“เหวินหลาน ความอดทนและความเชื่อใจของข้า สูญสิ้นไปพร้อมกับกาลเวลาจนไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่อีกแล้ว นับตั้งแต่วันนี้ หน้าที่ของเจ้าก็คือปรนนิบัติข้า! “
กล่าวถึงตรงนี้ หลิวอวีเซิงก็เอื้อมมือออกมาปัดเอาไรผมของเหวินหลานไปทัดที่ใบหู
“เจ้าแก่นั่นตายแล้ว ไม่มีใครมาขัดขวางเราสองคนได้อีก! เหวินหลาน พวกเรามาใช้ชีวิตอย่างที่ผ่านมา ใช้ชีวิตคู่เฉกเช่นสามีภรรยาอย่างมีความสุขกันเถอะ!”
กล่าวจบ หลิวอีเซิงก็เปิดประตูเดินออกไปเรียกสาวใช้คนสนิทของเหวินหลานเข้ามาปรนนิบัตินาง สวนตัวเขาเองหมุนกายเดินออกไปทันที
คำพูดของหลิวอวี๋เซิง ดังก้องอยู่หัวของเหวินหลานซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด
นางชันกายลุกขึ้นนั่ง สองมืดกอดเข่าซุกหน้าลงแล้วเริ่มร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด
‘หลิวหลาง หลิวติงคือลูกชายของท่านจริงๆ เพราะอะไรท่านถึงไม่เชื่อข้า!’
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดช่วงบ่าย ถือเป็นฝันร้ายสำหรับเหวินหลาน แต่ที่นางคาดไม่ถึงนั่นก็คือ ฝันร้ายมิได้จบสิ้นลง ไปหลังจากวันนั้น ตรงกันข้ามมันกลับจะดำเนินต่อไปในทุกๆวัน
หลังจากที่หลิวอวี๋เซิงลั่นวาจาเช่นนั้นเอาไว้ ตกกลางคืนเขาก็ย้ายเข้ามาอยู่ห้องเดียวกันกับนาง
แน่นอนว่า การทรมานก็ไม่ได้ขาดเลยเช่นกัน
ดังนั้นเมื่อหลิวอวี่เยี่ยนมาเยี่ยมมารดาของตน จึงพบว่ามารดาผ่ายผอมลงไปมาก เหวินหลานไร้ชีวิตชีวา เปลี่ยนไปมกามายอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรไป?” ข่าวคราวที่ด้านนอกเขาเล่าลือกันหลิวอวี่เยี่ยนได้ยินมาแล้ว
นางแค้นพวกคนที่สร้างข่าวลือเหล่านั้นยิ่งนัก! แม้ว่าท่านปู่จะลำเอียงรักน้องสามมากกว่าใคร แต่หลานคนสุดท้องจึงได้รับความรักมากเป็นพิเศษ ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะอะไรคนพวกนั้นถึงต้องสร้างข่าวลือบ้าๆเกี่ยวกับท่านปู่และท่านแม่ ทั้งยังพูดจาได้น่าเกลียดถึงเพียงนั้นด้วย?
ดังนั้นหลิวอวี่เยี่ยนจึงมาหาเพื่อสอบถามความจริงกับเหวินหลาน แต่นางนึกไม่ถึงเลยว่าจะได้มาเห็นเหวินหลานกลายสภาพเป็นเช่นนี้
“เยี่ยนเอ๋อร์!”
ได้พบหน้าหลิวอวี่เยี่ยน เหวินหลานก็รีบจับมือนางเอาไว้ทันที
“ท่านพ่อของเจ้าไม่ยอมไปแก้แค้นให้กับน้องชายของเจ้า เยี่ยนเอ๋อร์ เจ้าไปที่สกุลเหวิน หาท่านลุงของเจ้า ให้เขาไปฆ่าประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น แก้แค้นให้กับติงเอ๋อร์!”
