จำนนรักชายาตัวร้าย – ตอนที่ 131-1 ผู้ลอบโจมตีที่ต่ำช้า
“ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย!”
เสียงร้องครวญครางของตี้อู่หยวนถูกเสียงฆ่าฟันกันกลบเสียจนสนิท ไม่มีใครสนใจหมอชาวตันขวาที่น่าสงสารคนนี้สักคน
“จวินจวิน อย่าให้ถึงตายละ——”อวี้เฟยเยียนกำชับ
“เจ้าค่ะ เจ้านาย!”
เมื่อได้ยินเสียงสั่งการของอวี้เฟยเยียน เจ้าไฟบรรลัยกัลป์ก็รีบเรียกคืนเปลวเพลิงสีน้ำเงินที่กำลังแผดเผาตี้อู่หยวนให้สสงบลงทันที
ในตอนที่ตี้อู่หยวนหลงคิดไปว่าตนเองสามารถหนีรอดจากเคราะห์กรรมนี้ได้แน่แล้วนั้น ฉับพลันเจ้าไฟบรรลัยกัลป์ก็พ่นไฟลงบนพื้นล้อมรอบตี้อู่หยวนเป็นวงกลม โดยที่ตี้อู่หยวนที่อยู่ตรงกลางไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้
“เทพอัคคี ข้าผิดไปแล้ว! ท่านปล่อยข้าไปเถอะนะ!”
เสื้อผ้าของตี้อู่หยวนถูกเผาไหม้จนหลงเหลือเพียงชิ้นส่วนไม่กี่ชิ้นเอาปกปิดร่างกาย ผิวของเขาก็ถูกเปลวไฟแผดเผาจนแดงถลอก ส่วนเส้นผมยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถูกเผาจนโกร๋นไม่เหลือซาก
บนศีรษะล้านโล้นของตี้อู่หยวนมีตุ่มน้ำใสขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ผุดขึ้นมา ภายในตุ่มน้ำนั้นมีเลือดสีแดงกำลังกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ภายใน มันเจ็บปวดเสียยจนตี้อู่หยวนต้องซูดซี๊ดปากทีเดียว
‘หรือว่านี่คือบททดสอบจากเทพอัคคีเช่นกัน?’
ในที่สุดตี้อู่หยวนก็ได้รู้เสียทีว่า เพราะอะไรเทพอัคคีถึงได้มายากยิ่ง! ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบรรพบุรุษชาวเผ่าตันตี้อู่เฉินซีได้มาครอบครองได้อย่างไรกัน หรือว่าเขาก็ต้องพานพบกับความทรมานเหล่านี้เช่นกัน?
“ปล่อยเจ้าไป?” เจ้าไฟบรรลัยกัลป์จ้องมองตี้อู่หยวนตั้งแต่หัวจรดเท้า
ไม่มีทาง!
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางไม่น่าไว้ใจของตี้อู่หยวน เจ้าไฟบรรลัยกัลป์จึงยุบขนาดของวงแหวนไฟที่ล้อมรอบเขาอยู่ให้เล็กลงอีก ขนาดที่เพียงพอให้คนเพียงคนเดียวยืนได้เท่านั้น
“โอ้ย!” ตี้อู่หยวนเพิ่งจะได้หายใจหายคอเพียงชั่วครู่ เมื่อแขนบังเอิญไปแตะโดนวงแหวนไฟที่กำลังลุกโชนนั้น ‘ซู่’ มันก็แผดเผาแขนของเขาอย่างรวดเร็ว ร้อนระอุจนตี้อู่หยวนแทบชักมือกลับไม่ทัน
ในที่สุดตี้อู่หยวนก็รู้แล้วว่า เทพอัคคีต้องการทรมานให้เขาตายทั้งเป็นนี่นา!
