บุริศร์มองนรมนอย่างเอาอกเอาใจ
“ได้ เอาตามที่คุณบอกเลย”
เขาลูบไล้เส้นผมของนรมนอย่างเคยชิน
นรมนมองเห็นแววตาของบุริศร์อ่อนโยนราวกับสายน้ำ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตนเองช่างโง่เขลาเหลือเกิน แววตาที่บุริศร์ตัวจริงมองตนเองนั้นไม่เหมือนกัน ทำไมเธอถึงไม่พบว่าแววตาของภาริชมีความผิดปกติ?
“ขอโทษนะคะ ดูเหมือนฉันจะไม่ได้รักคุณเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ ไม่อย่างนั้นทำไมฉันถึงมองไม่ออกว่าภาริชไม่ใช่คุณ? ”
นรมนพูดอย่างหดหู่ใจมาก
บุริศร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม: “ไม่เป็นไร บางครั้งคุณจะตาบอดก็ไม่เป็นไร เพียงแต่อย่าตาบอดไปตลอดชีวิตก็พอ”
“บุริศร์!”
นรมนตวาดทันที จึงถูกบุริศร์กอดไว้แน่น กล่าวด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ว่า: “โอ๋ ๆ ผมล้อเล่นนะ สายตาของคุณดีมาตลอด ไม่อย่างนั้นจะหาสามีที่ดีอย่างผมได้อย่างไร?”
“ทำไมฟังแล้วไม่ค่อยรื่นหูเลย?ดูเหมือนพูดไปพูดมาก็ยังชมตัวคุณเอง”
นรมนผลักเขาออกไปไม่ได้ จึงทำได้เพียงตามใจเขา
อ้อมกอดของบุริศร์ยังคงอบอุ่นและแข็งแรงเหมือนเดิม ทำให้คนรู้สึกปลอดภัยมาก
สามารถกอดนรมนได้อีกครั้ง บุริศร์ก็รู้สึกอบอุ่นมาก
เขาใช้คางเกยบนศีรษะของนรมน และเอ่ยถามเบา ๆ : “คิดจะเริ่มลงมือเรื่องของชยนต์จากตรงไหน?”
“ฉันก็ไม่รู้สิ ตอนแรกที่เพิ่งจะเข้าไป ก็รู้ว่าเขาเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทท่องเที่ยว มีความสัมพันธ์กันนลินค่อนข้างดี ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่รู้เลย ฉันคิดว่าตอนนั้นจัดการเรื่องราวอย่างหุนหันพลันแล่นไปหน่อย หากสามารถตรวจสอบได้สักครั้งก็คงดี แต่หลังจากที่ชยนต์หนีไปที่ชายแดน คมทิพย์กับปัญญ์ก็ไป ไม่มีข่าวคราวตั้งนาน อยู่ดี ๆ ปัญญ์ก็ขาหัก ส่วนคมทิพย์ก็เกิดเรื่องขึ้น ถ้าบอกว่าสองเรื่องนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับชยนต์ ไม่ว่าอย่างไรฉันก็ไม่อยากเชื่อ”
ตอนนี้นรมนค่อย ๆ เรียบเรียงทุกอย่างก่อนหน้านี้ มักจะรู้สึกเสมอว่ามีความเชื่อมโยงกัน แต่คิดจะหาต้นต่อที่แท้จริงกลับหาไม่เจอ
บุริศร์เห็นนรมนคิ้วขมวดแน่น จึงรีบกล่าวปลอบโยน: “ส่งเรื่องนี้ให้ผมเถอะ คุณอย่ากังวลใจไปเลย รีบกลับไปพักเถอะ ผมเองก็ไม่ได้นอนหลับมาทั้งคืน คุณกลับไปนอนเป็นเพื่อนผมได้ไหม?”
“ตอนนี้คุณยังหลับลงอีกเหรอ?คุณไม่กังวลเรื่องคุณอารองคนนั้นแล้วเหรอ?”
“ไม่กังวลแล้ว มีนาวินและพวกเขาอยู่ เมื่อคืนคุณยุ่งเรื่องอะไรเหรอ?”
