จำนนรักชายาตัวร้าย – ตอนที่ 129-3 อวี้เฟยเยียนที่มุทะลุ
หนึ่งคนหนึ่งหมาจึงได้เดินตามสาวใช้เข้าไป ผ่านเส้นทางที่วกวนอ้อมแล้วอ้อมอีก จนกระทั่งถึงเรือนของซย่าจื่ออวี้ในที่สุด
“รบกวนเจ้าแล้ว!” หนานกงอ๋าวทำหน้าซื่อ
เมื่อสักครู่ก่อนที่อวี้เฟยเยียนจะมา หนานกงอ๋าวได้กำชับซย่าจื่ออวี้เป็นอย่างดี ว่าเขาและนางเป็นสามีภรรยา ดังนั้นสามีภรรยาจึงต้องมีใจเป็นหนึ่งเดียวกัน จะให้คนนอกล่วงรู้ว่าเกิดเรื่องที่ฮูหยินเอกแห่งสกุลหนานกงฆ่าลูกในไส้ของตัวเองไม่ได้
ปากก็บอกว่ากำชับ แต่มันก็ไม่ต่างอะไรกับการข่มขู่บีบบังคับเลย!
ภายนอกซย่าจื่ออวี้ก็รับปากทำตามที่เขาสั่งการทุกอย่าง แต่ในใจของนางกลับทั้งตื่นเต้นและอยากรู้
‘คนที่มาคือใครกันแน่นะ?’
‘ใช่หลานชายหรือเปล่า?’
จวบจนกระทั่งอวี้เฟยเยียนและหานจื่อเดินเข้ามา ซย่าจื่ออวี้เมื่อมองเห็นสุนัขสีดำตัวใหญ่นั้น แววตาของนางก็วาวโรจน์
‘สุนัขสีดำ?’ คับคล้ายคับคลาว่าตอนเป็นเด็กหลานชายก็เคยเลี้ยงสุนัขสีดำอยู่ตัวหนึ่ง…
“ประมุขหนานกง ขณะที่ข้าตรวจรักษาผู้ป่วยนั้นไม่ชอบให้ใครมายืนมอง!” อวี้เฟยเยียนเห็นหนานกงอ๋าวคอยยืนมองอยู่ข้างๆไม่ยอมไปไหน นางจึงยิ้มบางๆเอ่ยว่า
“วิธีการรักษาเฉพาะตัวไม่เผยแพร่ให้กับคนนอก ท่านน่าจะรู้กฎข้อนี้ดี!” แม้ว่าอวี้เฟยเยียนจะอายุยังน้อย แต่ก็พูดจามีเหตุมีผล
และหนานกงอ๋าวเองก็รู้ดีว่าพวกหมอมักจะมีนิสัยแปลกประหลาดอยู่บ้าง การที่แม่นางน้อยเป็นเช่นนี้ คงเกรงว่าจะมีคนแอบเรียนวิชาแพทย์ของนางนะสิ
“เช่นนั้นข้าจะไปรออยู่ที่นอกประตู!”
หนานกงอ๋าวเหลือบมองไปที่ซย่าจื่ออวี้อีกครั้ง จึงเดินออกไปแล้วปิดประตูลง
กระทั่งอวี้เฟยเยียนเดินมานั่งลงที่ข้างเตียงและได้เห็นใบหน้าหญิงวัยกลางคนที่กำลังนอนอยู่บนเตียง นางก็ต้องตกใจไม่น้อย ดูจากหน้าตาของหนานกงเช่อและหนานกงจื่อหลิงซึ่งน่าจะคล้ายคลึงกับมารดา จึงสามารถคาดเดาได้ว่าซย่าจื่ออวี้จัดเป็นหญิงงามคนหนึ่ง
แต่หญิงที่นอนอยู่บนเตียงในตอนนี้ ผ่ายผอมจนหลงเหลือเพียงหนังหุ้มหระดูก ดวงตากลวงโบ๋ เส้นผมขาวโพลน แตกต่างจากซย่าจื่ออวี้ที่อวี้เฟยเยียนจินตนการเอาไว้ลิบลับ
แต่ทว่า ต่อให้ซย่าจื่ออวี้มีสภาพเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ทำให้อวี้เฟยเยียนรู้สงสารนางขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย
เพราะไม่ว่าจะอย่างไร นางก็ทำเรื่องที่ทำร้ายซย่าโหวฉิงเทียนมากมาย ซึ่งอวี้เฟยเยียนจะไม่มีวันยกโทษให้กับซย่าจื่ออวี้เป็นอันขาด!
ในตอนที่อวี้เฟยเยียนเอื้อมมือออกไปจับชีพจรเพื่อตรวจอาการให้กับซย่าจื่ออวี้นั่นเอง จู่ๆซย่าจื่ออวี้ก็คว้ามือของอวี้เฟยเยียนเอาไว้ แล้วเขียนอักษรลงบนฝ่ามือของนาง
‘เจ้าคือภรรยาของเขาใช่ไหม?’