เหวินหลานท่าทางตื่นตระหนกลนลาน เอาแต่กล่าวซ้ำไปซ้ำมาว่าต้องแก้แค้นให้หลิวติง
เมื่อเห็นเหวินหลานตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ หลิวอวี่เยี่ยนก็รู้สึกสงสารยิ่งนัก
“ท่านแม่ ท่านแม่วางใจ ข้าจะไปหาท่านลุงเดี๋ยวนี้!” หลิวอวี่เยี่ยนออกไปจากสกุลหลิวไม่ทันไรก้มีคนนำข่าวไปรายงานหลิวอวี๋เซิงทันที
“ประมุข จะให้คนไปตามคุณหนูใหญ่กลับมาไหมขอรับ?”
“ไม่ต้อง——”
หลิวอวี๋เซิงหมุนแหวนหยกที่นิ้วหัวแม่มือของตนเองไปมา
‘สกุลเหวิน หึๆ…’
หากว่าเหวินจู๋รักใคร่สงสารน้องสาวคนนี้จริง จนยอมออกหน้าโจมตีประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นละก็ เห็นทีว่าเขาจะต้องเรียนรู้จากสกุลสุ่ย นั่งชมเสือสองตัวกัดกันเสียแล้วกระมัง!
เพียงแต่ หลิวอวี๋เซิงไม่คิดว่าเหวินจู๋จะยอมออกหน้าในเวลานี้นะสิ
ว่ากันตามเหตุผล เหวินจู๋สูญเสียผลประโยชน์มหาศาลไปเพราะน้ำมือของประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ่น อีกทั้งเขายังเป็นพวกมีแค้นต้องชำระอีกด้วย จึงน่าจะไปแก้แค้นประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นถึงที่ตั้งนานแล้ว ทว่าเหวินจู๋กลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆเลย
ไม่แน่ว่าเรื่องนี้อาจจะมีความลับที่บอกใครไม่ได้ก็เป็นได้
เหวินจู๋เคยประมือกับประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นมาแล้ว และเหวินจู๋เองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า เหวินจู๋รู้ระดับขั้นวรยุทธ์ของประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น ดังนั้นจึงไม่กล้าบู่มบ่าออกหน้าไป? กลัวว่าจะหากเสนอหน้าออกไปจะถูกเล่นงานจนถึงตายเข้านะสิ!
เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ทำให้หลิวอวี๋เซิงยิ่งเกลียดชังสุ่ยเจ๋อซี
คนสารเลวคนนี้ ตนเองเป็นคนขี้ขลาดตาขาว ตระหนี่ถี่เหนียว ที่เขามาพูดจาหว่านล้อมให้หลิวอ้าวหลานออกหน้า ก็เพื่อต้องการทดสอบฝีมือของประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นก็เท่านั้น
ผลลัพธ์ที่ออกมา ไม่เพียงหลิวอ้าวหลานหลวมตัวเข้าไปจนตัวตาย ยังทำให้สกุลหลิวพลอยตกอยู่ในภาวะลำบากไปด้วย
สุ่ยเจ๋อซีน่ารังเกียจที่สุด
เมื่อหลิวอวี๋เซิงนึกถึงแผนการรับมือพวกเขาที่ตนเองคิดขึ้น เขาก็เผยรอยยิ้มบางๆออกมา
‘คิดจะเป็นชาวนาที่ตักตวงผลประโยชน์ไปง่ายๆ เมื่อนกปากห่างกับหอยกาบทะเลาะกันนะหรือ ไม่ง่ายอย่างนั้น’หรอก!
‘สุ่ยเจ๋อซี สิ่งที่เจ้ามอบให้กับสกุลหลิว ข้าจะตอบแทนเจ้าคืนสนองเจ้าให้ครบถ้วนอย่างสาสม!’
ขณะที่ทุกคนกำลังจับตาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าสกุลหลิวจะทำอย่างไรกับการตายของหลิวอ้าวหลานนั่นเอง หลิวอ้าวกว๋อก็เดินทางมาถึงเมืองเฮ่อด้วยตนเอง
ในเวลานั้นการมองเห็นของหลิวเซิ้งค่อยๆฟื้นคืนมา ภายใต้การดูแลรักษาของตี้อู่เฮ่ออี้และอวี้เฟยเยียน
เมื่อได้ยินชื่อหลิวอ้าวกว๋อคนๆนี้ขึ้นมา ก็ทำให้หลิวเซิ้งถึงกับเงยหน้าขึ้น
“หลิวอ้าวกว๋อ ผู้อาวุโสสามแห่งสกุลหลิว ท่านปู่สามของข้า เขาไม่ถึงกับเป็นคนดี แต่ก็ไม่ใช่คนร้าย ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและท่านปู่ของข้าถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่เลวทีเดียว เมื่อตอนนี้ข้ายังเล็กก็เขาดีกับข้าเป็นอย่างมาก!”
“ฉิงเทียน ในเมื่อผู้ที่มาคือคนที่หลิวเซิ้งคุ้นเคย เช่นนั้นก็เชิญเขาเข้ามาเถอะ!” อวี้เฟยเยียนกล่าว
“ได้สิ!”
ในฐานะที่เป็นทาสเมีย คำพูดของเมียแน่นอนว่าเขาย่อมต้องเชื่อฟัง
สองสามวันมานี้ อวี้เฟยเยียนยุ่งมากจนไม่ค่อยมีเวลา เพราะต้องรักษาดวงตาของหลิวเซิ้ง ทั้งยังปรุงยาเพื่อช่วยให้ทุกการสำเร็จขั้นรวดเร็วขึ้นอีกด้วย
ดังนั้น ซย่าโหวฉงิเทียนจึงมีโอกาสเพียงแค่คืนที่กลับมาถึงบ้านวันแรกเท่านั้นที่ได้กลืนกินนางจนอิ่มท้อง หลังจากนั้นอวี้เฟยเยียนก็ไม่สนใจเขาอีกเลย
แต่โชคดียังดีที่ว่า ดวงตาของหลิวเซิ้งค่อยๆกลับมาเป็นปกติ และเช้านี้อวี้เฟยเยียนก็ปรุงยาสำเร็จแล้วด้วย
ส่วนอวี้ซิงฉง หมีเยว่ เสิ่นถูเลี่ย ตี้อู่เฮ่ออี้ อาหู แต่ละคนเมื่อกินยาที่อวี้เฟยเยียนปรุงขึ้นแล้วต่างก็แยกย้ายกันไปนั่งสมาธิฝึกวิชากันหมด
ในสุดตอนนี้ อวี้เฟยเยียนก็มีเวลาว่างที่เป็นของเขาจริงๆเสียที
ซย่าโหวฉิงเทียนนั่งพิงเก้าอี้โดยที่โอบรั้งอวี้เฟยเยียนไว้ในอ้อมกอด โดยที่ไม่สนใจหลิวอ้าวกว๋อที่เดินเข้ามาเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ซย่าโหวฉิงเทียนเอาแต่จับจ้องไปที่แมวน้อยของเขาเพียงอย่างเดียว
หลิวอ้าวกว๋อเพียงแค่ย่างก้าวเข้ามาก็ต้องตกตะลึงเป็นอย่างมาก
แม้ว่าเขาจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นยังหนุ่มแน่นอยู่มาก แต่หลิวอ้าวหลานก็ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า อีกฝ่ายจะอายุเพียงแค่ยี่สิบๆต้นๆและคาดว่าไม่น่าจะเกินยี่สิบห้าเท่านั้นเอง
ทุกยุคสมัยย่อมก่อกำเนิดอัจฉริยะบุคคลจริงๆ
และหญิงสาวสวมผ้าแพรปกปิดใบหน้าที่อยู่ในอ้อมกอดของชายชุดม่วงนั้นหลิวอ้าวกว๋อเองก็แน่ใจว่านางคือฮูหยินของประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น เท่าที่รู้ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นรักนางเป็นอย่างมาก มากจนมิอาจขาดนางได้
ในตอนนั้น หิวอ้าวกว๋อเห็นได้ชัดว่าซย่าโหวฉิงเทียนไม่ได้ชายตามองมายังตนเองเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขากลับเอาแต่จ้องมองสาวน้อยในชุดสีเหลืองด้วยสายตาและท่าทางที่รักใคร่อย่างลึกซึ้ง ก็ยิ่งยืนยันในสิ่งที่คนภายนอกเล่าลือกันได้เป็นอย่างดีว่า ถูกต้อง
หลิวอ้าวกว๋อคือราชาอาวุโส ย่อมดูออกว่าอวี้เฟยเยียนคือปราชญ์อาวุโสขั้นปลาย
แม่นางน้อยอายุยังน้อยก็สำเร็จถึงปราชญ์อาวุโสเสียแล้ว มิน่าเล่าประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นถึงได้รักใคร่โปรดปรานนางถึงเพียงนี้!