“หาหมอผ่าตัดให้ปัญญ์ ป้องแนะนำมา ฉันไม่รู้จัก แต่ว่ากันว่าฝีมือดีมาก ฉันรอจนการผ่าตัดเสร็จจึงกลับมา ในที่สุดขาของปัญญ์ก็รักษาได้ ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่อาจเผชิญหน้ากับคมทิพย์ได้ตลอดชีวิต”
นรมนตอบเสียงเบา รู้สึกไม่ดีเล็กน้อย
บุริศร์บีบมือของเธอแน่นและกล่าวว่า: “เดี๋ยวก็ดีขึ้น ทุกอย่างจะปรากฏความจริงออกมา คมทิพย์จะให้อภัยพวกเรา”
“ภาริชพูดออกมาเองว่า เขาพาคนไปจัดการตระกูลเจริญไชย ฉันให้กานต์อัดเสียงเอาไว้ พวกเราสามารถส่งเสียงที่บันทึกไปให้คมทิพย์ฟังได้ เธอจะได้ไม่เข้าใจพวกเราผิดไป”
นรมนพูดแล้วก็จะลุกขึ้น กลับถูกบุริศร์ห้ามเอาไว้
“ไม่ต้องหรอก ถึงแม้จะไม่ใช่ผม ก็เป็นคนของพวกเราตระกูลโตเล็กทำอยู่ดี ถึงแม้คุณอารองจะพาภาริชออกไปข้างนอก แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็คือคนของตระกูลโตเล็ก สิ่งนี้ผมไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้อารมณ์ของคมทิพย์ก็ไม่คงที่ อาจจะไม่มีประโยชน์ พวกคุณยังมองหน้ากันไม่ติดอยู่ หลังจากนี้ค่อย ๆ แก้ไขเถอะ คุณเองก็เข้าใจความรู้สึกของเธอ ผู้หญิงคนหนึ่ง ครอบครัวเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่ทันตั้งตัว คนที่ทำให้เป็นเช่นนี้ยังเป็นสามีของเพื่อนสนิทตนเองอีก เธอยากลำบากมาก ผมได้ยินว่าเธอพาปัญญ์ไปด้วยตัวคนเดียว ถูกคนไล่ฆ่าทุกหนแห่ง แม้แต่ข้าวก็กินไม่ลง ถึงแม้ตอนอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเดาว่าคงไม่ลำบากขนาดนี้”
เมื่อบุริศร์พูดสิ่งเหล่านี้ เขาพยายามที่จะไม่พูดให้รู้สึกกังวลเกินไป แต่ขอบตาของนรมนยังคงแดงก่ำ
“ฉันไม่รู้ ฉันไม่รู้ว่าเธอได้รับความทุกข์ยากขนาดนั้นจริง ๆ คุณว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน?เอาแต่ยุ่งอยู่ทั้งวัน ฉันไม่รู้ว่ายุ่งอยู่กับอะไร แม้แต่เพื่อนสนิทที่สุดของฉันเกิดเรื่องขึ้นฉันยังไม่รู้เรื่องเลย ฉันยังจะมีหน้าพูดว่าเธอคือเพื่อนสนิทที่สุดของฉันอีกเหรอ ถ้าเป็นฉัน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับฉัน คมทิพย์จะต้องเป็นห่วงฉันเป็นอันดับแรก แต่ว่าฉัน……”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิ เป็นผมที่ทำให้คุณเดือดร้อนเอง เป็นพวกเราตระกูลโตเล็กที่ทำให้คุณเดือดร้อนเอง ถ้าพวกเราตระกูลโตเล็กไม่ทำเรื่องไม่เป็นเรื่องเหล่านี้ คุณจะเป็นผู้หญิงที่มีความสุข คุณก็สามารถเป็นเหมือนกับคมทิพย์ มีเวลาสนใจเรื่องของเพื่อนสนิท วันนี้เพราะเรื่องของพวกเราตระกูลโตเล็ก ทำให้คุณเหนื่อยล้านับครั้งไม่ถ้วน เป็นความผิดของผมเอง”
บุริศร์รู้สึกละอายใจ
“ไม่ใช่นะ เพราะฉัน เป็นเพราะฉันเอง ไม่เกี่ยวกับคุณ”
นรมนรีบปิดปากบุริศร์ทันที
