จำนนรักชายาตัวร้าย – ตอนที่ 133-2 ความรักสุดแสนทรหดของพี่ใหญ่และสาวงามอันดับหนึ่ง
แม้ว่าหากมองในมุมของวิทยาศาสตร์ คนที่เสียชีวิตไปเป็นเวลานานอย่างเช่นหนานกงจื่อหลิงนั้น ไม่มีทางที่จะชุบชีวิตให้ฟื้นขึ้นมาได้อีก แต่ว่า ในมิติของโลกนี้ มีเรื่องราวมากมายที่ไม่สามารถใช้วิทยาศาสตร์มาอธิบายได้
สกุลหนานกงปล่อยข่าวเรื่องหนานกงจื่อหลิงล้มป่วย ก็กินเวลาไปเดือนกว่า
ดังนั้นก็ชัดเจนว่า หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้หนานกงจื่อหลิงก็ได้ประสบเหตุร้ายเสียแล้ว
ซึ่งจากสถานการณ์ในตอนนี้ ร่างกายของหนานกงจื่อหลิงถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี ไม่เน่าไม่เปื่อย คงจะเป็นเพราะเตียงที่นางนอนอยู่นี้กับไข่มุกที่อยู่ในปากของนางนั่นเอง
อวี้เฟยเยียนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง จากกำลังใจของสิ่นถูเลี่ย นางตรวจสอบร่างกายของหนานกงจื่อหลิงโดยละเอียดแล้วก็พบว่า นอกเสียจากลมหายใจที่หลุดลอยไปตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตแล้ว ส่วนอื่นๆของหนานกงจื่อหลิงไม่มีอะไรบุบสลายหรือเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย
ผิวพรรณและกล้ามเนื้อไม่สูญเสียน้ำและไม่เ**่ยวเฉา มีเพียงแต่ร่างกายของหนานกงจื่อหลิงนอนหลับไหลไร้ชีพจรราวกับผักเท่านั้น
หากไปยังตันซ้าย ไม่แน่ว่าอาจจะค้นพบวิธีที่จะช่วยชีวิตหลิงเอ๋อร์ได้!
“ฉิงเทียน ข้าจะต้องช่วยชีวิตหลิงเอ๋อร์!”
อวี้เฟยเยียนรู้ดีว่าซย่าโหวฉิงเทียนไร้ญาติขาดมิตร ในชีวิตของเขา หนานกงจื่อหลิงผู้เป็นน้องสาวของเขาคนนี้เป็นญาติสนิทที่มิอาจขาดไปได้
สิ่งที่นางคาดหวังมากที่สุดในตอนนี้นั่นก็คือวิชาชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนชีพของเผ่าตันจะมีอยู่จริง มิใช่เป็นเพียงตำนานเล่าขานเท่านั้น
เช่นนี้แล้วหนานกงจื่อหลิงก็จะสามารถฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง แล้วพวกเราก็จะได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข!
“ได้สิ——”
ซย่าโหวฉิงเทียนกุมมืออวี้เฟยเยียนเอาไว้
หากว่ามีวิชาชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนชีพจริงละก็ เขาจะต้องช่วยชีวิตหลิงเอ๋อร์อย่างแน่นอน
กลัวเสียแต่ว่าทุกอย่างจะเป็นเพียงภาพลวงตา ที่แท้แล้วคือความว่างเปล่า! เพราะจากความทรงจำของตี้อู่หยวนที่ดูดออกมา ซย่าโหวฉิงเทียนไม่พบข้อมูลทางด้านนี้อยู่เลยแม้แต่น้อย…
แต่ทว่า ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร พวกเขาก็จะต้องไปที่ตันซ้ายสักครั้ง!