บัดนี้อย่าว่าแต่ฝ่าวงล้อมไฟนี่ออกไปเลย เพียงแค่เขาแตะโดนนั่นก็จะถูกเปลวเพลิงอันร้อนระอุลวกเข้าให้ทันที
ในตอนนี้ตี้อู่หยวนจึงทำได้เพียงแค่ยืนยืดหลังตั้งตรงแน่วไม่กล้ากระดุกกระดิก ราวกับท่อนไม้อย่างไรอย่างนั้น เพราะเกรงว่าหากไม่ทันระวังแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะถูกเผาเข้าให้ทันที
ตุ่มน้ำที่ผุดขึ้นมาบนผิวหนังของตี้อู่หยวน ในบางจุดเมื่อน้ำที่อยู่ข้างในมาเจอกับไฟภายนอก ตุ่มน้ำก็จะแตกออก ‘เปรี้ยะ’ น้ำเลือดน้ำหนองสีแดงที่เหลือด้านในแตกออกละพุ่งกระเด็นออกมา ซึ่งมันเจ็บปวดเสียจนเขาร้องครวญครางไม่หยุด
‘เจ้าเทพอัคคีสมควรตาย!’ ตี้อู่หยวนก่นด่าอยู่ในใจ
‘รอให้ข้าจับเจ้าได้ก่อนเถอะ ข้าจะทรมานเจ้าให้สาสม!’
ตี้อู่หยวนไม่ได้ล่วงรู้เลยว่า เจ้าไฟบรรลัยกัลป์ที่อยู่ตรงหน้านั้นมีเจ้าของอยู่แล้ว จนกระทั่งถึงตอนนี้เขายังคงคิดหาวิธีว่าจะสยบเทพอัคคีได้อย่างไรอยู่เลย
ที่นี่ เสิ่นถูเลี่ยทั้งตื่นเต้นและสะเทือนใจ
เพราะตัวเขาเป็นลูกชายคนโต เมื่อครั้งที่ฝึกฝนวรยุทธ์อยู่ในบ้านของตนเองนั้น คนในครอบครัวย่อมรู้หนักเบาว่าจะลงมือประมาณไหน เป็นเช่นนี้เมื่อเวลาผ่านไป ตรงกันข้ามมันกลับทำให้เขาไม่มีทางที่จะได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ ดังนั้น ในบางมุมจึงสามารถพูดได้ว่า เสิ่นถูเลี่ยยังไม่ได้แสดงความสามารถออกมาอย่างเต็มที่
จวบจนระทั่ง เขาได้พบกับซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียน
เพราะในขณะที่เขาฝึกฝนวรยุทธ์กับผัวเมียคู่นี้นั้น เขาแทบไม่รู้จักกับการออมมือหรือยั้งมือเลยแม้สักครั้ง
ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เสิ่นถูเลี่ยจึงเริ่มเรียนรู้และมีประสาทสัมผัสในเรื่องของวรยุทธ์มากกว่าที่ผ่านมาหลายเท่านัก
และในครั้งนี้ การมาสู้ศึกครั้งใหญ่กับสกุลหนานกงนั้น ก็ยิ่งเป็นการทดสอบผลลัพธ์จากการฝึกฝนวิชาตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาด้วย
อาวุธของเสิ่นถูเลี่ยคือกระบี่สีดำเล่มหนึ่ง
ในตอนนี้ หยดเลือดที่ปลายกระบี่ ทุกหยาดหยดเป็นสีแดงสดมันกำลังอุ่นร้อนและหยดลงพื้นจากปลายกระบี่
ใบหน้าของเสิ่นถูเลี่ยเปรอะเปื้อนคราบเลือด แต่ไม่มีแม้สักหยดที่เป็นของเขา
สบายใจยิ่งนัก!
