เมื่ออวิ๋นเฮ่อเทียนกล่าวถึงตี้อู่เฮ่ออี้ แววตาของเชียนเย่เสวี่ยก็หม่นลง เมืองอู๋โยวโหดร้ายยิ่งกว่าที่นางคิดเอาไว้มากนัก
ภาพที่จักรพรรดิอาวุโสสกุลสุ่ยเห็นชีวิตคนไร้ค่า ฉายซ้ำไปซ้ำมาในหัวของนางไม่หยุด
หากว่าวรยุทธ์ของนางไม่ก้าวหน้า หยุดชะงักอยู่แค่เพียงปรมาจารย์ละก็ อย่าว่าแต่จะได้ครองรักกับตี้อู่เฮ่ออี้เลย แม้แต่ชีวิตของนางเองก็ยังจะรักษาเอาไว้ไม่อยู่
‘หรือว่านางจะต้องพึ่งพิงอวี้เฟยเยียนทุกอย่าง เป็นตัวถ่วงของอวี้เฟยเยียนอย่างนั้นหรือ?’
‘ไม่!’
‘ไม่ได้!’
นางจะต้องเปลี่ยนแปลงตนเองให้แข็งแกร่ง นางจะต้องสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับอวี้เฟยเยียน นางจะต้องปกป้องตี้อู่เฮ่ออี้ นางจะต้องมุ่งมานะพยายามให้ตนเองกลายเป็นสุดยอดจอมยุทธ์ให้จงได้
“ไม่ละ! บัดนี้ที่พวกเราแกจากกัน ก็เพื่อที่จะได้ครองคู่อยู่เคียงข้างกันตลอดไปในภายภาคหน้า ท่านลุง ท่านจะช่วยข้าส่งจดหมายไปที่เมืองเฮ่อได้หรือไม่? ข้าอยากจะแจ้งข่าวให้เพื่อนของข้าได้รับรู้ว่าข้าปลอดภัย!”
เมื่อเห็นว่าเชียนเย่เสวี่ยเข้าใจในเรื่องราวทั้งหมดนี้ได้ดี อวิ๋นเฮ่อเทียนก็พึงพอใจเป็นอย่างมาก
“ไม่มีปัญหา! ข้าชื่ออวิ๋นเฮ่อเทียน! เจ้าสามารถเรียกข้าว่าท่านลุงเฮ่อก็ได้!”
“ท่านลุงเฮ่อ——”
เชียนเย่เสวี่ยชันกายลุกขึ้น แล้วทำความเคารพอวิ๋นเฮ่อเทียนด้วยความเคารพนอบน้อม
ท่าทีของนาง ทำให้อวิ๋นเฮ่อเทียนนึกสงสัยอยู่ไม่น้อยว่าแม่นางน้อยผู้นี้เป็นใครมาจากไหนกัน
บัดนี้ ณ เมืองอู่โยว ปราชญ์ราชันย์มีเพียงสองคน คนหนึ่งคือเสิ่นถูปั๋วอี้ แห่งสกุลเสิ่นถู อีกคนก็คือเขานั่นเอง
จึงเป็นไปไม่ได้ที่ชาวอู๋โยวจะไม่รู้จักชื่อของเขา!
‘แต่สีหน้าท่าทางของเชียนเย่เสวี่ยกลับสงบราบเรียบเกินไป หรือว่านางไม่รู้ว่าอวิ่นเฮ่อเทียนคือใคร?’
‘น่าสนใจยิ่งนัก!’