“อย่าร้องไห้นะ! พี่จะไปตันซ้ายกับเจ้าเอง!” ซย่าโหวฉิงเทียนเอื้อมมือออกไปเช็ดน้ำตาที่ปลายหางตาของอวี้เฟยเยียน
เขาทนเห็นอวี้เฟยเยียนเจ็บปวด เสียน้ำตาไม่ได้
นางเสียใจ เขาเสียใจยิ่งกว่า
“ข้าจะไม่ร้องไห้! ข้าจะต้องมีกำลังใจ! หลิงเอ๋อร์รอข้าอยู่!” อวี้เฟยเยียนปาดน้ำตาทิ้งไป แววตาแน่วแน่
แม้ว่าอวี้เฟยเยียนอยากที่จะพาร่างของหนานกงจื่อหลิงไปที่ตันซ้ายด้วยกัน แต่นางก็พบว่าเมื่อร่างของหนานกงจื่อหลิงแยกออกจากโลงเย็นเมื่อไหร่ ร่างกายของนางก็จะร่วงโรยอย่างรวดเร็ว พวกเขาจึงได้แต่วางร่างของหนานกงจื่อหลิงเอาไว้ที่เดิม
“ฉิงเทียน เสี่ยวอวี้ พวกเจ้าคิดว่าจะจัดการอย่างไรกับจวนสกุลหนานกง?” เมื่อคนทั้งสี่เดินออกมาจากคลังสมบัติสกุลหนานกง เสิ่นถูเลี่ยก็กล่าวถามขึ้น
แม้ว่าสกุลหนานกงจะสูญสิ้นไปแล้ว แต่เขตแดนของพวกเขายังคงอยู่
หากว่าซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนเดินทางไปที่ตันซ้าย ไม่แน่ว่าเมื่อพวกเขาจากที่นี่ไป คล้อยหลังก็จะมีตระกูลใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงเข้ามาแทนที่ แล้วจัดการแบ่งสันปันส่วน ส่วนแบ่งของสกุลหนานกงกันเสร็จสรรพ
“ที่นี่จะไม่ใช่ของสกุลหนานกงอีกต่อไป! ที่นี่ก็จะเป็นของข้า!”
ซย่าโหวฉิงเทียนแสดงเจตนารมณ์ของตนเองให้เสิ่นถูเลี่ยได้รู้
แผ่นดินที่เขาบุกเบิกมา จะปล่อยให้ตกเป็นของคนอื่นได้อย่างไรกัน
ทุกสิ่งทุกอย่างของสกุลหนานกงเขาจะรับช่วงต่อเอาไว้ทั้งหมด ต่อไปที่นี่ก็จะเป็นของซย่าโหวฉิงเทียนโดยสมบูรณ์
“เช่นนั้นก็ยอดไปเลย!” ก่อนหน้านี้เสิ่นถูเลี่ยยังคงเป็นกังวลในเรื่องนี้อยู่ ทว่าตอนนี้ได้ยินซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวเช่นนี้ เขาก็วางใจ
“ข้าคิดว่า ไม่สู้เจ้าหาที่เหมาะสมสักแห่งสร้างจวนขึ้นมา ที่จวนของข้ามีช่างฝีมือมากมาย เรื่องนี้ข้าช่วยเหลือพวกเจ้าได้! พวกเจ้าวางใจเดินทางไปที่ตันซ้ายอย่างสบายใจได้เลย!”
เสิ่นถูเลี่ยองอาจผ่าเผย เมื่อเพื่อนต้องการแน่นอนว่าเขาย่อมต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลืออย่างแน่นอน อีกทั้งเช่นนี้ก็จะสามารถทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาสนิทชิดเชื้อกันมากยิ่งขึ้น
ซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟเยียนแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ สกุลเสิ่นถูย่อมต้องยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้คบหาพวกเขาเป็นสหาย
“ขอบคุณมาก!” ซย่าโหวฉิงเทียนมองไปที่ซากปรักหักพังที่อยู่โดยรอบอีกครั้ง
“สร้างที่นี่ก็แล้วกัน! สำหรับเรื่องเงิน ใช้ของสกุลหนานกง แล้วไม่ต้องช่วยข้าประหยัดละ!”
