นาวินมองธิดาที่หมดสติ ยิ้มขณะพูดขึ้น “ฉันจะทำใจฆ่าเธอลงได้ยังไง? เธอเป็นภรรยาฉัน ไม่ว่าเธอจะทำผิดอะไร ก็เป็นเพราะฉันดูแลไม่ดี ด้านประธานบุริศร์ต้องมีคำอธิบาย ในบัตรนี้มีเงินที่ฉันเก็บสะสมมาหลายปี ให้เธอใช้ชีวิตคนเดียวดีๆ ถ้าเธอตื่นแล้ว บอกเธอว่าพ่อเธอไม่ได้เป็นคนดีอะไร ถ้าเป็นไปได้ให้หาที่ที่ไม่มีคนรู้จักสร้างชีวิตใหม่เถอะ”
เขามองธิดาด้วยความรักใคร่ ลูบใบหน้าเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าเป็นไปได้ เขาไม่อยากปล่อยไปจริงๆ แต่ต้องมีคำอธิบายด้านบุริศร์
เรือสปีดโบ๊ทสตาร์ทเครื่องแล้ว ธิดาถูกนำตัวไปทันที
นาวินอยู่ที่ชายหาดนานมาก นานจนพระอาทิตย์ตกดินแล้ว แสงสีแดงสดข้ามผ่านเส้นขอบฟ้าไปแล้วก็จมลงใต้ทะเลอย่างสมบูรณ์
เขาถึงได้รู้สึกค่อนข้างหนาว
นาวินขึ้นรถ สตาร์ทรถ ขับกลับไปที่คฤหาสน์หลังเก่าตระกูลโตเล็กทันที
บุริศร์นั่งอยู่ที่โซฟา
เมื่อนาวินเข้ามาก็ชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็เดินมาข้างๆ บุริศร์ คุกเข่าลงเกิดเสียงดัง “ตุ้บ”
“ประธานบุริศร์ ผมปล่อยตัวธิดาไป คุณต้องการลงโทษผมยังไงผมจะไม่ร้องเรียน แค่หวังว่าคุณจะปล่อยเธอไป เรื่องนี้ถือว่าผมเป็นคนทำ”
นาวินพูดทีละคำทีละประโยค
บุริศร์มองเขาไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็เขย่าแก้วเหล้าในมือ ไวน์แดงในนั้นสั่นไหว สั่นจนนาวินรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
ในที่สุด เขาก็เอ่ยปาก
“นาวิน นายอยู่กับฉันมานานแค่ไหนแล้ว?”
นาวินตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็ก้มศีรษะพูดขึ้น “ตั้งแต่เจ็ดขวบตอนนี้ก็สิบเจ็ดปีแล้วครับ”
“สิบเจ็ดปี เวลาไม่สั้น แต่นายหักหลังฉันสองครั้งแล้ว”
คำพูดบุริศร์ทำให้นาวินค่อนข้างอับอายกับความอัปยศ
“ขอโทษครับ ประธานบุริศร์ ชีวิตนี้ของผมไม่ค่อยมีอนาคตเท่าไร ผมทำให้ความคาดหวังคุณที่มีต่อผมล้มเหลว บางทีในปีนั้นคุณไม่ควรเอาผมออกมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเลย ตอนนี้พูดเรื่องพวกนี้ไปจะมีประโยชน์อะไรล่ะ? ผมมันไม่มีศักดิ์ศรี ชาตินี้มีชีวิตอยู่เพื่อผู้หญิงคนเดียว แต่ผมทำไม่ได้จริงๆ และตัดขาดไม่ได้ ดังนั้นประธานบุริศร์ ผมก็เลยยินดีที่จะกลับมาโดนลงโทษ”
นาวินพูดอย่างจริงใจ ในใจรู้สึกเสียใจจริงๆ แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ? เขาผ่านความสัมพันธ์นี้ไปไม่ได้ หักหลังสองครั้งก็เพื่อธิดา เขาไม่รู้ว่าตัวเองยังพูดอะไรได้อีก
บุริศร์มองเขา ถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “ถ้าให้นายชดใช้ฉันคืนด้วยชีวิต นายมีปัญหาไหม?”
“ไม่มีครับ”
ตอนกลับมา นาวินก็คิดถึงจุดจบแบบนี้ไว้แล้ว
เรื่องของคุณอารองเชษฐ์ต้องได้รับการแก้ไข และบุริศร์ก็ไม่อนุญาตให้คนใกล้ตัวของตัวเองมีการทรยศเด็ดขาด ดังนั้นนี่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเชือดไก่ให้ลิงดู
เขายินยอมเต็มใจ
นาวินก้มหน้า ไม่มีการต่อต้านเลยสักนิด
บุริศร์จิบไวน์แดงหนึ่งครั้ง แล้วพูดเรียบๆ “ธิดาท้องแล้ว”
“อืม”
นาวินตอบรับเบาๆ จากนั้นก็เพิ่งตระหนักขึ้นได้ว่าบุริศร์พูดอะไร
“ว่าไงนะ?”