อวิ๋นเฮ่อเทียนเห็นสีหน้าจอมปลอมเจ้าเล่ห์เพทุบายของผู้คนมามากเสียจนเคยชิน จึงเลือกที่หลบหลีกปลีกวิเวกมาอยู่ที่หุบเขาฝูแห่งนี้เพื่อหาความสงบ ตอนนี้เขามีคนมาอยู่เป็นเพื่อน ทั้งอีกฝ่ายยังมิใช่เพียงเพราะฐานะของเขาปฏิบัติดีต่อเขาเป็นอย่างดีอีกด้วย สิ่งนี้สำหรับอวิ๋นเฮ่อเทียนแล้ว ถือว่าเป็นการได้ทดลองสิ่งใหม่อย่างสิ้นเชิง
เชียนเย่เสวี่ยใช้เวลาไม่นานก็เขียนจดหมายเสร็จ
และเนื่องด้วยตี้อู่เฮ่ออี้มาจากเผ่าตัน ฐานะของเขาจึงต้องปกปิดเป็นความลับ ดังนั้น นางจึงเลือกให้อวี้เฟยเยียนเป็นผู้รับจดหมาย
ซึ่งอวี้เฟยเยียนได้รับจดหมายของเชียนเย่เสวี่ยในขณะที่นางเตรียมการรักษาดวงตาให้กับหลิวเซิ้งอยู่พอดี
อวิ๋นเฮ่อเทียนส่งพิราบสื่อสารให้เป็นผู้มาส่งสาส์น และเพื่อให้พิราบสื่อสารแยกแยะกลิ่นของอวี้เฟยเยียนได้ถูกต้อง เชียนเย่เสวี่ยจึงจัดแจงให้มันดมกลิ่นถุงกำยานใบน้อยที่อวี้เฟยเยียนมอบให้กับตนเองเอาไว้เสียก่อน
แม้ว่าถุงกำยานใบน้อยจะแช่อยู่ในน้ำมาจนทำให้กลิ่นของมันเบาบางยิ่งนัก แต่อวิ๋นเฮ่อเทียนก็รับรองว่า พิราบสื่อสารของเขาจะทำภารกิจได้สำเร็จอย่างราบรื่นแน่นอน
ในวันนั้น เมื่อพิราบสื่อสารบินเข้าหาอวี้เฟยเยียน ซย่าโหวฉิงเทียนเกือบจะฆ่ามันเสียแล้ว
เมื่อรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของชายในชุดสีม่วง เจ้าพิราบสื่อสารก็รีบหลบซ่อนตัวอยู่ให้ห่างจากเขาทันที มันเพียงแค่หันหน้าไปทางอวี้เฟยเยียนแล้วร้องเรียกนางเท่านั้น
“ฉิงเทียน ดูท่าทางมันจะมาส่งสาส์นนะ!”
มองเห็นแท่งไม้ไผ่ที่เท้าของเจ้าพิราบสื่อสาร อวี้เฟยเยียนจึงเอ่ยขึ้ อวี้เฟยเยียนห้ามปรามซย่าโหวฉงิเทียนเอาไว้ ส่วนตัวนางค่อยๆเดินเข้าไปหาพิราบสื่อสารตัวนั้นเอง
เมื่อเห็นอวี้เฟยเยียนเดินเข้ามาหา เจ้าพิราบตัวนั้นก็ค่อยๆบินเข้าไปหาแล้วหยุดลงตรงเบื้องหน้าของนางอย่างมั่นคง ทั้งยังยินยอมให้อวี้เฟยเยียนหยิบสาส์นที่เท้าของมันแต่โดยดี
“จดหมายของเสวี่ย! จอหมายของเสวี่ย!” เมื่อได้อ่านเนื้อความในจดหมาย อวี้เฟยเยียนก็ตื่นเต้นดีใจจนระงับอาการไว้ไม่อยู่ นางจดจำลายมือของอวี้เชียนเสวี่ยได้เป็นอย่างดี เพียงแค่เห็นก็รู้ได้ในทันทีว่านี่คือลายมือของเชียนเย่เสวี่ย
อวี้เฟยเยียนจึงรีบนำจดหมายไปมอบให้กับตี้อู่เฮ่ออี้
“พี่ชาย ท่านดูสิ เสวี่ยส่งจดหมายมา!”
เชียนเย่เสวี่ยเขียนบอกในจดหมายว่าตนเองปลอดภัยสบายดี แต่ตอนนี้นางมีเรื่องราวบางอย่างที่ต้องจัดการ จึงยังไม่อาจมาพบกับทุกคนได้
แม้ว่านางจะมิได้เขียนเหตุผลเอาไว้อย่างชัดเจน แต่เมื่อรู้ว่าเชียนเย่เสวี่ยปลอดภัย ก้อนหินแห่งความเป็นห่วงกังวลที่ถ่วงอยู่ในใจของตี้อู่เฮ่ออี้ก็ถูกยกออกไปได้เสียที
“ดีจริงๆเลย!”
