“นรมน!”
“หม่ามี๊!”
ทั้งบุริศร์และกมลต่างก็ตกตะลึง แต่ดีที่บุริศร์ตาไวมือไวตรงเข้าไปโอบนรมนไว้ทัน
นรมนรู้สึกงุนงงเล็กน้อย
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ถามผมได้อย่างไร? ผมนี่สิอยากจะถามคุณ ทำไมเป็นอย่างนี้? ไม่ได้การละ ผมจะเรียกโพนี่มาดูอาการคุณเสียหน่อย”
บุริศร์ช่วยประคองนรมนนั่งบนโซฟา พลางบอกว่าเขาจะโทรศัพท์
“ตอนนี้เพิ่งเก้าโมงเองค่ะ โพนี่เพิ่งเข้างาน ที่โรงพยาบาลยังมีเรื่องให้ทำอีกเยอะ อย่าโทรไปกวนเธอเลยค่ะ ฉันอาจจะนอนมากไป”
นรมนห้ามอย่างรวดเร็ว
“ถ้านอนเยอะจะเป็นอย่างนี้หรือ? นรมน เรื่องอื่นผมตามใจคุณนะ แต่เรื่องวันนี้ไม่ได้”
กมลยังจับมือของนรมนด้วยความกังวลและพูดว่า “หม่ามี๊ มีตรงไหนไม่สบายหรือคะ? แด๊ดดี้บอกว่าเมื่อวานหม่ามี๊ถูกหนูทำให้ตกใจ ขอโทษนะคะ หม่ามี๊ดีขึ้นหรือยัง? หนูรินน้ำให้ไหมคะ?”
ดูท่ากมลอยากจะไปรินน้ำให้นรมนจริงๆ แต่ถูกนรมนดึงตัวไว้กาอน
“ลูกแม่ หม่ามี๊ไม่เป็นไรค่ะ ก็แค่เมื่อตะกี้เพิ่งรู้สึกว่าสมองบางส่วนขาดออกซิเจน ไม่ต้องห่วงนะลูก หม่ามี๊โอเคมาก หม่ามี๊ยังไม่พากมลออกไปเล่นนะ โอเค?”
“อืม!”
กมลพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
บุริศร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเขาเห็นว่านรมนมีพลังในตอนนี้สีหน้าดีขึ้นมาก แต่เขาก็ยังไม่สบายใจ
“วันนี้ตอนเช้าไม่ต้องไปที่ไหนนะ นอนพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ตอนเที่ยงผมจะให้โพนี่มาตรวจดูคุณหน่อย ว่าเป็นอย่างไร ดีไหม?”
“ฉันไม่ได้ไร้เหตุผลขนาดนั้นนี่คะ”
นรมนรู้สึกว่าความเจ็บปวดเล็กน้อยของตัวเอง ในสายตาบุริศร์ตอนนี้จะเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก
ตอนนี้ชายคนนี้หวาดกลัวเกินไป
บุริศร์ไม่สนใจว่านรมนจะคิดอย่างไรกับตัวเอง เขายังยืนกราน “ไม่ใช่ปัญหาของการไร้เหตุผล ผมแค่หวังว่าคุณจะโอเค ไม่ต้องเถียงกับผมแล้ว ตอนเที่ยงคนน้อย โพนี่มาก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้าคุณกลัวเธอจะเหนื่อย ผมจะไปรับเธอ”
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนี้”
เมื่อฟังคำพูดของบุริศร์ นรมนจะพูดอะไรได้อีก
“เอาล่ะ ฉันจะให้โพนี่มาดูอาหาร พวกคุณไม่ต้องมาคอยดูแลฉันแล้ว กมลทานข้าวหรือยัง? ธิดายังเตรียมอาหารอยู่ ฉันจะยกมาให้เอง”
นรมนพูดพลางยันกายลุกขึ้น แต่กลับถูกบุริศร์ห้ามไว้
“นอนพักผ่อนเสีย ผมช่วยเอง กมล ดูแลหม่ามี๊นะลูก”
“ได้ค่า”
กมลนั่งตรงข้ามนรมน และมองมายังเธอด้วยรอยยิ้ม
“หม่ามี๊ ต้องไม่ป่วย โอเคไหม?”