แม้ว่าสกุลหนานกงจะอยู่ในอันดับรั้งท้ายจากบรรดาสกุลทั้งแปด แต่จุดนี้ก็ไม่ได้กระทบถึงทรัพย์สินของพวกเขาแต่อย่างใด ในคลังสมบัติของสกุลหนานกง มีทองคำ เพชรนิลจินดา เงิน และอาวุธเป็นจำนวนมาก มากเสียจนสามารถสร้างจวนสักหลังได้อย่างสบายๆ
“วางใจเถอะ! เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า!” เสิ่นถูเลี่ยตบที่อกของตนเองเป็นเชิงให้ทั้งสองคนวางใจ
เขามิได้เอ่ยว่าอยากจะไปที่ตันซ้ายพร้อมกันกับซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนแต่อย่างใด แม้ว่าอยากที่จะไปเปิดหูเปิดตาก็ตาม แต่ตันซ้ายหลบซ่อนตัวมาเป็นสิบปี คิดว่าพวกเขาคงจะไม่ต้องการให้คนนอกเข้าไปรบกวนสักเท่าไหร่
ดังนั้น เสิ่นถูเลี่ยจึงรู้กาละเทศเพียงพอที่จะไม่ไปเสนอหน้าจะดีกว่า
ตระกูลหนานกงถูกล้างตระกูลจนสูญสิ้น นำมาซึ่งความสนอกสนใจจากบรรดาจอมยุทธ์ทั้งหลายที่มีความกล้าหาญชาญชัยอยู่บ้าง พวกเขาแอบลักลอบเข้ามายังพื้นที่เศษซากปรักหักพังนี้ จนกระทั่งเห็นว่าภายในนั้นมีคนอยู่เพียงสี่คน ทำให้พวกที่แอบบุกเข้ามาต้องตกตะลึงไปตามๆกัน
คนสี่คน ล้มคนทั้งตระกูลได้
เก่งกาจยอดเยี่ยมยิ่งนักเชียว ว่าไหมเล่า!
หนึ่งในผู้ที่มามีคนหนึ่งจดจำเสิ่นถูเลี่ยได้ เขาจึงมีสีหน้าแปลกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
หรือว่าเรื่องราวในครั้งนี้เป็นแผนการของสกุลเสิ่นถู?
ไม่ต้องรอให้เสิ่นถูเลี่ยได้พูดอะไร ซย่าโหวฉิงเทียนก็ทะยานไปที่กลางอากาศ แล้วประกาศว่า
“ทุกคนที่อยู่ที่นี่จงฟังให้ดี นับแต่นี้ไป เมืองอู๋โยวไม่มีสกุลหนานกงอีก! ข้าคือประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น คือประมุขคนใหม่ของที่นี่! ผู้ใดไม่ยอมรับ ตาย!”
น้ำเสียงของซย่าโหวฉิงเทียนหนักแน่นเด็ดขาด มันดังสะเทือนเลือนลั่นขจรไปไกล
เมื่อครู่ ชาวบ้านได้เห็นเหตุการณ์ที่ชายหนุ่มในชุดสีม่วงเอาชนะบรรพชนเฒ่าสกุลหนานกงด้วยตาของตนเอง และบัดนี้เมื่อเห็นชายหนุ่มผู้นั้นเดินมาให้เห็นตัวเป็นๆ ทั้งยังประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ของตัวเอง ก็ไม่มีใครกล้าออกมาตอบโต้แม้แต่คนเดียว
บรรพชนเฒ่าสกุลหนานกงคือเทพอาวุโสเชียวนะ!
แม้แต่เทพอาวุโสชายหนุ่มชุดสีม่วงนี้คนยังสามารถสังหารได้ เขาต้องเก่งกาจสักเพียงไหนกัน!