พิราบสื่อสารของอวิ๋นเฮ่อเทียนยังคงยืนอยู่ข้างๆไปไม่ไหน ตี้อู่เฮ่ออี้จึงจัดแจงเขียนจดหมายตอบกลับเชียนเย่เสวี่ยหนึ่งฉบับ ส่วนอวี้เฟยเยียนก็หาปลาตัวเล็กๆและเนื้อต่างๆมาป้อนให้กับเจ้าพิราบสื่อสารเพื่อฆ่าเวลา
“ลำบากเจ้าแล้ว! รบกวนเจ้าช่วยกลับไปอีกครั้ง ส่งจดหมายนี้ให้กับเสวี่ยที!”
อวี้เฟยเยียนป้อนมันไปก็คุยกับมันไปด้วย ราวกับว่ามันเข้าใจในสิ่งที่นางพูดอย่างไรอย่างนั้น
ตี้อู่เฮ่ออี้เคยบอกเอาไว้ ว่าที่เมืองอู๋โยวแห่งนี้ว่าผู้ที่จะสามารถฝึกฝนพิราบสื่อสารได้นั้นมีน้อยนิดยิ่งนัก ผู้ที่ช่วยชีวิตเชียนเย่เสวี่ยเอาไว้จะต้องเป็นผู้ที่มีฐานะสูงส่งอย่างแน่นอน อีกทั้ง บนจดหมายไม่ได้เขียนสัญลักษณ์ขอความช่วยเหลืออะไรเอาไว้เลย นั่นก็แสดงว่าเชียนเย่เสวี่ยปลอดภัยจริงๆ
เมื่อรู้ว่าเชียนเย่เสวี่ยปลอดภัยดี อวี้เฟยเยียนก็วางใจแล้ว
เจ้าพิราบสื่อสารตัวนี้ก็ไม่มีเกรงใจเลยแม้แต่น้อย อวี้เฟยเยียนป้อนเนื้อปลาให้กับมัน มันก็อ้าปากกินเข้าไปทันทีโดยไม่มีตื่นกลัว ทำให้เสิ่นถูเลี่ยที่ยืนอยู่อีกด้านแปลกใจไม่น้อย
ใครๆต่างก้รู้ว่า พิราบ เจ้านกชนิดนี้ นอกเสียจากเจ้านายของมันแล้ว มันจะไม่เข้าใกล้คนแปลกหน้าอย่างเด็ดขาด
ซึ่งเจ้าพิราบสื่อสารที่อยู่ตรงหน้านี้ แหกกฎแทบจะทุกอย่างก็ว่าได้
‘หรือว่าเจ้าพิราบสื่อสารตัวนี้ มีอะไรพิเศษ?’
เมื่อคิดได้ดังนั้น เสิ่นถูเลี่ยจึงเข้าไปใกล้ๆคิดที่จะป้อนเนื้อปลาให้กับเจ้าพิราบเช่นกัน แต่ใครเล่าจะคาดคิดว่าเขายังมิทันเข้าใกล้มันด้วยซ้ำ เจ้าพิราบสื่อสารตัวนั้นก็บินขึ้นเหนือเขาทันที ทั้งยังถลึงตาจ้องมองมา จะงอยยาวที่แหลมคมของมันกางออก มันหันหน้ามาทางเสิ่นถูเลี่ยพร้อมร้องออกมาเสียงดัง
‘โอ้! เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า สองมาตรฐานชัดๆ!’
“เพราะอะไรเจ้าถึงสามารถป้อนมันได้ แต่ข้ากลับป้อนไม่ได้?” เสิ่นถูเลี่ยมองดูท่าทางเตรียมพร้อมจู่โจมของเจ้าพิราบสื่อสารแล้ว ก็รีบถอยร่นไปด้านหลังไปยืนยังที่ปลอดภัยทันที
คำถามของเขา ไม่มีใครตอบได้
เมื่อเสิ่นถูเลี่ยเดินออกไปไกลแล้วนั่นเอง เจ้าพิราบสื่อสารตัวนั้นจึงค่อยบินกลับเข้ามาที่ข้างกายของอวี้เฟยเยียนดังเดิม ทั้งยังอ้าปากรอรับ ร้องขอให้อวี้เฟยเยียนป้อนอาหารให้มันอีกด้วย
คราวนี้ ในที่สุดเสิ่นถูเลี่ยก็เข้าใจได้เสียที
ไม่ใช่ว่าเจ้าพิราบสื่อสารตัวนี้พิเศษ แต่อวี้เฟยเยียนต่างหากที่พิเศษ! พิเศษเสียจนทำให้สัตว์ทั้งหลายมองนางในด้านที่แตกต่างออกไปจากคนอื่นๆ!