ในขณะที่บั่นศีรษะของจอมปราชญ์อาวุโสลงอีกคนหนึ่งนั้น พลันเสิ่นถูเลี่ยก็รู้สึกสบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทหารของสกุลหนานกงเมื่อได้เห็นท่าทีของเขา ณ ขณะนั้นแล้ว ก็ถึงกับหวาดกลัวจนหัวหด ในสายตาพวกเขา คุณชายเสิ่นถูเก่งกาจสมคำล่ำลือ
เสิ่นถูเลี่ยอาศัยโอกาสนี้เงยหน้ามองฟ้า
กลางอากาศ สายลมสีม่วงและสายลมสีขาวกำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ชนิดที่ว่าไม่มีใครยอมใคร
สีม่วงคือซย่าโหวฉิงเทียน สีขาวคือหนานกงซีรั่ว
หากมิใช่ว่าที่รอบกายของเขายังคงหลงเหลือสวะอีกจำนวนหนึ่งยังไม่ได้ถูกจัดการให้เรียบร้อยละก็ เสิ่นถูเลี่ยก็อยากที่จะรับชมความเข้มข้นของศึกระหว่างยอดฝีมือที่กำลังประมือกันเพื่อตัดสินแพ้ชนะนี้ให้เต็มที่
ชายในชุดสีม่วงนั้นสร้างสถิติใหม่ให้กับเสิ่นถูเลี่ยได้รู้อีกครั้ง ในตอนนี้เสิ่นถูเลี่ยแน่ใจได้เลยว่า ซย่าโหวฉิงเทียนคือจอมเทพอาวุโสคนหนึ่งอย่างแน่นอน
เขาเคยซักถามอายุของซย่าโหวฉิงเทียน จึงได้รู้ว่าเขาอายุยี่สิบสามปี ซึ่งมากกว่าเขาสองปี
ในตอนนั้นเรื่องนี้กระทบกระเทือนจิตใจของเสิ่นถูเลี่ยอย่างรุนแรง
เขาและซย่าโหวฉิงเทียนอายุห่างกันไม่มาก แต่ซย่าโหวฉิงเทียนกลับมีวรยุทธ์ที่ลึกล้ำสูงส่งชนิดที่ว่าเขาเทียบไม่ติดฝุ่น แต่ในตอนนั้นเขาคิดว่าซย่าโหวฉิงเทียนสำเร็จเพียงแค่ราชาอาวุโสเท่านั้น
เห็นทีว่า เขาคงจะไร้เดียงสาเกินไปเสียแล้ว
ซย่าโหวฉิงเทียนคือเทพอาวุโสต่างหาก!
เทพอาวุโสอายุยี่สิบสามปี สร้างสถิติใหม่ให้กับอู๋โยวอีกด้วย
ยายเฒ่าหนานกงซีรั่วสำเร็จถึงเทพอาวุโสขั้นหก ซย่าโหวฉิงเทียนประมือกับนางทว่ากลับไม่เห็นว่าเขาฝีมือด้อยกว่าเลยสักนิด ดังนั้นผู้ชายคนนี้จึงน่ากลัวมากจริงๆ!
หากเปลี่ยนเป็นเสิ่นถูเลี่ยคงละก็คงจะถูกตวัดฝ่ามือใส่จนกระเด็นออกไปไกลแล้ว
เสิ่นถูเลี่ยในเวลานี้เกิดแรงฮึกเหิมขึ้นมาเต็มพิกัด เพราะเขามีเป้าหมาย ที่จะทำให้ได้อย่างซย่าโหวฉิงเทียน!
“อ๋าว——บรู๊ว——”
ในตอนที่เสิ่นถูเลี่ยกำหมัดขึ้นมาเพื่อตั้งปณิธานให้กับตนเองว่าจะมุ่งมานะฝึกฝนวรยุทธ์นั้น หานจื่อกัดเข้าที่เอวของปรมาจารย์ที่กำลังจะโจมตีเสิ่นถูเลี่ยได้ทันควัน แล้วกระชากเนื้อบริเวณเอวของปรมาจารย์ผู้นั้นออกมาเป็นแผ่นใหญ่ แม้กระทั่งตับไตไส้พุงของเขาก็ถูกหานจื่อลากติดออกมาด้วย
“เสี่ยวเลี่ยเลี่ย เจ้าเหม่อลอย!”
หานจื่อคายชิ้นเนื้อและเครื่องในโชกเลือดออกมา พร้อมกับตวัดสายตามองไปที่เสิ่นถูเลี่ย
คนหนุ่มวัยฉกรรจ์ ประสบการณ์ยังน้อยนัก ยังไม่หนักแน่นพอจริงๆสินะ!
“ขณะที่กำลังอยู่ในช่วงที่สำคัญเจ้ากลับเหม่อลอยเสียได้ เสี่ยวเลี่ยเลี่ย เจ้านี่เชื่อถือไม่ได้เลยจริงๆนะ!”