ทว่าเมื่อซย่าโหวฉิงเทียนแนะนำตนเองว่าเขาคือประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นนั้น ทุกคนก็เข้าใจในทันที
ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น แม้แต่ประมุขแห่งสกุลเหวินยังเคยต้องพ่ายแพ้ภายใต้น้ำมือของเขามาแล้ว นี่คือบุคคลที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง!
กฎของเมืองอู๋โยวก็เป็นเช่นนี้ พวกเขาจะยอมสยบให้แก่ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างกว่า ไม่นาน ชาวเมืองเฮ่อก็ค่อยๆยอมรับความจริงในข้อนี้ได้
สกุลหนานกงถูกล้มล้าง ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองอู๋โยวภายในเวลาไม่ถึงสองวัน
ตระกูลใหญ่ที่อยู่กับเมืองอู๋โยวมานานจนเรียกได้ว่ามีอายุเทียบเท่ากับเมืองอู๋โยวเลยก็ว่าได้ กลับถูกล้างบางจนสูญสิ้นภายในวันเดียว ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นเป็นผู้วิเศษมาจากไหนกัน?!
ประมุขแห่งสกุลเหวิน เหวินจู๋ หลังจากได้ยินข่าวนี้เข้า ก็ถึงกับบีบวอลนัต ในมือจนแหลกละเอียด
หลายปีที่ผ่านมา เขาติดตามสืบข่าวของประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นคนนี้มาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยได้รับข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับเขากลับมาเลยแม้แต่น้อย
นึกไม่ถึงว่าการปรากฏตัวอีกครั้งของอีกฝ่าย จะเป็นการที่เขาสามารถจำกัดสกุลหนานกงจนมอดม้วยลงไป แล้วขึ้นแทนที่สกุลหนานกงแห่งอู๋โยวเสียนี่
หนานกงอ๋าวเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกถึงเพียงนั้น จะพ่ายแพ้ง่ายๆเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?
“ท่านพ่อ ใจเย็นเอาไว้!”
เหวินเหรินเจี๋ยยิ้มจนตาหยี ท่าทางราวกลับไร้พิษสงต่อกรกับใครอย่างไรอย่างนั้น
“เสิ่นถูเลี่ยอยู่ด้วยกันกับประมุขแห่งจื่ออวิ๋นคนนั้น ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ตระกูลเสิ่นถูเกี่ยวข้องอยู่กี่ส่วน ดังนั้น ท่านพ่อมีบุญคุณความแค้นอะไร รอให้ถึงงานชุมนุมที่จื่อจิงค่อยว่ากันเถอะครับ!”
“อีกอย่าง บรรพชนเฒ่าของสกุลหนานกงคือนักรบขั้นเทพอาวุโสขั้นหก แล้วท่านพ่อละอยู่ระดับไหนกัน?”
คำพูดของเหวินเหรินเจี๋ย เตือนสติเหวินจู๋
ในตอนที่สกุลหนานกงถูกล้างบางนั้น เสิ่นถูเลี่ยก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย
เขาหันไปเข้าพวกกับประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
หรือว่า เดิมทีพวกเขาก็รู้จักกันอยู่ก่อนแล้ว สองสามปีที่ผ่านมานี้สกุลเสิ่นถูช่วยปกปิดให้กับประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น?
สกุลเหวินและสกุลเสิ่นถูก็ไม่ลงรอยกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เรื่องนี้ทุกคนต่างก็รู้ดี ตอนนี้เพิ่มเรื่องนี้มาอีก เป็นเหตุทำให้เหวินจู๋ยิ่งจงเกลียดจงชังสกุลเสิ่นถูมากขึ้นไปด้วย
แม้ว่าเหวินจู๋อยากที่จะไปคิดบัญชีกับประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น แต่เขาก็รู้ดีว่าควรที่จะออมแรงเอาไว้ เพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมที่หุบเขาจื่อจิงจะดีกว่า
เพราะนั่น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อลำดับขั้นของตระกูลในเมืองอู๋โยวแห่งนี้