฟยเยียนเอาแต่คิดถึงคำว่า ‘ครั้งเดียว’ ของซย่าโหวฉิงเทียนด้วยความขุ่นเคืองใจ เพราะมันทำให้นางหลวมตัวจนขุดหลุมฝังตนเองมาแล้ว!
‘ต่อไปนี้ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร นางจะต้องไตร่ตรองให้ละเอียดถี่ถ้วนที่สุดเลย’
จวนจะถึงจวนสกุลหนานกงอยู่แล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนจึงไม่คิดจะทำอะไรตอนนี้เป็นแน่
เพียงแต่ การหยอกเอินอวี้เฟยเยียนนั้นเป็นสิ่งที่ซย่าโหวฉิงเทียนรู้สึกว่าสนุกสนานยิ่งนัก! เพรานางช่างสมกับเป็นแมวน้อยจริงๆ อีกเดี๋ยวก็ปากคอเราะร้าย อีกเดี๋ยวก็เรียบร้อยน่ารักน่าเอ็นดู ทำให้เขาสนุกสนานจริงๆ!
“จำเอาไว้นะ ของพี่ก็คือของเจ้า! พี่จะไม่มีวันมีความลับกับเจ้า! รอให้เรื่องนี้เสร็จสิ้นเสียก่อน แล้วพี่จะบอกเจ้าเอง!”
ซย่าโหวฉิงเทียนใช้ปลายคางของตนแนบศีรษะของอวี้เฟยเยียน
ที่เขาตัดบทเสิ่นถูเลี่ยนั้น ก็เพราะต้องการจะบอกเรื่องราวของตนเองที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่เมืองอู๋โยวกับอวี้เฟยเยียนด้วยตนเอง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้นั่นก็คือจัดการสกุลหนานกงให้เรียบร้อยเสียก่อน
หนานกงอ๋าวออกมาตอนรับคณะของเสิ่นถูเลี่ยที่หน้าจวนด้วยตัวเอง ส่วนคนที่ติดตามเขาอยู่ด้านหลังนั่นก็คือ หนานกงเช่อ
“แขกสำคัญมาเยือนถึงบ้าน นับเป็นเกียรติของเรายิ่งนัก!” ในตอนที่หนานกงอ๋าวเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมานั้น อวี้เฟยเยียนก็ใช้สายตากวาดมองไป
หนานกงอ๋าวอายุราวสามสิบห้าสามสิบหกเห็นจะได้ ใบหน้าสี่เหลี่ยม หนวดเครายาว หากมองเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกของเขาละก็คงจะคิดว่าเขาเป็นคนที่มีคุณธรรมครบถ้วนไม่มีบกพร่องเป็นแน่ จะมีก็เพียงแค่ดวงตาชั่วร้ายราวกับพญาอินทรีย์คู่นั้นที่กำลังทรยศเขา
ส่วนหนานกงเช่อที่ติดตามหนานกงอ๋าวอยู่ที่เบื้องหลังนั้นเป็นชายผิวขาวซีดท่าทางเงียบเหงาเศร้าสร้อย นอกจากดวงตาที่ดูคล้ายหนานกงอ๋าวแล้ว ส่วนอื่นๆของเขาแลดูคล้ายคลึงกับหน้าตาของหนานกงจื่อหลิง ซึ่งคงจะคล้ายคลึงกับมารดาของพวกเขา ซย่าจื่ออวี้นั่นเอง
“สองท่านนี้คือ——” หนานกงอ๋าวรู้จักอาหูผู้ซึ่งเป็นองค์ประจำตัวของสิ่นถูเลี่ยอยู่แล้ว แต่สำหรับชายหนุ่มชุดสีม่วงกับสาวน้อยในชุดสีชมพูนั้น ให้หนานกงอ๋าวคิดอย่างไรก็คาดเดาไม่ออกว่าพวกเขาคือใคร
ราวกับว่าพวกเขา…ลึกลับยิ่งนัก!
“ฉิงเทียนและฮูหยินของเขาเสี่ยวอวี้ เป็นสหายของข้า” เสิ่นถูเลี่ยย่อมมิได้เอ่ยนามที่แท้จริงของซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนให้กับหนานกงอ๋าวได้รู้
แต่ทว่าเขาพูดเพียงเท่านี้ ก็ทำให้หนานกงอ๋าวเชื่อถือได้แล้ว
เสิ่นถูเลี่ยคือคุณชายใหญ่แห่งตระกูลเสิ่นถู จึงไม่ไม่ทางที่จะคบค้าเป็นเพื่อนกับหมาแมวที่ไหนมั่วซั่วเป็นแน่ ในเมื่อเสิ่นถูเลี่ยถึงกับเอ่ยปากนับถือพวกเขาทั้งสองเป็น ‘สหาย’
บวกกับสีใบหน้าที่เย่อหยิ่งเย็นชาของซย่าโหวฉิงเทียน ท่าทางที่แลดูสง่างามแกร่งกล้าสูงศักดิ์ มองดูแล้วไม่ควรที่จะหาเรื่องด้วยเป็นอย่างยิ่งด้วยแล้ว หนานกงอ๋าวจึงเชื่อถือและหลงคิดไปว่าเขาก็คือหนึ่งในลูกหลานสกุลทั้งแปดที่ต้องการปกปิดชื่อแซ่เท่านั้น ไหนเลยจะไปเกี่ยวข้องกับเจ้าปีศาจน้อยได้!