“โอเคค่ะ หม่ามี๊ไม่ป่วย”
นรมนรู้สึกซาบซึ้งใจกับท่าทีฮึกเหิมของกมล
“มา หม่ามี๊อุ้มหน่อย”
นรมนวางแผนที่จะอุ้มกมลไปที่โซฟา กมลจำต้องถอยไปข้างหลัง
“หม่ามี๊สุขภาพไม่ดี ก็อย่าอุ้มหนูเลยค่ะ หนูจะนั่งที่นี่เป็นเพื่อนหม่ามี๊ รอแด๊ดดี้กลับมา ดีไหม?”
“ดีจ๊ะ”
เมื่อเห็นกมลรู้เรื่องรู้ราว นรมนรู้สึกใจละลาย
เมื่อบุริศร์กลับมา เขาเห็นนรมนและกมลมีท่าทีรักใคร่กัน เขาก็อดที่จะเผยรอยยิ้มไม่ได้
“คุยอะไรกัน? ท่าทางดีใจเชียว”
“ไม่บอกหรอกค่ะ เป็นความลับของหนูกับหม่ามี๊”
ปีศาจน้อยกมลปัดไปใส่นรมนเอาดื้อๆ
นรมนลูบหัวของเธอและพูดด้วยรอยยิ้ม “รีบกินเถอะ เดี๋ยวจะเย็นเอา”
กมลอารมณ์เสียเป็นพิเศษเมื่อเธอเห็นว่าไม่มีเนื้อสัตว์
“ลูกรัก หมอบอกว่าร่างกายของลูกในตอนนี้ควรมีความสมดุลทางโภชนาการ ทานเนื้อสัตว์และผักเท่าๆกัน ไม่กี่วันนี่หนูกินอาหารอ่อนนะลูก ไม่อย่างนั่นจะส่งผลต่อสุขภาพ หนูอยากนอนโรงพยาบาลหรือ?”
คำพูดของนรมนทำให้กมลส่ายหัวอย่างรวดเร็ว
“ไม่ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั่นก็ทานข้าว มีอะไรก็กินสักหน่อย เพื่อตัวหนูเอง ได้ไหม?”
“ได้ค่ะ”
กมลตอบอย่างไม่เต็มใจ แต่ไม่ได้ดื้อรั้นเกินไป
บุริศร์รู้สึกทุกข์ใจมากเมื่อเห็นลูกสาวของตนเป็นเช่นนี้ แต่กลับพูดด้วยเสียงต่ำ “มา แด๊ดดี้จะทานเป็นเพื่อนนะ”
“หม่ามี๊ก็จะทานเป็นเพื่อนหนูด้วยนะ ดีไหม?”
นรมนพูดพลางยกอาหารขึ้นมาทาน
เมื่อเห็นว่าพ่อแม่ของตนเองทานแล้ว กมลก็ไม่มีเหตุผลที่จะเรื่องมาก แล้วค่อยเริ่มทาน
เมื่อธิดาเข้ามาทำความสะอาดโต๊ะ เธอก็ต้องตกใจเมื่อเห็นนรมนกินอีกครั้ง
“คุณนาย ทำไมยังทานอยู่ละคะ?”
“เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อเห็นสีหน้าของธิดาไม่ถูกต้อง บุริศร์ก็อดไม่ได้ที่จะถาม
ธิดารีบตอบ “ก่อนหน้าคุณนายทานเยอะแล้วค่ะ แถมทานมากกว่าปกติสองเท่า ดิฉันก็กลัวว่าคุณนายอาหารจะไม่ย่อย ว่าจะเอาไปยาช่วยย่อยมาให้ คุณนายบอกว่าค่อนข้างแน่น แล้วทำไมตอนนี้ยังเริ่มทานอีกละคะ?”
สีหน้าของบุริศร์ก็กลายเป็นจริงจังขึ้นมา
“มีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า?”
“ไม่มีนี่ ฉันก็แค่รู้สึกหิวไปหน่อย”
นรมนถูกพวกเขามองเช่นนี้ก็รู้สึกขัดเขินเล็กน้อย
กมลยิ้มและพูดว่า “หม่ามี๊เป็นนักชิมมากกว่าหนูอีก”
“ไม่ได้แล้ว ผมจะพาคุณไปดูอาการที่โรงพยาบาล ไปตอนนี้เลย”
ความตระหนกของบุริศร์ ทำให้นรมนรู้สึกทำตัวไม่ถูก
“ฉันไม่ไป! ไปโรงพยาบาลแล้วบอกว่าอย่างไร? บอกว่าฉันกินเยอะไปเลยมาตรวจ? คุณไม่อายหรือ? ฉันอายคน ฉันไม่ไป!”
