ตอนที่ 1090
“พี่ชาย ท่านว่ากว่าอาจารย์จะเลิกเก็บตัวนั้นนานเพียงใด?” เฉินอี้อี้และเฉินโม่วันนี้แวะมาที่ร้านต้นตำรับในช่วงบ่าย
“ข้าจะทราบได้ยังไงกัน?” เฉินโม่ส่ายศีรษะตอบกลับ “จากนิสัยของท่านอาจารย์ เป็นไปได้ตั้งแต่สามสี่วันจนถึงหลายเดือนเลยทีเดียว”
“นั่น… นั่นก็ไม่ผิด” เฉินอี้อี้ทำได้เพียงพยักหน้ารับ
ตอนนี้อีกไม่นานจะถึงเวลาเปิดทำการช่วงบ่าย ลูกค้าในร้านที่รอกันอยู่มีไม่มาก และลั่วฉวนก็ไปนอนงีบหลับเรียบร้อยแล้ว
“ชีวิตเถ้าแก่สุขสบายเกินไปแล้ว” ขณะเดินผ่านโต๊ะกลาง เฉินโม่ถึงกับต้องหยุดกล่าวคำ “อิจฉายิ่งนัก”
“เฮ้อ ข้าทราบนะว่าพี่กล่าวเช่นนี้หลายครั้งแล้ว” เฉินอี้อี้เบะปาก
“งั้นหรือ?” เฉินโม่ยิ้มรับก่อนจะยกสไปรท์ขึ้นดื่ม จากนั้นเขาค่อยผ่อนลมหายใจออกมา “ก็ปกตินี่จริงไหม? ไม่เห็นหรือว่าลูกค้าหลายคนในร้านต่างก็อิจฉาชีวิตเถ้าแก่กันทั้งนั้น?”
เหยาซือหยานรับชมบทสนทนาระหว่างสองพี่น้องและอดไม่ได้ที่จะยิ้ม
“เหมือนได้ยินคนกล่าวถึงข้านะ” เหวินเทียนจีก้าวเดินเข้ามาในร้าน
“อาจารย์?!” สองเสียงประสานดังขึ้นพร้อมกัน
“อาจารย์ ท่านศึกษาค้นคว้าเสร็จ้แล้ว?” เฉินอี้อี้เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เพิ่งคืบหน้ามาบ้าง” เหวินเทียนจีส่ายศีรษะ “ตัวอย่างมีน้อยเกินไป และข้อสรุปที่ได้รับตอนนี้ก็เกินคาดคิดไปมาก หากยังจะดื้อรั้นศึกษาต่อก็มีแต่จะเสียเวลา”
“ข้อสรุป?” เหยาซือหยานเกิดสนใจ
“จารึกที่ประตูโลหะใต้โบราณสถาน มันมีไว้ใช้เพื่อกรองพลังงาน” เหวินเทียนจีกล่าวบอก
“กรองพลังงาน?” เหยาฮุยเฉินเพิ่งพบเห็นเหวินเทียนจีเดินเข้ามาในร้าน “มันเอาไว้ใช้ทำอะไรกัน?”
ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งได้รับคู่มือการเพาะปลูกดอกครามเยือกแข็งจากลั่วฉวน เหล่าผู้อาวุโสหุบเขาโอสถตอนนี้กำลังอ่านกันแทบถ่างตา พวกเขายังได้ค้นพบเนื้อหาอีกหลายส่วนที่ใช้สำหรับการเพาะปลูกสมุนไพรวิเศษอื่นได้อีกด้วย
ด้วยเหตุนี้เหยาฮุยเฉินจึงว่างงาน นอกจากถ่ายทำ “โถงเล่าเรียนแห่งหุบเขาโอสถ” ในทุกวันแล้วเขาก็ไม่มีอื่นใดต้องทำอีก ดังนั้นตอนนี้จึงแวะเวียนมาร้านต้นตำรับได้แทบทุกวัน ระดับในโหมดทั่วไปของเขาก็ก้าวหน้าไปแล้วไม่ใช่น้อยเช่นกัน
“ที่โบราณสถานสมควรมีพลังงานที่เป็นอันตรายคงอยู่ไม่ผิดแน่ เพราะจารึกเหล่านั้นเป็นตัวบ่งบอก รวมเข้ากับการอยู่รอดของดอกครามเยือกแข็ง บางทีตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาพลังงานเหล่านั้นอาจสลายหายไปหมดแล้ว” เหวินเทียนจีกล่าวข้อสรุปของตนเองออกมา
“มีความเป็นไปได้อยู่…” เหยาฮุยเฉินครุ่นคิดตาม จากนั้นจึงถอนหายใจ “แต่ช่วงนี้น้อยคนจะไปที่โบราณสถาน แล้วก็ยังไม่มีการพบเจออื่นใดอีกด้วย”
“ทำไมกัน?” เหวินเทียนจีเกิดสงสัย
“สภาพแวดล้อมของโบราณสถานมันเลวร้ายเกินไป” เฉินอี้อี้เอ่ยคำขึ้น “นอกจากนี้แล้วที่นั่นยังมีแต่ซากปรักหักพัง การค้นพบสิ่งอื่นแทบไม่ปรากฏ และสิ่งสำคัญยิ่งกว่า คือต่อให้ในโบราณสถานมีอะไรที่ทรงอำนาจคงอยู่ แต่จะเทียบเถ้าแก่ของร้านต้นตำรับได้หรือ?”