บุริศร์มองท่าทางร้อนรนของเธอ จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า: “คุณนี่นะ ชอบเป็นแบบนี้ กลัวผมจะละอายใจอะไร คุณดีกับผมแบบนี้ ผมจะแข็งใจทะเลาะกับคุณได้อย่างไร?ชีวิตนี้ผมรักคุณไปแล้ว เรื่องของคมทิพย์คุณไม่ต้องกังวล มีพฤกษ์อยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ คุณคิดว่าพฤกษ์จะหักหลังผม จากผมไปเหรอ?เขาเพียงแค่ต้องการดูแลพวกเขาสองคนพี่น้อง ถึงแม้จะเป็นคนของคุณอารองแต่อีกฝ่ายกำแหงมาก ตลอดทางพวกเขาสองพี่น้องถูกไล่ฆ่าไม่หยุด ถ้าไม่มีคนอยู่ข้างกายพวกเขา อย่าพูดถึงคุณเลย ถึงแม้จะเป็นพฤกษ์เดาว่าก็ไม่สบายใจ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้เขาอยู่ปกป้องใกล้ ๆ เถอะ มีพฤกษ์อยู่ด้วย พวกเขาขาดเหลืออะไร พฤกษ์จะเตรียมไว้ให้ ถ้าต้องการอย่างอื่น พฤกษ์ก็จะบอกผม คุณวางใจเถอะ ค่อย ๆ แก้ไขความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคมทิพย์ ตอนนี้อย่าเพิ่งรีบร้อน”
“ได้ ฉันจะฟังคุณ”
นรมนเห็นบุริศร์วางแผนทุกอย่างแล้ว จึงไม่โต้เถียงอะไรอีก
บุริศร์พูดถูก ครั้งนี้คมทิพย์เจ็บปวดใจจริง ๆ และเรื่องของตระกูลเจริญไชยก็ถาโถมใส่เธออย่างแรง เธอต้องการเวลาปลุกใจขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เริ่มเดินออกมาใหม่อีกครั้ง ส่วนเธอนรมนก็จำเป็นต้องฟื้นฟูความสัมพันกับเธออย่างค่อยเป็นค่อยไป
นึกถึงเพื่อนสนิทที่สุดเดินมาถึงจุดนี้ นรมนรู้สึกแย่มาก
เธอซบลงไปในอ้อมแขนของบุริศร์ กล่าวเสียงเบาว่า: “บุริศร์ ฉันเหนื่อยแล้ว พวกเรากลับไปพักผ่อนกันเถอะ”
“ดี”
บุริศร์อุ้มนรมนขึ้นมาทันที
เมื่อพวกเขาสองคนเดินออกมาจากห้องทำงาน คนด้านนอกต่างรีบก้มหน้าลงทันที ทำนู่นทำนี้ เพียงแต่หางตากลับมองไปที่พวกเขาทั้งสอง ประธานบุริศร์กับภรรยารักกันดีจริง ๆ
ในใจของแต่ละคนคิดเช่นนี้ อดรู้สึกอิจฉาไม่ได้
นรมนไม่สนใจว่าผู้หญิงคนอื่นจะมองตนเองอย่างไร เธอเหนื่อยล้าจริง ๆ ตั้งแต่เมื่อคืนยังไม่ได้พักผ่อน ในที่สุดวันนี้ก็ได้ซบลงในอ้อมกอดที่มีกลิ่นอายที่คุ้นเคย นรมนหลับไปเรียบร้อย
มองเห็นใต้ตาดำคล้ำของเธอ บุริศร์ถอนหายใจ นั่งลงข้างเธอดี ๆ จากนั้นจับนรมนนอนลงบนตักของตนเอง และยังถอดเสื้อโค้ตมาห่มลงบนร่างของนรมน
ชัยยศไม่กล้าส่งเสียง รอบุริศร์ทำทุกอย่างเสร็จจึงออกรถ
เมื่อรถกลับมาถึงบ้านตระกูลโตเล็ก กมลกับกิจจากำลังดูทีวีอยู่ที่ห้องรับแขก เมื่อพวกเขามองเห็นบุริศร์อุ้มนรมนเข้ามา กมลปิดทีวีลงอย่างไม่รู้ตัว มองบุริศร์อย่างตื่นตระหนก แววตาขี้ขลาดบุริศร์มองเห็นแล้วสงสารจับใจ
“ดูทีวีไปเถอะลูก เสียงเบาหน่อย หม่ามี้หลับแล้ว”
บุริศร์พยายามอย่างเต็มที่ให้น้ำเสียงของตนเองอ่อนโยนขึ้น แต่ในใจกลับรู้สึกเกลียดภาริชอย่างยิ่ง
เขาอยู่ที่นี่เพียงแค่คืนเดียว คิดไม่ถึงว่าจะทำให้ลูกสาวของตนเองตกใจกลัวจนกลายเป็นเช่นนี้
ไอ้สารเลว!
บุริศร์ด่าด้วยความโกรธอยู่ในใจ แต่ยังคงมองกมลด้วยรอยยิ้ม น่าเสียดายที่กมลไม่สนใจ ดึงมือของกิจจาไปที่ห้องของตนเอง ปิดประตูลงเสียงดัง
หลังจากการกระทำเหล่านี้ บุริศร์รู้สึกว่าเมื่อสักครู่ที่ตนเองมองเห็นความขี้ขลาดในแววตาของกมลเดาว่าคงมองผิดไป ไม่อย่างนั้นเด็กผู้หญิงคนนี้ไปเอาความกล้าหาญเช่นนี้มาจากไหน คิดไม่ถึงว่าจะกล้าปิดประตูใส่?