นรมนหันตัวขวับราวกับเด็กน้อย ส่งเสียงดัง
เมื่อเห็นเธอเป็นเช่นนี้ บุริศร์ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
“ถ้าอย่างนั่นจะมีอะไร ผมก็แค่อยากพาคุณไปตรวจว่าอาหารย่อยหรือยัง”
“ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ไปค่ะ ฉันโตขนาดนี้แล้ว อาหารย่อยไม่ย่อย ฉันก็ไม่แน่ใจ? ฉันพูดไปแล้ว ฉันแค่หิวไปหน่อย อยากทานอาหาร พวกคุณจะกระต่ายตื่นตูมอะไรกัน? ทำไมกันคะ? ฉันกินอะไรที่บ้านเราแล้ว แล้วคุณกินไม่ลง?”
น้ำเสียงของนรมนสั่นเครือ ดวงตาของเธอแดงก่ำ
เมื่อเห็นเช่นนี้ บุริศร์ก็ตื่นตระหนก
“โอเคโอเคโอเค ไม่ไปก็ไม่ไป ผมก็ไม่ได้พูดอะไรนี่ ทำไมร้องเล่า?”
“ก็คุณน่ารำคาญ ฉันกินอะไรหน่อยแล้วมันทำไม?”
จู่ๆ นรมนก็รู้สึกเศร้าเป็นพิเศษ น้อยใจเป็นพิเศษ เธอก็กินแค่นิดหน่อยเองไหม? ทำไมต้องให้เธอไปโรงพยาบาล? มันเกิดอะไรขึ้นกัน?
เมื่อเห็นนรมนเป็นเช่นนี้ ธิดาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดเล็กน้อย
“คุณนายขา ขอโทษนะคะ เป็นเพราะดิฉันตกใจใหญ่โตไปเอง อย่าร้องเลยนะคะ”
ธิดาไม่พูดยังดีเสียกว่า เมื่อพูดแล้ว ยิ่งทำให้นรมนยิ่งอยากจะร้องไห้
“นรมน ลูกยังอยู่นะ”
บุริศร์รู้สึกว่าตอนนี้นรมนเหมือนเด็กมากกว่ากมล เธอกระทั่งจะทำให้กมลร้องไห้อย่างงุนงงเสียแล้ว
“แด๊ดดี้ หม่ามี๊เป็นอะไรคะ?”
“ไม่มีอะไรครับ ลูกรัก หนูไปเล่นคนเดียวก่อนนะ”
บุริศร์รู้สึกว่าเมียตัวเองร้องไห้แล้ว อยากจะไว้หน้าเธออยู่บ้าง นำลูกสาวให้ธิดา จากนั่นค่อยโอบกอดนรมน
“โอเค โอเค เป็นอะไรไป? ผมไม่ได้พูดอะไรเลยนะ ทำไมร้องไห้ละ?”
“ฉันก็ไม่อยากร้องไห้ค่ะ แต่ไม่รู้ว่าทำไม แค่รู้สึกน้อยใจ อยากร้องไห้ มันกลั้นน้ำตาไม่อยู่”
นรมนรู้สึกหดหู่ใจมาก ยิ่งเป็นอย่างนี้ยิ่งเศร้าใจ
เมื่อเห็นเธอเป็นเช่นนี้ บุริศร์ก็กระชับเธอเข้ามาแน่นขึ้น
นรมนไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล ตอนนี้ที่อารมณ์ของเธอแปรปรวนอย่างกะทันหัน ทำให้บุริศร์กังวลมาก แต่เขากลับไม่กล้าถาม
“โอเค โอเค ผมไม่พูดแล้ว พวกเราไม่ไปโรงพยาบาลแล้วเนอะ? ผมจะอุ้มคุณไปพักผ่อนข้างบนสักหน่อย ดีไหม?”
“แต่ฉันเพิ่งตื่นขึ้นมาเองนะ”
น้ำเสียงของนรมนแหบพร่า แต่เธอหาวออกมาอย่างไม่รู้ตัว
บุริศร์เป็นห่วงจริงๆ เมื่อเห็นเธอเป็นแบบนี้
“โอเค โอเค เราไม่นอน ถ้าอย่างนั่นนอนเล่นสักพัก ดีไหม?”