ท่าทางของซย่าจื่ออวี้เหนือควาคาดหมายของอวี้เฟยเยียนยิ่งนัก และการกระทำของนางยิ่งแสดงถึงความน่าสงสัย
‘เพราะอะไร ทำไมถึงไม่กล้าพูดออกมา’
หรือว่าเสียงของนางมีปัญหา ทำให้นางพูดไม่ได้?
เห็นอวี้เฟยเยียนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ซย่าจื่ออวี้จึงเขียนต่อไปอีกว่า
“บอกเขาว่า นี่เป็นกำดัก พวกเจ้ารีบหนีไปเร็วเข้า! อย่าได้หลงกลเด็ดขาด! หลิงเอ๋อร์ตายแล้ว พวกเจ้าอย่ามาเปลืองแรงเปล่าที่นี่เลย!”
อีกฝ่ายไม่เปิดเผยฐานะของตนเองออกมา ทำให้ซย่าจื่ออวี้ยิ่งร้อนใจ
แม้ว่าซย่าจื่ออวี้จะพบหน้าอวี้เฟยเยียนเป็นครั้งแรก แต่ทว่าความรู้สึกแรกในใจของนางกำลังบอกนางว่า สาวน้อยในชุดสีชมพูที่อยู่ตรงหน้านี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับหลานชายของนางอย่างแน่นอน!
หนานกงจื่อหลิงบอกว่าพวกเขาแต่งงานกันตอนที่อยู่หลัวอวี่ ดังนั้นสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้านางนี้จะต้องเป็นภรรยาของเขาอย่างแน่นอน!
‘หลิงเอ๋อร์ตายแล้ว?’
เมื่อคิดได้ดังนั้น ในที่สุดอวี้เฟยเยียนก็ทนไม่ไหว เขียนตอบกลับลงบนฝ่ามือว่า
‘มันเรื่องอะไรกัน? เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?’
อีกฝ่ายตอบกลับมาเช่นนี้ ฉะนั้นก็แสดงว่านางรู้จักหนานกงจื่อหลิง ซย่าจื่ออวี้จึงรีบเขียนบนฝ่ามือของอวี้เฟยเยียนต่อว่า
“เป็นความผิดของข้า! ที่นี่อันตราย! หนานกงอ๋าวไม่ใช่คนดี! บอกเขา ว่าข้าผิดต่อเขา!”
เพราะความตื่นเต้นเกินไปทำให้ซย่าจื่ออวี้หอบหายใจอย่างรุนแรง
อวี้เฟยเยียนเห็นดังนั้นก็รีบควานหายาเม็ดหนึ่งป้อนให้กับนางทันที และในตอนนั้นเองอวี้เฟยเยียนจึงเพิ่งจะค้นพบว่านิ้วมือทั้งห้าของอวี้เฟยเยียนกระดูกหักทั้งหมด ดูจากลักษณะแล้วคงจะถูกหักนิ้วทั้งเป็นเสียด้วย
เมื่อกินยาเม็ดนั้นเข้าไป อาการของซย่าจื่ออวี้ก็ดีขึ้นมาก
อวี้เฟยเยียนจึงถือโอกาสจับชีพจรตรวจอาการให้กับนาง เมื่อได้ตรวจอาการ ทุกอย่างก็กระจ่าง
แท้งลูก กระดูกนิ้วมือหัก บากแผลเขียวช้ำที่ศีรษะ ขาดสารอาหาร…
เห็นทีว่าหญิงตรงหน้าอวี้เฟยเยียนนี้จะมีความเป็นอยู่ที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นักก่อนหน้านี้ จะบอกว่าย่ำแย่เลยก็ว่าได้
ถึงแม้ซย่าจื่ออวี้จะได้รับยาหลังจากที่กระดูกนิ้วมือหัก แต่ก็ไม่ได้รับการจัดกระดูกได้ทันท่วงที ดังนั้นนิ้วมือของนางจึงบิดเบี้ยวผิดรูปไปเสียแล้ว
รวมกับร่างกายของนางที่บอบช้ำอย่างหนัก จึงไม่สามารถฟื้นฟูลมปราณกลับมาได้ภายในเวลาอันสั้น
หากว่ากันในมุมของความรู้สึก แม้ว่าอวี้เฟยเยียนจะไม่ชอบซย่าจื่ออวี้ แต่ว่าในมุมของหมอนางได้รับการปฏิบัติที่เลวร้ายาวกับไม่ใช่คนเช่นนี้ อวี้เฟยเยียนจึงต้องให้การรักษาอย่างเต็มที่
‘อย่าได้เหนื่อยเปล่าอีกเลย! ร่างกายของข้า ข้ารู้ตัวดี!’ ซย่าจื่ออวี้เขียนต่อไปอีกว่า
‘หากว่าเจ้ามีใจคิดสงสารข้าจริงๆละก็ จงมอบยาพิษให้กับข้า! ข้าต้องการฆ่าหนานกงอ๋าว! เพราะเขาฆ่าล้างตระกูลข้า ทำลายชีวิตข้า!’