ก็ไม่รู้ว่านางเป็นลูกสาวบ้านไหนกัน!
ลูกสาวหลานสาวของตระกูลใหญ่ทั้งแปดส่วนใหญ่เขาล้วนแต่รู้จักทั้งสิ้น ซึ่งก็ไม่เคยเห็นแม่นางท่านนี้มาก่อนเลย?
‘นางเป็นใครกัน?’
แม้ว่าจะห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว แต่หลิวอ้าวกว๋อก็ครุ่นคิดเรื่องราวได้มากมาย
ดูเหมือนว่า ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นให้ความสำคัญกับสาวน้อยชุดสีเหลืองผู้นี้ยิ่งนัก เห็นทีว่าเขาคงจะต้องจับตาดูนางเอาไว้สักหน่อยแล้ว
หากว่าสามารถทำให้นางประทับใจได้ เมื่อเวลาอยู่ต่อหน้าประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นนางจะได้พูดจาถึงเขาในทางที่ดี ไม่แน่ว่าภารกิจของเขาในครั้งนี้จะสามารถสำเร็จลุล่วงไปได้อย่างราบรื่น!
หลังมองสังเกตซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนแล้ว หลิวอ้าวกว๋อถึงได้มองเลยไปที่ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายพวกเขา
เห็นเพียงแค่ดวงตาเจ้าเล่ห์ราวจิ้งจอกนั้น ก็ทำเอาหลิวอ้าวกว๋อตื่นเต้นไม่น้อย
เด็กคนนี้ รูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับพี่รองเหลือเกิน โดยฉพาะดวงตาที่เจือเอาไว้ด้วยรอยยิ้มคู่นั้น
“เจ้าคือ…หลิวเซิ้งใช่หรือไม่?” หลิวอ้าวหลานไม่สนใจอะไรอีกต่อไป เขาก้าวเดินไปที่เบื้องหน้าของหลิวเซิ้งทันที
“เจ้าหริงๆหรือนี่?”
“ท่านปู่สาม ข้าเอง!” หลิวเซิ้งเดินเข้าไปหาหลิวอ้าวกว๋อพร้อมกับยิ้มบางๆและแสดงความเคารพต่อเขา
“ท่านปู่สาม ไม่เจอกันไม่ตั้งนาน! ท่านปู่ยังน่าเกรงขามไม่เปลี่ยน!”
“หลิวเซิ้ง เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ดีจริงๆเลย!” ด้วยความดีใจ ให้แก้มทั้งสองข้างของหลิวอ้าวกว๋อแดงระเรื่อเล็กน้อย
“ข้าแก่แล้ว! ผมก็ขาวโพลนหมดแล้ว!”
“นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้พบเจ้าอีก ในขณะที่ข้ายังมีชีวิตอยู่! จะต้องเป็นวิณญาณของพี่รองและซ้อรองในปรโลกคุ้มครอง! ดีจริงๆเลย!”
เมื่อกล่าวถึงสิ่งที่สะเทือนต่อความรู้สึก ก็ทำให้ชายชรารูปร่างสูงผอมถึงกับน้ำตารื้น
เมื่อตอนที่ครอบครัวของหลิวเซิ้งเกิดเรื่องนั้น เขามีอายุเจ็ดขวบ แน่นอนว่าย่อมต้องจดจำได้เป็นอย่างดีว่าท่านปู่สามดีกับเขาอย่างไรบ้าง
เมื่อคนทั้งสองได้กลับมาพบกันอีกครั้ง ก็ทำให้พวกเขาสะเทือนใจไม่น้อย