ขณะที่เสิ่นถูเลี่ยกำลังเสียใจอยู่นั่นเอง อาหูที่ยืนอยู่ข้างกายเขาก็ยังไม่ลืมที่จะซ้ำเติมเข้าไปอีกแผลว่า
“คุณชายใหญ่ ท่านก็ไตร่ตรองตนเองเอาไว้บ้างเถิด! ท่านดูสิ แม้แต่นกยังรังเกียจท่านเลย!”
คำพูดของอาหูตอกย้ำเสิ่นถูเลี่ยอย่างที่สุด
“อาหู พวกเราไปฝึกวรยุทธ์กันเถอะ!” เสิ่นถูเลี่ยแยกเขี้ยวยิงฟันขาวจั๊วะพร้อมกับรอยยิ้มอันชั่วร้าย
“ตั้งแต่ที่เจ้าสำเร็จปราชญ์อาวุโส ข้าก็ยังไม่ได้ทดสอบเจ้าเลย! ตั้งใจมิสู้บังเอิญ เอาเป็นวันนี้เลยก็แล้วกัน!”
อาหูได้ยินดังนั้น ก็รีบก้าวถอยหลังเตรียมเผ่นแนบหนีออกไป แต่ก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง เพราะโดนเสิ่นถูเลี่ยสกัดจนล้มไปบนพื้นเสียก่อน
“คุณชายใหญ่ ท่านเล่นไม่ซื่อ ท่าน…อ๊าก! อย่าตบหน้าข้าน้อย! ข้าน้อยยังไม่ได้แต่งเมียเลยนะขอรับ!”
พิราบสื่อสารไม่รู้ว่าคนสองคนต่อยตีกันเพราะสาเหตุอะไร ในปากของมันคาบปลาอาไจนมิด คงเหลือเอาไว้เพียงส่วนหางของปลาที่โผล่พ้นปากออกมา สีหน้ามีเปรมปรีดิ์สุดๆ
ณ เวลานั้น จดหมายของตี้อู่เฮ่ออี้ก็เขียนเสร็จพอดี เขาจึงเดินเข้าไปหาอวี้เฟยเยียน หลังจากที่นางป้อนเจ้านกพิราบจนอิ่มท้อง จึงค่อยยัดจดหมายไว้ที่กระบอกไม้ไผ่บริเวณเท้าของมัน จากนั้นจึงหันไปกล่าวกับเจ้าพิราบสื่อสารว่า
“รบกวนเจ้าแล้ว! ขอบคุณเจ้านะ!”
พิราบสื่อสารตอบรับด้วยเสียงร้องอีกครั้ง แล้วพุ่งทะยานบินสู่ท้องฟ้าทันที
สำหรับอวี้เฟยเยียนแล้ว การที่เพื่อนปลอดภัย นับเป็นข่าวดีอย่างที่สุด
ในเวลานั้นศพของหลิวอ้าวหลานก็ถูกคนค้นพบเข้าและส่งกลับสกุลหลิวเป็นที่เรียบร้อย
“เป็นฝีมือของใครกัน? เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” หลิวอวี๋เซิ้งมองดูซากโครงกระดูกที่ยังหลงเหลือเนื้อกับคราบเลือดติดเอาไว้อยู่บ้าง ก็แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าบิดาของตัวเองจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
“พวกเจ้าพูดสิ!”
หลิวอวี๋เซิงเก็บตัวฝึกวิชาเพียงไม่กี่วัน เพิ่งจะออกมาก็ได้ยินข่าวว่าหลิวติงตายแล้ว ตอนนี้หลิวอ้าวหลานก็ถูกส่งศพกลับมาในสภาพเช่นนี้อีก เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?