แต่เขาทำได้เพียงส่ายหน้าอย่างตามใจ อุ้มนรมนขึ้นไปชั้นบน
กมลไม่ได้ยินเสียงตวาดตามมาอย่างที่คิดเอาไว้ จึงอดแง้มประตูออกมาไม่ได้ มองเห็นบุริศร์อุ้มนรมนเข้าไปในห้องนอน
คิ้วของเธอขมวดแน่น
“เป็นไงบ้าง?แด๊ดดี้ขึ้นไปแล้วเหรอ?”
กิจจาอยู่ด้านหลังเธอจึงมองไม่เห็นอะไร ทำได้เพียงเอ่ยถามอย่างใจร้อน
กมลพยักหน้า จากนั้นหันหน้าไปใช้มือเท้าคางถามว่า: “พี่กิจจา พี่ว่ามันน่าแปลกไหม?ฉันทำแบบนี้แล้ว แด๊ดดี้กลับไม่ตวาดฉัน เมื่อเช้าพวกเราไม่ได้ทำอะไร แด๊ดดี้กลับฉุนเฉียว พี่คิดว่าแด๊ดดี้เป็นโรคจิตเภทหรือเปล่า?”
ช่วงนี้กิจจาเอาแต่อ่านวิชาแพทย์ กมลก็อยู่ข้าง ๆ เป็นเพื่อน บางครั้งจึงอ่านผ่านตาบ้าง จึงเพิ่งเรียนรู้โรคจิตเภท และนำทั้งหมดมาใช้กับร่างกายของบุริศร์
กิจจาโดนเธอถามเช่นนี้ จึงรีบไปเปิดหนังสือ หลังจากอ่านเจอก็ขมวดคิ้วแน่น
“เป็นไงบ้าง?”
กมลถามอย่างร้อนใจ
กิจจาลูบคางอย่างกลุ้มใจ: “ดูเหมือนน่าจะใช่”
“งั้นจะทำอย่างไรดีล่ะ?”
กมลร้อนใจทันที
“ถ้าอาการของแด๊ดดี้กำเริบ จะทำร้ายพวกเราไหม?เมื่อเช้าฉันเห็นว่าเขาจะตีพวกเรา ถ้าหม่ามี้ไม่อยู่ ไม่รู้ว่าพวกเรายังจะยืนได้ไหม”
กมลยิ่งพูดยิ่งหวาดกลัว ยิ่งพูดยิ่งกังวล
กิจจาขนลุกไปกับคำพูดของเธอ
“ฉันโทรไปถามอาจารย์ดีกว่า”
“อย่านะ อาจารย์ของพี่กับแด๊ดดี้หม่ามี้เป็นเพื่อนกัน พวกเขาเป็นผู้ใหญ่ต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว”
คำพูดของกมลทำให้มือของกิจจาชะงักไปชั่วคราว
“งั้นจะทำอย่างไรดี? รอแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ?”
“พี่ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์หรือไง? พี่รักษาไม่ได้เหรอ?”
กมลมองกิจจาด้วยใบหน้าคาดหวัง
กิจจาค่อนข้างพึงพอใจกับสายตาคาดหวังของกมลจริง ๆ แต่สุดท้ายเขาถอนหายใจออกมา: “ฉันทำไม่ได้!อาการป่วยแบบนี้เป็นเรื่องของจิตใจ ฉันยังไม่ได้เรียน นี่เพิ่งจะเรียนรู้พื้นฐานไม่ใช่หรือไง?ฉันกลัวรอฉันเรียนจบ แด๊ดดี้เป็นบ้าไปจะทำอย่างไร?”
“พวกเราออกไปหาคุณหมอให้แด๊ดดี้ดีกว่าไหม?ไม่ได้สิ นิสัยที่น่ารังเกียจนั้นของแด๊ดดี้จะให้คนที่ไม่รู้จักมารักษาเขาไม่ได้ นอกจากนี้เขาต้องไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นโรคจิตเภทแน่นอน พวกเราไปหาอาป้องจะดีกว่าไหม?”
“จริงด้วย พวกเราไปหาอาป้องเถอะ”
“ไปเถอะ ไปตอนนี้เลย ก่อนที่แด๊ดดี้จะเจอพวกเรา พวกเราเรียกอาป้องมาลงมือจัดการแด๊ดดี้ไม่ทันแล้ว”
กมลจูงกิจจาเปิดประตูห้องอย่างเงียบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีคนสนใจพวกเขา จึงวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
บุริศร์ไม่รู้เลยสักนิดว่าการปรากฏตัวของภาริช จะทำให้ลูกทั้งสองเข้าใจผิดจนกลายเป็นแบบนี้ และยิ่งไม่รู้ว่าตอนนี้ลูกทั้งสองกำลังวางแผนรักษาให้เขาอย่างคาดไม่ถึง!