บุคคลนั้นต้องรู้จักเย่ซือเฉินเป็นอย่างดีแน่ๆเชียว รู้ทุกอย่างของเย่ซือเฉินอย่างแจ่มแจ้งดุจนิ้วบนฝ่ามือ สิ่งที่เย่ซือเฉินถามเขาเมื่อสักครู่นี้ บุคคลนั้นก็เคยถามมาหมดแล้ว
แม้นจะเป็นเช่นนี้ หากแต่นาทีที่ต้องเผชิญหน้ากับเย่ซือเฉิน ในใจเขาก็ยังคงว้าวุ่นหนักมาก ดังนั้นหลังจากฝืนมาจนถึงเย่ซือเฉินออกไป ชั่วพริบตานั้นเขาก็เหมือนแหลกสลายไปเลย
เขากลัว เขาสติแตก ไม่เพียงเพราะกลัวเย่ซือเฉินเท่านั้น ยิ่งเป็นเพราะบุคคลที่วางแผนทุกอย่างอยู่เบื้องหลังด้วย เพราะในมือบุคคลนั้นมีความลับของเขาที่สามารถทำลายเขาได้ แถมวิธีการของบุคคลนั้นก็ร้ายกาจและน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก เขาไม่อาจต้านทานได้เลย
“ผู้อำนวยการลู่วางใจเถอะ ขอแค่คุณให้ความร่วมมือ ผมก็ไม่ให้ความลับแพร่งพรายออกไปหรอก”เสียงปลายสายดังขึ้นอีกครั้งผู้อำนวยการลู่ที่ตกใจกลัวต้องสั่นสะดุ้งหนึ่งครั้ง
เสียงที่ผ่านการแปรเปลี่ยนฟังดูแล้วไร้ความเมตตาและแข็งกระด้างอย่างเย็นชามาก ทำให้รู้สึกหวาดหวั่นยิ่งนัก
“คุณรับปากผมไว้แล้วแท้ๆ บอกว่าขอเพียงผมทำตามที่คุณสั่ง คุณก็จะคืนเอกสารทั้งหมดให้ผมนี่ครับ”ใบหน้าผู้อำนวยการลู่บิดเบี้ยวเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโกรธหรือเป็นเพราะตกใจกลัวกันแน่ หรืออาจจะมีทั้งสองอย่างก็ไม่รู้ได้เลย
“ผู้อำนวยการลู่ ถึงผมจะคืนเอกสารทุกอย่างในมือให้คุณ แต่คุณรับรองได้ไหมว่าความลับจะไม่ถูกแพร่งพราย?”ปลายส่วนหัวเราะ
เสียงที่เย็นชาจนน่ากลัวอยู่แล้ว เมื่อหัวเราะออกมาก็ยิ่งทำให้น่ากลัวยิ่งขึ้น
“ขอแค่ผู้อำนวยการลู่ให้ความร่วมมือดีๆ ผมรับรองว่าความลับพวกนั้นของผู้อำนวยการลู่อนาคตจะไม่ถูกเปิดเผยอย่างแน่นอน”
“คุณรับรองยังไงครับ?คุณเป็นใคร?”หัวใจผู้อำนวยการลู่เต้นเร็วเล็กน้อย หลังผ่านสิบกว่าวันนั้นมา เขารู้ความสามารถของบุคคลนี้ดี ดังนั้นเขาเชื่อเสียสนิทว่าบุคคลนี้จะทำได้ตามที่ยื่นข้อเสนอมา
“ผมมีวิธีอยู่แล้ว”อีกฝั่งหนึ่งของสายไม่ได้ตอบโดยตรง เพียงแต่ปะปนเสียงหัวเราะไว้
“คุณไม่ใช่ก็เป็นหมอเหมือนกันหรอกนะ?”แววตาอันพร่วมัวของผู้อำนวยการลู่มีแสงแวบผ่าน ถามขึ้นมาหนึ่งประโยคกะทันหัน
อันที่จริงผู้อำนวยการลู่ก็แค่ถามสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่ได้มีเค้ามูลอันใด
ทว่าเมื่อผู้อำนวยการลู่ถามเสร็จ แต่ได้ยินอีกฝั่งหนึ่งส่งน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปมา
ผู้อำนวยการลู่อึ้ง หรือเขาทายถูกแล้ว?อีกฝ่ายเป็นหมอจริงๆ?เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นชายหรือหญิง?
