ตอนที่ 1153
ต้องใช้เวลาพักหนึ่งกว่าเจียงเฉิงจวินจะจัดการกระดูกที่จับขาตนเองได้ และครู่หนึ่งที่ว่า มันก็มากพอที่จะทำให้เข้าต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของปู้หลี่เกื๋อ
ความแตกต่างระหว่างกำลังของคนทั้งสองไม่ใช่ยิ่งใหญ่ ต่อให้ปู้หลี่เกื๋อได้เปรียบตอนเริ่ม แต่นั่นไม่ใช่กุญแจสู่ชัยชนะ
พลังวิญญาณปกคลุมดาบอันแหลมคม ทุกการโจมตีจะเผยแสงสาดส่องเป็นประกายหลงเหลือ พวกมันเหล่านี้คล้ายมีไว้เพื่อความสวยงาม
ลั่วฉวนรับชมด้วยความสนใจ ต้องกล่าวว่าการใช้พลังวิญญาณเป็นไปได้อย่างกว้างขวาง หากคิดอยากถ่ายทำภาพยนตร์สักเรื่อง เช่นนั้นคงไม่ต้องใช้กระบวนการหลังถ่ายทำเพื่อใส่เอฟเฟคอันตระการตา แต่ทำได้ในขั้นตอนถ่ายทำจริงเลย
พลังของปู้หลี่เกื๋อและเจียงเฉิงจวิน แม้กล่าวว่าไม่ค่อยน่าสนใจ แต่อำนาจการต่อสู้ของขอบเขตโชคชะตาก็ไม่ใช่เล็กน้อย มันฝากทิ้งรอยดาบเอาไว้บนลานประลองหินไปทั่ว
“ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเชื่อ เหมือนการที่ข้าเรียกใช้ปรโลกรับตัวเมื่อครู่จะได้ผลงั้นสินะ” ปู้หลี่เกื๋อถอยไปราวสิบเก้าก่อนจะหยุดเท้า
อาชีพเนโครแมนเซอร์ถือครองทักษะเวทมนตร์พิเศษที่สามารถแฝงไปกับลมหายใจยามปลดปล่อยเวท ดังนั้นเจียงเฉิงจวินจึงถูกปู้หลี่เกื๋อหลอกลวงได้ง่าย
เจียงเฉิงจวินก็ไม่ได้แตกต่างจากปู้หลี่เกื๋อเท่าใดนัก ตอนนี้ถอยเท้ากลับมาหลายก้าว ลมหายใจค่อนข้างหนักหน่วง ตอนนี้แทบจะต้องใช้ดาบค้ำยันพยุงร่างกายเอาไว้
ในช่วงสิบวินาทีแห่งการต่อสู้เมื่อครู่นี้ ทั้งพลังวิญญาณและพลังกายต่างถูกใช้งานไปอย่างมหาศาล ที่ต้องทำเร่งด่วนคือปรับสภาพลมหายใจ
“ปู้หลี่เกื๋อ เจ้าหนูเช่นเจ้าถึงขั้นเรียนวิธีอันโฉดชั่ว” หลังหอบหายใจพักหนึ่ง เจียงเฉิงจวินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
ในศึกก่อนหน้านี้ป็หลี่เกื๋อยังพยายามตะโกนชื่อกระบวนท่าอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่าการกระทำสวนทางกับคำพูด เป็นเพียงการส่งเสียงไร้สาระไปเรื่อย
แต่เพราะพลังเวทมนตร์ที่กลมกลืนไปไปกับออร่า เจียงเฉิงจวินจึงไม่กล้าหย่อนความระวัง เขาเกรงว่าบางครั้งมันอาจจะเป็นของจริง
“เหอะ อย่าได้กล่าวถึงข้า เจ้าเองก็ไม่ใช่หรือยังไง?” ปู้หลี่เกื๋อเผยยิ้ม แน่นอนว่าเขาไม่คิดสนใจคำของเจียงเฉิงจวิน
แม้เจียงเฉิงจวินไม่มีเวทมนตร์ที่กลมกลืนไปกับออร่า แต่เขาก็ยังเรียกชื่อกระบวนท่าออกมา การต่อสู้จึงกลายเป็นความซับซ้อนจนขนาดตัวเขาเองก็ยังไม่มีเวลาตระหนักถึงออร่าพลังเวท