หานจื่อเลียเลือดที่ริมฝีปากแผล็บๆ หูของมันกระดิกสองสามครั้ง
แม้ว่าเสิ่นถูเลี่ยจะไม่รู้ความคิดภายในใจของหานจื่อ แต่เขาก็เข้าใจ เพราะเขาก็อ่านสายตาของเจ้าสุนัขสีดำตัวยักษ์นั่นออก ว่ามันกำลังดูถูกเขา
เฮอะ! โตมาจนถึงป่านนี้ เพิ่งจะเคยถูกสุนัขดูถูก นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!
“ฮี่ๆ…” อวี้เฟยเยียนทะยานเข้ามายืนข้างหานจื่อ แล้วยื่นมือออกไปลูบหัวของมัน
“เสี่ยวเลี่ย นี่เป็นครั้งที่สองแล้วนะ!”
อวี้เฟยเยียนชูนิ้วสองนิ้วพร้อมกับส่ายไปมา
“แม้แต่หานจื่อยังรู้เลยว่าเจ้าเป็นพวกคนหนุ่มวัยฉกรรจ์ ประสบการณ์ยังน้อยนัก ยังไม่หนักแน่นพอ เจ้ายังไม่รีบหมั่นฝึกฝนอีก!”
“ยังมีแม่นางน้อยที่เข้าใจข้า!” หานจื่อใช้หัวดุนฝ่ามือของอวี้เฟยเยียน
ความผิดพลาดแบบเดียวกันเกิดขึ้นซ้ำสอง ครั้งที่หนึ่งอวี้เฟยเยียนช่วยเขาเอาไว้ได้ ครั้งที่สองหานจื่อช่วยเขาเอาไว้ได้อีก ทำเอาเสิ่นถูเลี่ยรู้สึกขายหน้าไปถึงต้นตระกูลทีเดียว
“ต่อไปมันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว!” เสิ่นถูเลี่ยกัดฟัน
เขาจะไม่ให้หานจื่อดูถูกเขาได้อีก!
และก็จะไม่ให้…อวี้เฟยเยียนดูถูกเอาได้!
จากนั้นเสิ่นถูเลี่ยจึงใช้การกระทำพิสูจน์คำพูดของตนเอง
เพลงดาบของเขา ดุดันแข็งกร้าวเต็มไปด้วยพละกำลัง
เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าตนเองมิใช่ไอ้หนุ่มเหยาะแหยะที่พึ่งพาไม่ได้ เสิ่นถูเลี่ยจึงจึงพุ่งเข้าไปยังตำแหน่งที่มีศัตรูมากที่สุด เขายกดาบในมือขึ้นแล้วตวัดดาบบั่นหัวของศัตรูโดยไม่มีปราณี
“เด็ดขาด!” หานจื่อแยกเขี้ยวเผยรอยยิ้ม ใช้โอกาสนี้นั่งพักที่ข้างกายอวี้เฟยเยียน
มันกินอะไรต่อมิอะไรเข้าไปมากมาย รู้สึกแน่นพุงยิ่งนัก ตอนนี้จึงเพียงแต่อยากที่จะยิ้มเงียบๆเท่านั้น
“เสี่ยวเลี่ยเลี่ย เจ้าพวกโง่พวกนี้ให้เป็นหน้าที่ของเจ้าก็แล้วกันนะ!”
“สู้เขา ข้าเอาใจช่วย!”
เห็นคุณชายของตนเอาแต่ฆ่าคนอย่างบ้าคลั่ง อาหูก็ถึงกับอาปากค้างตาโต ทำให้ไม่ทันระวังถูกศัตรูฟันเข้าให้ที่ไหล่ขวาหนึ่งแผล จนอาหูซู๊ดซี๊ดปากด้วยความเจ็บปวด
“อาหู ระวังหน่อยสิ!” เมื่อเห็นอาหูถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ เสิ่นถูเลี่ยก็เข้ามาช่วยเหลือ เขาสังหารคนผู้นั้นแล้วผลักอาหูหลบไปอีกทาง
“เจ้ารีบไปทำแผลเสียเถอะ ทางนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้าก็พอ!” อาหูยืนอึ้งกิมกี่ และยิ่งรู้สึกว่าวันนี้คุณชายของเขาถูกกระตุ้นครั้งใหญ่เข้าให้แล้วเป็นแน่ ไม่เคยเห็นคุณชายโหดเ**้ยมเท่านี้มาก่อน หรือว่าติดเชื้อจากผัวเมียจอมโหดคู่นั้นเสียแล้ว?