ยิ่งเมื่อมองเห็นสุนัขสีดำตัวมหึมาท่าทางดุร้ายที่ยืนอยู่ข้างกายอวี้เฟยเยียนแล้ว หนานกงอ๋าวก็ยิ่งมั่นใจในการคาดเดาของตนเองมากขึ้นไปอีก
มีเพียงลูกหลานผู้รากมากดีเท่านั้นจึงชื่นชอบที่จะมีสัตว์เลี้ยง
บางคนก็เลี้ยงเสือ บางคนก็เลี้ยงเสือดาว บางคนก็เลี้ยงงู…
แม้ว่าสัตว์เลี้ยงที่อยู่เบื้องหน้าของเขาในตอนนี้จะเป็นเพียงสุนัขตัวหนึ่ง แต่หนานกงอ๋าวก็มั่นใจว่าสุนัขที่มีลักษณะเช่นนี้เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ทั้งแววตาของสุนัขสีดำตัวมหึมานี้ออกจะดุร้ายไปกว่าปกติเสียด้วยซ้ำ!
เขี้ยวฟันของมันแหลมคมเป็นแท่งใหญ่เรียงรายอยู่เต็มปาก น่ากลัวเสียยิ่งกว่าหมาป่าหรือเสือที่เขาเคยพบเห็นมามากนัก
ใครๆ ต่างก็บอกว่าดูสัตว์เลี้ยงก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าเจ้านายของมันเป็นอย่างไร ดังนั้นคนทั้งสองจึงไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
ในตอนที่หนานกงอ๋าวกำลังทักทายซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนอยู่นั้น บางสิ่งบางอย่างสีเทาน้ำตาลก็กระโจนเข้าใส่หานจื่อแล้วคำรามเสียงดังลั่น
เมื่อหานกงอ๋าวเพ่งมองอย่างละเอียดจึงได้พบว่ามันคือหมาป่าสีเทาซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงของตี้อู่หยวนนั่นเอง มันทำท่าราวกับไม่ถูกชะตากับสุนัขสีดำยักษ์ตัวนี้อย่างมาก
ตี้อู่หยวนเมื่อรู้ว่าเสิ่นถูเลี่ยจะมาเป็นแขกที่บ้านสกุลหนานกง เขาจึงมาเพื่อสังเกตการณ์
หากว่าสามารถแสดงตนต่อหน้าให้เสิ่นถูเลี่ยจดจำตนเองได้ วันหน้าหากตันขวาเกิดเรื่องอะไร บางทีอาจจะสามารถขอความช่วยเหลือจากเสิ่นถูเลี่ยได้
ตอนนี้ ที่หมาป่าของตี้อู่หยวนเผชิญหน้ากับสุนัขของอวี้เฟยเยียน เพราะเขาเจตนาต้องการสานสัมพันธ์กับเสินถูเลี่ย ดังนั้นจึงได้เรียกหมาป่าของตนกลับมาให้กลับมา ขณะเดียวกันเอ่ยปากด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า
“ขออภัยด้วย เดรัจฉาน ไม่รู้ความ “
ใครจะคาดคิดว่าตี้อู่หยวนยังไม่ทันได้เรียกหมาป่าของตนเองกลับมา หานจื่อก็อ้าปากกว้างกัดเข้าที่คอของหมาป่าตัวนั้นจนขาด
“กึก——”
เสียงนั้นดังขึ้น แล้วหัวของหมาป่าก็กลิ้งลุนๆไปบนพื้นจนเกิดรอยเลือดชุ่มโชกเป็นทางยาวไปตามพื้นจนกระทั่งหัวของมันหยุดลง
“ในเมื่อมันเป็นเดรัจฉาน เช่นนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจละนะ!”
“ข้าชอบหยอกล้อเล่นกับเดรัจฉาน้อยเช่นนี้ที่สุดเลย! ตะปบให้ตายไปเลย!”
หานจื่อแยกเขี้ยวยิงฟันที่โชกไปด้วยเลือด พร้อมกับกางกงเล็บใหญ่ของมันตะกรุยไปบนร่างของหมาป่าตัวนั้นไม่นับ
“แควกๆ!”
ได้ยินเพียงเสียงกระดูกที่กำลังหักร้าว ไม่นานหมาป่าตัวนั้นก็เละละเอียดกลายเป็นเนื้อแผ่นในทันที
ฉับพลัน สีหน้าของตี้อู่หยวนก็เปลี่ยนสี เขาเลี้ยงเจ้าหมาป่าตัวนี้มาตั้งแต่เล็กจนใหญ่มากับมือ ในเวลาปกติมันออกจะดุร้ายยิ่งนัก ครึ่งหนึ่งจึงนับว่ามันเป็นองค์รักษ์ประจำตัวของเขาก็ว่าได้ นึกไม่ถึงว่าวันนี้ยังไม่ทันจะได้แสดงความสามารถ ก็ต้องมาจบชีวิตลงเสียแล้ว
น่าโมโหที่สุด!
แววตาเ**้ยมเกรียมในดวงตาของตี้อู่หยวนสว่างวาบ
“ทำให้ทุกท่านต้องหัวเราะเยาะแล้ว! หานจื่อของข้านิสัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก มันเกลียดพวกที่ไร้สามารถแต่มาทำท่าทางจองห้องต่อหน้ามันที่สุด!”