เมื่อผู้อำนวยการลู่มีความคิดเช่นนี้ก็เข้าใจหลายๆอย่างขึ้นมากะทันหัน อย่างเช่นบันทึกปลอมถึงอาการป่วยของเวินลั่วฉิง หากมองจากมุมของแพทย์คนหนึ่งแล้วมันช่างไร้ที่ติเลยล่ะ
แถมบันทึกปลอมฉบับนั้นยังสามารถเข้าไปอยู่ในคลังเอกสารของโรงพยาบาลได้ คงไม่ใช่คนทั่วไปจะกระทำได้
บุคคลนี้ต้องชำนาญระบบการแพทย์เป็นอย่างดี แถมมีความสามารถที่แข็งแกร่งมาก
เพียงแต่ แล้วจะเป็นใครได้นะ?
ทำไมต้องเลือกเขาด้วย?ทำไมต้องหลอกลวงเย่ซือเฉินด้วย?
บุคคลนี้รู้จักเย่ซือเฉินเป็นอย่างดี น่าจะเป็นคนรู้จักเย่ซือเฉินมั้ง?
“ผู้อำนวยการลู่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี สิ่งที่ไม่ควรถาม ทางที่ดีก็อย่าได้ถามเลย”บุคคลนั้นส่งเสียงแว่วเข้ามาอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ไม่ได้เสียงหัวเราะอีกต่อไป แต่มีความเย็นเยียบอันคมเฉียบหลายส่วน
“หน้าที่ของผมทำเสร็จแล้วไม่ใช่หรือครับ?”ผู้อำนวยการลู่ไม่ต้องยุอารมณ์เขา ไม่ได้พูดส่งเดช
“หากเย่ซือเฉินสงสัยแล้วกลับมาถามใหม่ หวังว่าผู้อำนวยการลู่จะจัดการได้เป็นอย่างดีนะ”เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายรู้ว่าเย่ซือเฉินนั้นไม่ได้หลอกง่าย ระแวงว่าเย่ซือเฉินจะกลับมาถามเพื่อความแน่ชัดอีกครั้ง
“ขอแค่ผู้อำนวยการลู่จัดการดี ผมรับปากว่าจะช่วยผู้อำนวยการลู่คลี่คลายปัญหาอันยุ่งยากทั้งหมดให้ แบบไม่มีให้ผู้อำนวยการลู่กังวลอีกเลย”เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายรู้จักใช้คน การข่มขู่และการหลอกล่อนั้นใช้ได้อย่างเหมาะสมมาก
“ครับ ผมรู้แล้ว”ผู้อำนวยการลู่ไม่กล้าขัดคำสั่งอีกฝ่ายอยู่แล้ว บัดนี้ยังได้ยินว่าอีกฝ่ายจะช่วยตนขจัดปัญหาความยุ่งยากทั้งหมดทิ้ง ต้องรีบรับปากอย่างเร่งด่วนอยู่แล้ว
อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรอีก พลางวางสาย
ผู้อำนวยการลู่กุมมือถือที่สายขาดแล้ว แววตาพลันเปล่งประกาย คล้ายกับกำลังไตร่ตรองอะไรอยู่
หลังจากเย่ซือเฉินออกจากโรงพยาบาล สีหน้าพลันมืดครึ้มประหนึ่งน้ำหมึก แววตาอันเย็นยะเยือกมีแสงโหมทำลายแวบผ่าน ในแสงโหมทำลายแผ่ไอสังหารออกมา บัดนี้เขาอยากฆ่าคนที่สุด
จากการตอบคำถามของผู้อำนวยการลู่เมื่อสักครู่ เขาจับพิรุธไม่ได้สักอย่าง อีกทั้งผู้อำนวยการลู่ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับเขาและเวินลั่วฉิงมาก่อน จึงไม่มีเหตุผลต้องหลอกเขา
เขาก็รู้ว่าหลังจากเวินลั่วฉิงเข้าไปอยู่ในบ้านตระกูลเวิน ต้องลำบากตรากตรำมากมาย ในบ้านตระกูลเวิน นอกเสียจากคุณปู่เวินแล้วคนอื่นล้วนสรรหาสารพัดวิธีในการกลั่นแกล้งเธอตลอดเวลา
ไม่นานมานี้ ครอบครัวเวินจีหยันเกินเลยไปถึงขึ้นจ้างวางโจรมาลักพาตัวเธอ อยากให้โจรพวกนั้นทำลายชื่อเสียงเธอ
กระทั่งเรื่องสติฟั่นเฟือนพวกเวินจีหยันยังทำได้ แค่เรื่องแอบรังแกเธอ ทุบตีเธอลับหลัง จึงมีสิทธิ์เป็นไปได้อยู่แล้ว
ตอนนั้นเธอคงไม่ได้เก่งกาจเช่นปัจจุบัน ไม่มีความสามารถต่อต้าน ดังนั้นจึงบาดเจ็บสาหัสเพียงนั้น?