“ค่ะ”
นรมนเอนตัวนอนในอ้อมแขนของบุริศร์อย่างเหนื่อยล้า จากนั้นให้บุริศร์อุ้มเธอขึ้นชั้นบน ก่อนจะวางเธอลงบนเตียง
ทันทีที่เธอแตะถึงเตียง เธอก็พลิกตัว จากนั้นก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ
บุริศร์กลัวว่าเธอจะเก็บกดความรู้สึกตัวเองไว้ ดังนั้นเธอจึงเรียกเธออย่างนุ่มนวล
“นรมน คุณนอนดีๆนะครับ”
แต่นรมนไม่ตอบสนองเลย
บุริศร์ไปดูอีกด้าน พบว่านรมนหลับไปแล้ว
เพิ่งตื่นไม่ใช่เหรอ?
ทำไมหลับไปอีกแล้ว?
บุริศร์ไม่กล้ารอช้า เขาดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเธอ จากนั้นรีบเดินลงไปชั้นล่างและโทรหาโพนี่ทันที
“โพนี่ รีบมาบ้านฉันหน่อย นรมนไม่ปกติ”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“คุยในโทรศัพท์ไม่ชัดเจน เธอมาดูเอง”
บุริศร์กังวลมาก
โพนี่มองไปที่ตารางของตัวเอง และกระซิบว่า “โอเค ฉันกำลังจะไป”
หลังจากพูดจบ ก็วางสาย
บุริศร์ไม่กล้าทิ้งนรมนไว้ในห้องนอนคนเดียว ตัวเองวางสายเสร็จก็รีบเดินขึ้นชั้นบน เมื่อเข้าไปในห้องนอน ก็เห็นนรมนพลิกตัวแต่ยังนอนต่อ
เขายื่นมือไปอังใต้จมูกของนรมนด้วยความกังวลใจ เมื่อรู้สึกถึงลมหายใจอันสม่ำเสมอของเธอ เขาถึงค่อยใจเต้นเป็นปกติ
แต่ว่านอนแบบนี้ได้ยังไง?
หรือเพราะเหนื่อยเกินไปจริง?
บุริศร์ครุ่นคิด แต่กลับรออย่างร้อนรนใจ
เมื่อโพนี่มาถึง เธอก็เห็นบุริศร์นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ใบหน้าตระหนกมองไปยังนรมน แต่นรมนยังคงนอนหลับสนิท
“ประธานบุริศร์ คุณทำอะไร?”
โพนี่เห็นท่าทางนรมนที่ไม่ได้มีท่าทีไม่สบายแต่อย่างใด แต่เมื่อมองไปที่การแสดงออกที่ประหม่าและกังวลของบุริศร์แล้ว ดูเหมือนจะไม่เสแสร้ง และบุริศร์ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องตลกที่น่าเบื่อกับตัวเอง
บุริศร์เห็นโพนี่มาแล้ว เขารีบลุกขึ้นยืน แต่กลับรู้ขาชาเล็กน้อย เขายืนขึ้นโดยการประคองของโพนี่
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ฉันดูนรมนก็ท่าทางดีนี่”
“ดีอะไรละ”
บุริศร์เล่าถึงอารมณ์ที่ต่อเนื่องกันและการรับประทานอาหารที่ผิดปกติของนรมน
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ โพนี่ก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “ฟังนายพูดอย่างนี้แล้ว รู้สึกเหมือนเธอจะท้องเลยนะ”
บุริศร์ตกตะลึง
“อะไรเรียกว่ารู้สึกเหมือนเธอจะท้อง? โพนี่ เธอสามารถรับผิดชอบหน้าที่หน่อย? ใช่คือใช่ ไม่ใช่คือไม่ใช่ อะไรเรียกเหมือน”
เมื่อเผชิญกับปัญหาของบุริศร์ โพนี่พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “สถานการณ์ของนรมนไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้ ครั้งที่แล้วเพราะความสัมพันธ์กับป้าโอ มดลูกของเธอเย็น และมีโอกาสตั้งครรภ์น้อยมากในชีวิตนี้ แต่ตามสถานการณ์ที่คุณพูดตอนนี้ เธอเป็นเหมือนปฏิกิริยาการตั้งครรภ์ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ ตอนนี้ยังไม่แน่ใจ แต่ต้องตรวจเลือดสักหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นตรวจเลือดสิ! รออะไรละ?”
บุริศร์กังวลมาก
เขาจำได้ว่ามดลูกของนรมนที่เย็นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตั้งครรภ์ และแพทย์ได้ตัดสินแน่ชัด จุดนี้ทำให้เขาปวดใจมาก แต่ไม่ใช่เพราะเรื่องครรภ์ นรมนที่เป็นอย่างนี้คือป่วยจริงหรือ? หรือป่วยเป็นอย่างอื่น?
บุริศร์กระวนกระวายใจ และแทบรอไม่ไหวที่จะรู้ผล