สภาพจิตใจของซย่าจื่ออวี้ย่ำแย่เป็นอย่างมาก ดังนั้นเรี่ยวแรงที่จะเขียนจึงขาดๆหายๆ ไม่นานก็เหน็ดเหนื่อยจนเขียนต่อไปไม่ไหว ร่างทั้งร่างของนางชุ่มเหงื่อ อ่อนล้าจนแทบหมดลม
‘มอบยาให้ข้า!’ เขียนจบ นางก็หอบหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เสียงที่เปล่งออกมาแผ่วเบา
แม้ว่าเสียงของนางจะเบาหวิว แต่หนานกงอ๋าวที่ยืนอยู่ที่หน้าประตูก็ยังได้ยินอยู่ดี เพียงแต่เขาไม่รู้สถานการณ์ภายในห้อง ไม่รู้ประโยคก่อนหน้าที่ซย่าจื่ออวี้เขียนบอก และก็ไม่รู้ว่ายาที่ว่านั้นไม่ใช่ยาที่จะนำมารักษาซย่าจื่ออวี้ แต่กลับเป็นยาพิษที่จะปลิดชีวิตของเขาต่างหาก
‘ซย่าจื่ออวี้และหนานกงอ๋าวมิใช่สามีภรรยาตัวอย่างที่รักกันมากหรอกหรือ?’
‘แล้วเหตุใดในตอนนี้กลับกลายเป็นศัตรูคู่แค้นกันไปเสียแล้ว’
เปล่งเสียงเมื่อครู่ออกมาได้ ซย่าจื่ออวี้ก็หอบหายใจเฮือกใหญ่ด้วยเสียงอันเบาหวิวเพราะความเหนื่อยล้า
อวี้เฟยเยียนเกิดความสงสัยขึ้นในใจมากมาย แต่ว่า สิ่งที่อวี้เฟยเยียนให้ความสนใจมากที่ก็คือ ซย่าจื่ออวี้บอกว่า ‘หนานกงจื่อหลิงตายแล้ว’
สำหรับอวี้เฟยเยียน ข่าวนี้ดั่งฟ้าฝ่าลงมากลางวันแสกๆ
‘เด็กสาวที่น่ารักเรียบร้อยจะตายไปอย่างนี้ได้อย่างไรกัน?’
‘หลังจากที่หนานกงจื่อหลิงกลับมาถึงที่จวนสกุลหนานกงแล้ว เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ใครกันที่ฆ่านาง?’
ไม่ทันที่อวี้เฟยเยียนจะได้พิเคราะห์ปัญหา หนานกงอ๋าวก็ผลักประตูเข้ามาเสียก่อน
“ฮูหยินๆ เจ้าเป็นอะไรไป?” เมื่อเห็นสภาพของซย่าจื่ออวี้ หนานกงอ๋าวก็ร้อนใจขึ้นมาทันที
“แม่นางเสี่ยวอวี้ ฮูหยินของข้านางเป็นอะไรไปกันแน่?”
ท่าทางของหนานกงอ๋าวมองดูราวับสามีที่กำลังสงสารภรรยาอย่างที่สุด หากอวี้เฟยเยียนไม่ได้ตรวจร่างกายของซย่าจื่ออวี้จนค้นพบอาการของนางละก็ เกรงว่าให้เป็นใครก็คงจะถูกการแสดงของหนานกงอ๋าวตบตาไปแล้ว
‘เขาช่างเป็นผู้ที่จอมปลอมเสแสร้งได้เก่งที่สุดจริงๆ!’
“นางจำเป็นต้องพักผ่อน!”
อวี้เฟยเยียนไม่ได้พูดอะไรออกมามาก นางเขียนใบสั่งยาแล้วมอบให้กับหนานกงอ๋าว
“ประมุขหนานกง ฮูหยินของท่านร่างกายอ่อนแอเป็นอย่างมาก หากว่าบำรุงรักษาร่างกายดีๆ ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถกลับมาได้ แต่หากไม่ใส่ใจละก็ เกรงว่าจะอยู่ไม่ถึงฤดูหนาวของปีนี้เป็นแน่!”
“ข้ารู้แล้ว!” หนานกงอ๋าวปาดเหงื่อที่ชุ่มศีรษะ สีหน้าเฉกเช่นวัวสันหลังหวะ
“ขอบคุณเจ้ามากนะ!”
“เช่นนั้นข้าจะไปตรวจอาการของคุณหนูหนานกงได้เมื่อไหร่?” จนแล้วจนเล่าอวี้เฟยเยียนก็ยังรู้สึกสงสัยในสิ่งที่ซย่าจื่ออวี้พูดมาอยู่มากนัก