เพราะเหตุนี้ปู้หลี่เกื๋อจึงแทบไม่ได้เปรียบเจียงเฉิงจวินมากนัก บ่อยครั้งเขาต้องยั้งตนเองตั้งระวังเอาไว้เสียแทน
“สองคนนี้…” เว่ยฉิงจู่หัวเราะเบาะ “น่าสนใจเสียจริง”
“เอาไปเป็นโครงเรื่องนิยายได้เลยนะว่าไหม?” ซ่งฉิวหยิ่งเผยดวงตาเป็นประกาย “น่าสนใจ นำมาใช้ในชีวิตจริงกันได้ด้วย”
“น่าจะไม่มีปัญหา แต่ต้องเตรียมองค์ประกอบอื่นไว้รองรับเนื้อหาให้เรียบร้อยเสียก่อน “เว่ยฉิงจู่กล่าวความเห็น “ข้าคิดว่าผู้อื่นคงบันเทิงขึ้นไม่ใช่น้อย”
ความจริงเป็นข้อพิสูจน์ เป็นไปไม่ได้ที่ทุกการออกกระบวนท่าจะต้องตะโกนบอกว่าตนเองทำอะไร และแม้ไม่ทำตามที่พูดออกจะดูน่าอับอายสำหรับผู้กระทำไปบ้าง แต่มันน่าสนุกและใช้งานได้จริง
อีกทั้งยังใช้อธิบายถึงตัวร้ายที่พร้อมจะไม่ทำตามคำพูดเพื่อให้สำเร็จเป้าหมายได้เช่นกัน ถือว่าเป็นจุดหนึ่งของโครงเรื่องที่น่าสนใจ พร้อมทำให้ผู้อื่นสับสนคาดเดาไม่ออกว่าแท้จริงมันจะเกิดเรื่องราวใดขึ้นกันแน่
ขณะที่ตัวร้ายเริ่มอธิบายถึงวิชาตนเอง ในความเป็นจริงเท่ากับแส่หาความตาย ตัวเอกจะหาทางตอบโต้กลับจนได้พร้อมคุยโวเหยียดหยาม เหล่านี้แทบจะเป็นสูตรสำเร็จ
แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่ สิ่งสำคัญคือกระทำและตอบรับอย่างรวดเร็ว เหตุใดต้องเสียเวลาอธิบายให้ตัวเอกหาวิธีแก้ทางตนเองด้วยกันเล่า?
ลั่วฉซนดื่มโคล่าพลางรู้สึกคิดอยากหัวเราะ การประลองระหว่างปู้หลี่เกื๋อและเจียงเฉิงจวินน่าสนใจกว่าที่เขาคาด
กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ที่รับชมต่างก็เผยยิ้มแย้ม พวกเขาพูดกล่าวกันว่าถัดจากนี้จะเป็นยังไงกันอย่างสนุกสนาน
การปะทะระหว่างคมดาบคนทั้งสองเกิดเสียงแตกร้าวหลายครั้ง ร่องรอยบิ่นเริ่มกระจายตัวตัวดาบ พลังวิญญาณที่ปะทะต่อกันเป็นผลให้เศษดาบเล็กน้อยที่บิ่นปลิวกระจายทั่วลานประลอง
“เหอะเหอะ อีกไม่ช้าเจ้าก็จะตายแล้ว” ปู้หลี่เกื๋อกัดฟันกล่าวออก เขารับรู้ได้ว่าแขนที่ถือดาบเริ่มด้านชา น้ำหนักการถือดาบคล้ายจะมากขึ้น
“จะบอกว่าสภาพเจ้าดีกว่าข้างั้นสิ?” เจียงเฉิงจวินถามกลับ เหงื่อยังคงผุดท่วมหน้าผาก อัตราการฟื้นพลังวิญญาณของเขาไม่อาจทันอัตราสูญเสีย
เสียงระเบิดดังก้อง ชิ้นส่วนกระดูกกระจายตัว โครงกระดูกคืบคลานเข้าหาทางด้านหลังเจียงเฉิงจวินอย่างเงียบงันพร้อมต่อยใส่
เพราะพลังวิญญาณเลือนหายไปมาก ความแข็งแกร่งของอันเดตโครงกระดูกที่ถูกเรียกมาจึงลดทอนต่ำลง มันแทบจะยืนเพื่อโจมตีเจียงเฉิงจวินให้ดีไม่ได้ด้วยซ้ำ
แต่นั่นก็มากพอแล้ว