บัดนี้เย่ซือเฉินรู้สึกมีเพลิงไฟแห่งความโกรธลุกไหม้อยู่กลางอก จากนั้นก็ขยายไปทั่วร่างกาย ประหนึ่งจะแผดเผาเขาให้มอดไหม้ได้เลย
ในโรงพยาบาล เมื่อเขาได้ยินว่าเวินลั่วฉิงถูกตีก็ไม่อาจใจเย็น ไม่อาจรักษาความสงบได้อีกต่อไป
ทว่าตอนนี้เย่ซือเฉินก็พยายามให้ตัวเองสงบอย่างสุดแรง ถึงแม้ก่อนหน้านี้คำตอบและการตอบสนองของผู้อำนวยการลู่จะไม่เผยพิรุธอันใด แต่เขาก็ต้องตรวจสอบเพื่อยืนยันต่ออีกขั้น
เลขาหลิวมีคำถามเต็มท้อง เมื่อเห็นสีหน้าของประธานตน เขาก็ไม่กล้าเอ่ยถามแม้แต่คำเดียว
“ไปเอาตัวเวินจีหยันมา”เย่ซือเฉินอ้ามุมปากขึ้นเล็กน้อย ทุกถ้วนคำเย็นจนเป็นน้ำแข็ง เย็นแข็งจนทำให้คนเจ็บปวด
หากผู้อำนวยการลู่พูดความจริง เวินจีหยันต้องรู้ด้วยแน่ๆ หากอาการบาดเจ็บของเวินจีหยันเกิดจากการกระทำของพวกเวินจีหยันจริงๆ
เขาต้องทำให้เวินจีหยันตายเสียดีกว่าอยู่เลยล่ะ
“ครับ”ถึงแม้เลขาหลิวไม่เข้าใจเจตนาของประธานตัวเอง แต่ก็ไม่กล้าถามภายใต้สถานการณ์เช่นนี้แม้แต่คำเดียว
ด้านหน้าตึกใหญ่แห่งหนึ่งใจกลางเมืองA ซ่างกวนหงยืนตรงอยู่จุดนั้น
ทุกครั้งที่เขามาเมืองAต้องมาที่นี่เป็นอันดับแรก เพราะที่นี่เป็นสถานที่ที่เขากับเธอได้พานพบกัน
การพบเจอครั้งแรก และเป็นการเจอกันเพียงครั้งเดียวของทั้งสอง
ใครจะคิดถึงว่า แค่พบกันครั้งเดียวก็ทำให้เขาตามหาสุดหล้าฟ้าเขียวมาเป็นเวลายี่สิบห้าปีแล้ว
ซ่างกวนหงมองตึกใหญ่เบื้องหน้า ซึ่งไม่พบร่องรอยเมื่อยี่สิบห้าก่อนแล้ว เหมือนดั่งที่เขาออกตามหามายี่สิบห้าปีแต่ก็ไม่พบวี่แววใดๆ
ยี่สิบห้าปีแล้ว ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดสิ้น ทั้งคนทั้งสิ่งของ แล้วเขาจะไปหาเธอที่ไหนได้อีก?
หาไม่เจอแล้ว หาไม่เจออีกแล้ว
คิดถึงคำนึกหาเข้ากระดูก เจ็บปวดเข้าถึงใจ มาที่นี่ด้วยความเพ้อฝันอีกครั้ง วินาทีนี้ เขารู้สึกอับจนปัญญาด้วยความหมดหวัง เขารู้ตั้งนานแล้วว่า หลังผ่านมายี่สิบห้าปีทุกอย่างก็ไร้ความหวัง ความเพ้อฝันของเขาก็เป็นแค่ความเพ้อฝันเท่านั้น ไม่มีทางเป็นจริงได้เลย
ซ่างกวนหงอย่างเขาเป็นที่โปรดปรานของสวรรค์ เป็นที่อิจฉาของผู้คนตั้งแต่เด็ก แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่อาจมีได้ ซึ่งก็คือตามหาเธอไม่เจอ
หากเป็นไปได้ เขาจะใช้ทุกอย่างของตัวเองแลกกับการได้อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่เธอ ถึงแม้สิ่งที่แลกมาจะเป็นเวลาอันสั้นก็ตาม