“คุณชาย ไม่นะ!”
“รีบไปทายา!” อวี้เฟยเยียนตรวจดูบาดแผลของอาหูพบว่าบาดแผลของเขาลึกเอาเรื่องทีเดียว อีกทั้งบนร่างของเขายังมีแผลเล็กแผลน้อยอีกมากมาย นางจึงรีบเร่งทำแผลให้กับอาหูในทันที
“แม่นางอวี้ คุณชายของข้า…” อาหูรู้สึกเป็นห่วงเสิ่นถูเลี่ยเล็กน้อย
แม้ว่ากองกำลังของสกุลหนานกงถูกจัดการไปเป็นจำนวนมาก แต่ทว่าคนที่เหลืออีกหกคนนั้นกำลังพุ่งเข้าโจมตีคุณชายของเขาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้อาหูจิตใจตุ้มๆต่อมๆทีเดียว
เมื่อครู่คนสามคนกับสุนัขหนึ่งตัวร่วมกันต่อกับศัตรู ตอนนี้เจ้าหมายักษ์พักผ่อนแล้ว อวี้เฟยเยียนก็มาทำแผลให้เขาอีก คงเหลือเสิ่นถูเลี่ยรับมองพวกทีเหลือเพียงคนเดียวจะไหวหรือ?
“เจ้าวางใจเถอะ! เขาไม่เป็นอะไรหรอก!” อวี้เฟยเยียนเหลือบมองไปยังเสิ่นถูเลี่ย
เสิ่นถูเลี่ยมีความสามารถและพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมโดยไร้ข้อสงสัย แต่ทว่าในเรื่องของการกรำศึกยังอ่อนหัดอยู่บ้าง
ศึกครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำหรับเสิ่นถูเลี่ย
แต่ว่า…อาหูยังมิทันกล่าวจบ ก็ถูกอวี้เฟยเยียนตัดตอนขึ้นเสียแล้ว
“อาหู เจ้าจงเชื่อในความสามารถของเสิ่นถูเลี่ย เชื่อว่าเขาสามารถจัดการคนที่เหลือได้!”
“หากว่าเพียงแค่พบกับความยากลำบากเข้า ก็มีคนยื่นมือเข้าช่วย เก็บกวาดกรุยทางให้เขาทันที จะทำให้เขาเคยตัว แบบนี้แล้วเขาจะก้าวหน้าได้อย่างไรกัน แล้วจะมีความสามารถอะไรไปสำเร็จขั้นที่สูงขึ้นได้? “
“ดอกไม้ที่อยู่แต่ภายในห้องที่อบอุ่น จะไม่สามารถทานทนกับบททดสอบจากแดดฝนได้! สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่แค่เพียงระดับขั้นของวรยุทธ์ที่สูงเท่านั้น แต่ต้องมีความสามารถที่แข็งแกร่งด้วย! มีแต่หน้าตาชื่อเสียงแต่ไร้สามารถมันจะมีประโยชน์อะไร! ความสามารถที่แท้จริงมิได้เพิ่มพูลขึ้นจากระดับของวรยุทธ์ แต่มันจะเพิ่มพูนขึ้นจากการที่ได้ต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่าต่างหาก”
อวี้เฟยเยียนไม่ได้ตะครั้นตะคอก ทว่าทุกคำพูดของนางกลับดังก้องในหูของอาหู
ดูสิ นางพูดได้ดีทีเดียว!
คำพูดของอวี้เฟยเยียนอาจจะไม่ไพเราะเสนาะหูแต่ก็สามารถปลุกความตระหนักรู้ภายในใจของเสิ่นถูเลี่ยให้ตื่นขึ้นมาได้