“นั่นก็จริง” เหวินเทียนจีหัวเราะรับ “แต่การสำรวจสมควรดำเนินต่อไป บางทีพวกเราอาจได้พบสภาพแวดล้อมอื่นเหมือนดังพื้นที่ใต้ดินก่อนหน้านี้”
เหวินเทียนจีคือผู้ปรารถนาในความรู้ ตอนนี้เขาได้จัดตั้งคณะสำรวจจากตำหนักจักรกลสวรรค์ที่การฝึกฝนสูงกว่าขอบเขตทดสอบเต๋าขึ้นไปเพื่อสำรวจโบราณสถานส่วนที่เหลือ
แม้ว่าเป็นสุดยอดกองกำลังแห่งหนึ่งของทวีปเทียนหลัน แต่เพราะเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตำหนักจักรกลสวรรค์จึงส่งผลให้มีจำนวนสมาชิกน้อยกว่าหากเทียบกับหุบเขาโอสถหรือภูเขาจักรวาล
หลังออกจากการเก็บตัว เหวินเทียนจีก็มุ่งตรงมายังร้านต้นตำรับ และเพราะเขาไม่ทราบเรื่องราวในช่วงที่ผ่านมา ตอนนี้จึงโดนเฉินอี้อี้ดึงตัวนำทางไปยังพื้นที่ส่วนต่อขยายของร้าน
ความสงสัยของเขาค่อยเลือนหายยามได้เห็นสภาพแวดล้อมใหม่ หลังขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าเขากลายเป็นต้องเผยความประหลาดใจออกมาแทน
“อาจารย์ ดูท่านประหลาดใจไม่น้อย” เฉินอี้อี้ตระหนักเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของเหวินเทียนจี
“ตำแหน่งการจัดวางของดอกครามเยือกแข็งเหล่านี้ มันคือวิถีแห่งฟ้าดิน” เหวินเทียนจีเผยคำออกอย่างจริงจัง
“ว่าอะไร?!” เฉินอี้อี้อุทานทรับคำพร้อมใช้มือป้องปาก นางลดเสียงลงก่อนจะเอ่ยถาม “อาจารย์ ไฉนก่อนหน้านี้ข้าไม่เห็นตระหนักทราบ?”
เหวินเทียนจีสงบใจลงก่อนจะหัวเราะรับ “เพราะขอบเขตการฝึกฝนเจ้ายังต่ำ อย่างน้อยต้องเป็นขอบเขตราชันจึงตระหนักพบเห็นความผิดแปลกเหล่านี้ได้”
“เป็นเช่นนี้” เฉินอี้อี้พยักหน้ารับ
ลั่วฉวนเริ่มถูไถดวงตาตนเองเพราะเวลางีบหลับหมดลงแล้ว
ภาพที่ได้เห็นคือร้านอันคุ้นเคย
ฝนภายนอกยังคงตกหนักอย่างไม่มีทีท่าจะหยุดแม้แต่น้อย
ฤดูฝนของทวีปเทียนหลันคงอยู่ยาวนานจนเกินไป ไม่ทราบเลยว่าน้ำทั้งหลายจะไปท่วมขังที่ใดบ้าง
แต่เพราะที่นี่คือโลกแห่งผู้ฝึกตน ยอดฝีมือมากมายต่างแข็งแกร่งสะท้านฟ้าดิน ดังนั้นปัญหาเหล่านั้นไม่น่าแก้ไขยากเย็นแต่อย่างใด
ช่างมัน อย่างไรก็ไม่ใช่ปัญหาของเขา เขาก็แค่เถ้าแก่ร้านคนหนึ่ง ไม่ใช่พระผู้ช่วยที่ต้องห่วงใยโลกเสียหน่อย
ขณะนี้เขาจึงนำเอาโทรศัพท์วิเศษขึ้นมาเตรียมหาอะไรเล่นเพื่อฆ่าเวลาเหมือนเช่นทุกวัน…
เมื่อเริ่มเย็นย่ำ ลั่วฉวนค่อยเงยหน้าขึ้นมองออกไปนอกร้าน พบว่าฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว
เพราะฝนที่ตกตลอดทั้งวันจึงทำให้เวลากลางคืนมาถึงเร็วกว่าปกติ จากที่ลั่วฉวนคาดเดา ตอนนี้น่าจะราวสิบเจ็ดนาฬิกา
เป็นอีกวันที่เวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ลั่วฉวนเวลานี้กำลังครุ่นคิดว่ามื้อเย็นควรทานอะไรดี
“หม้อไฟดีไหมนะ…” เมื่อใกล้หมดเวลาทำการของร้าน ลั่วฉวนจึงกล่าวคำกับเหยาซือหยาน
“หม้อไฟ?” เหยาซือยานทวนคำด้วยความงุนงง
“เป็นหม้อใบใหญ่ใส่ซุปและนำเนื้อกับผักลงไปต้มให้สุก จากนั้นค่อยคีบขึ้นมาจิ้มซอสทาน” ลั่วฉวนกล่าวบอกให้เข้าใจโดยง่าย
“อืม… ฟังดูน่าสนใจและไม่ยาก” เหยาซือหยานมองว่าเมนูนี้ไม่จำเป็นต้องเข้าไปเรียนรู้ผ่านหลักสูตรทำอาหาร “แต่ฟังจากคำของเถ้าแก่ น่าจะเป็นการนั่งหน้าตาที่ร้อนอยู่ตลอดใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง” ลั่วฉวนพยักหน้ารับ
“พี่หญิงพูดคุยอะไรกับเถ้าแก่หรือ?” เหยาซือเย่ว์เดินเข้ามาพอดีจึงถามด้วยความสงสัย
เหยาซือหยานยิ้มรับก่อนจะบอกเล่าถึงหม้อไฟในค่ำคืนนี้ เหยาซือเย่ว์ถึงกับเผยดวงตาเป็นประกาย “ให้ข้ากินด้วย!”
ปิงชวงรับรู้ได้ถึงสังหรณ์ที่ปรากฏขึ้นในใจ ว่าหากวันนี้อยู่ที่ร้านต่อจะได้กินของอร่อย
“ปิงชวง ไปกัน” ประตูห้องส่วนตัวถูกผลักเปิดออก อานเหวยหยาเดินเข้ามาเรียก
ปิงชวงพยักหน้ารับเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง และในใจนางได้ตัดสินใจเด็ดขาแล้ว
ตามปกติแล้วเมื่อลูกค้าอื่นกลับไปกันหมด นางและอานเหวยหยามักจะเดินไปที่โต๊ะกลางเพื่อพูดคุยก่อนกลับ
เถ้าแก่นั่งอยู่ สองพี่น้องเหยาซือหยานกำลังหยิกใบหน้าเหยาซือเย่ว์หลอกล้อและคล้ายจะพูดคุยถึงอะไรบางอย่าง
“เถ้าแก่ ขอตัวก่อน” โต๊ะกลางและประตูร้านอยู่ไม่ไกลจากกัน อานเหวยหยาไม่ได้เข้าไปร่วมวงสนทนา แต่เพียงเดินผ่านและบอกลาเหมือนเช่นที่เคยทำ
แต่แล้วทันใดนี้เองที่นางโดนดึงมือรั้งเอาไว้ ร่างจึงต้องหยุดชะงักพร้อมหันมองกลับทางปิงชวง สายตาของปิงชวงมองคนทั้งสามไม่ขยับไปไหน
เหยาซือเย่ว์พบเห็น ตอนนี้จึงเผยยิ้มแย้มมองทางอานเหวยหยา “วันนี้พี่หญิงจะทำหม้อไฟ อยู่ทานด้วยกันก่อนแล้ว”
“หม้อไฟ?” อานเหวยหยาตอนนี้สลัดความคิดเดินทางกลับทิ้งโดยพลัน แม้เป็นชื่ออาหารที่ไม่คุ้นเคย แต่ฟังดูอย่างไรก็น่าอร่อย “ให้ข้าร่วมโต๊ะอาหารด้วยแล้ว!”