ปู้หลี่เกื๋อกัดฟัน หน้าที่ของอันเดตโครงกระดูกก็เพียงดึงความสนใจ และหน้าที่นั้นสำเร็จเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเขาใช้ดาบทิ่มแทงใส่หน้าอกของเจียงเฉิงจวิน ตอนนี้เองที่ค่อยได้ตระหนักรอยยิ้มเหยียดหยามของอีกฝ่าย
คมดาบถูกควบคุมด้วยพลังวิญญาณทะลวงพุ่งขึ้นฟากฟ้า มันแทงผ่านลำคอของปู้หลี่เกื๋อ
“ข้าควรเดาได้แต่แรก” กู่หยุนซีถอนหายใจ “กลายเป็นว่าเสมอกัน”
“ทำได้ไม่เลว” เหว่ยอี้หาววอด “นั่นเทียบเท่าพลังต่อสู้ขอบเขตของข้าครึ่งหนึ่งเลย”
เซี่ยหยิงดึงเสื้อเหว่ยอี้ก่อนจะเผยยิ้มเป็นการขออภัยลูกค้าคนอื่น
“ผลลัพธ์เสมอกัน เหมือนว่าสองคนนี้จะหาทางแยกว่าใครแข็งแกร่งกว่าไม่ได้” หู่ขวงที่เพิ่งเล่นไพ่พิชิตแลนด์ลอร์ดจบ หลังได้รับชมผลการแข่งขันจึงกล่าวความเห็นออกมา
ที่ภายในอารีน่า แสงสีขาวเจิดจ้าสว่างไสว พื้นสนามรอบด้านกลับคืนสภาพดังเดิม ทั้งปู้หลี่เกื๋อและเจียงเฉิงจวินต่างกลับไปยืนประจำตำแหน่งเริ่มต้น
“ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะเตรียมการลอบโจมตีเอาไว้เช่นนั้น” ปู้หลี่เกื๋อจับลำคอตนเอง ความรู้สึกถึงดาบที่ทิ่มแทงใส่ยังคงมีตกค้าง
“หือ? เจ้าเองก็ไม่ใช่หรือยังไง?” เจียงเฉิงจวินมองตอบ “เห็นกันอยู่ว่าตอนแรกที่เจ้าอัญเชิญอันเดตโครงกระดูกออกมาเพื่อดึงความสนใจข้า! เข้าหาทางรับมือไว้ก็จริง แต่เจ้าก็ลงมือโหดเหี้ยมรวดเร็ว!”
เจียงเฉิงจวินแตะสัมผัสตำแหน่งที่ดาบทิ่มแทงใส่หน้าอก มันยังคงรู้สึกเจ็บทางจิตใจ บาดแผลในอารีน่าจะส่งผลกระทบกับจิตใจ แน่นอนว่ากำหนดให้ค่าความเจ็บปวดเป็นศูนย์จะลบเลือนปัญหาตรงนี้ไปได้
“ครั้งนี้เสมอ ยังคิดสู้ต่อหรือไม่?” ปู้หลี่เกื๋อเอ่ยถาม
“เหนื่อยแล้ว” เจียงเฉิงจวินถอนหายใจตอบกลับ
เพราะการต่อสู้ยังเป็นการใช้สมาธิ มันไม่อาจฟื้นคืนได้โดยสะดวก แม้สไปรท์สามารถช่วยฟื้นคืนพลังจิต แต่มันก็ไม่อาจลดความเหนื่อยล้าทางสมาธิ
“ระยะเวลาทำการของร้านเถ้าแก่ก็ใกล้หมดลงแล้วด้วย” ปู้หลี่เกื๋อถอนหายใจ “ข้ากลับแล้ว หมดอารมณ์”
เมื่อสติกลับคืนความเป็นจริง ปู้หลี่เกื๋อค่อยได้เห็นลูกค้าทั้งหลายที่ยืนเรียงรายรับชม ดวงตาเขาถึงขั้นเบิกกว้าง “นี่มาทำอะไรกัน?”
“ดูการต่อสู้ระหว่างพวกเจ้าทั้งสองยังไงล่ะ” ปู้ฉืออียิ้มตอบ “แม้ว่าเป็นไก่อ่อนตบตีกันเอง แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าที่ได้รับชม”
“ไก่อ่อนตบตีกันเอง?!” ปู้หลี่เกื๋อหน้าแดงก่ำ “เหตุใดไม่เรียกว่าผู้ฝึกตนต่อสู้กันล่ะ? เรียกเช่นนี้มัน… เหมือนเหยียดหยามความพยายามที่ข้าฝึกฝนมาเลยนะ!”