เขาเงยหน้าขึ้นมาทันที
มุมปากบุริศร์เหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ทำให้เห็นไม่ชัดเจนว่าความคิดที่แท้จริงของเขาคืออะไร แค่พูดขึ้นอีกครั้งอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
“เธอท้องแล้ว นายกำลังจะเป็นพ่อ คุณหมอส่งรายงานการตรวจมาก่อนหน้านี้ไม่นาน ตอนแรกเธอแค่อยากตรวจร่างกายเฉยๆ ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นแม่ คาดว่าตอนนี้เธอยังไม่รู้เรื่องนี้ ในขณะนี้นายไม่ได้เจอแม้แต่ลูกตัวเอง ยินยอมที่จะไปตายจริงๆ เหรอ?”
นาวินลังเลแล้ว
ลูกของเขากับธิดาเหรอ?
นั่นจะต้องเป็นลูกที่น่ารักมากแน่ๆ
แต่เขาจะไม่ได้เจอแล้ว
ก็ดี มีลูกอยู่กับธิดา ต่อไปชีวิตของเธออาจจะมีหวังบ้างในอนาคต
หลังจากนาวินสะเทือนใจก็ร้องไห้เสียงทุ้ม เป็นการดีใจ และมีความสุข ในขณะเดียวกันก็เสียใจนิดหน่อย
บุริศร์เห็นทุกอย่างในสายตา และไม่ได้พูดอะไร รอนาวินใจเย็นลง เขาถึงวางแก้วเหล้าลง
นาวินสูดหายใจเข้าลึกๆ พูดอย่างเด็ดขาด “ขอบคุณประธานบุริศร์ที่บอกผมเรื่องพวกนี้ ผมตายไปไม่เสียใจแล้ว ก่อนตายได้รู้ว่าตัวเองมีลูก ผมก็สบายใจแล้ว ไม่คิดว่าเด็กกำพร้าไม่มีพ่อแม่อย่างผมจะมีลูกได้ พระเจ้าปฏิบัติต่อผมดี ผมก็ไม่โทษใครหรอก ประธานบุริศร์ คุณลงมือเถอะ แค่หวังว่าคุณจะให้ทางออกกับพวกเขาสองแม่ลูก”
บุริศร์ได้ยินเขาพูดแบบนี้ ก็พูดขึ้นเรียบๆ “ขึ้นมาเถอะ นั่งลง”
นาวินค่อนข้างตกตะลึง
ไม่ลงโทษเขาเหรอ?
เขามองบุริศร์ ไม่รู้สึกถึงความโกรธของบุริศร์ แต่นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่?
เห็นเขายืนอยู่ตรงนั้น บุริศร์ก็เอ่ยปากอีกครั้ง
“ให้นายนั่งก็นั่งสิ ชอบยืนกับคุกเข่าเหรอ?”
“เปล่าครับ”
นาวินรีบนั่งลง
เขารู้สึกกังวลไม่สบายใจ ไม่รู้ว่าบุริศร์ต้องทำอะไรกันแน่ ในใจยิ่งค่อนข้างเป็นห่วงธิดา
“ประธานบุริศร์ คุณคงไม่ได้ส่งคนไปไล่ตามธิดาหรอกใช่ไหม?”
“ใช่”
บุริศร์ยอมรับทันที
ดวงตานาวินเบิกกว้างทันที ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
“ประธานบุริศร์ ผมบอกแล้ว เรื่องนี้ผมแบกรับเอง ทำไมคุณ……”
“นายต่อต้านไม่ได้ และไม่มีทางแบกรับด้วย”
ขณะบุริศร์พูด ก็โยนซองใส่เอกสารหนึ่งให้นาวิน
“ดูซะสิ ในนั้นเป็นข้อมูลเกี่ยวกับพ่อแม่นาย”
ทั้งร่างนาวินตกตะลึง
พ่อแม่?
เป็นไปได้อย่างไร?
ในปีที่ผ่านมานี้เขาเคยตามหาประวัติชีวิตตัวเองลับหลังบุริศร์ แต่ก็หาไม่เจอเลย ผู้อำนวยการสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าบอกว่าเขาถูกทิ้งไว้ที่ประตูทางเข้า ด้านบนมีวันเดินปีเกิดและชื่อของเขา อื่นๆ ไม่รู้เลย
นาวินคิดมาตลอดว่าชาตินี้คงไม่รู้ว่าพ่อแม่คือใคร ไม่คิดว่าบุริศร์จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับพ่อแม่แก่เขา
เขาตกตะลึงเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง แล้วรีบเปิดมัน
สีหน้าเขายิ่งแย่ขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็ปิดข้อมูลทันที
“ประธานบุริศร์ นี่เรื่องจริงใช่ไหมครับ?”
“นายดูลักษณะของนายสิ มันคล้ายกับพ่อนายมาก และในนี้มีการตรวจดีเอ็นเอด้วย ยืนยันว่านายคือลูกชายของธนาวุฒิ นาคชำนาน”
“แต่การตรวจดีเอ็นเอฉบับนี้ได้มาจากไหน?”
นาวินมองบุริศร์ ลมหายใจค่อนข้างถี่
บุริศร์ลุกขึ้น หันหลังให้กับเขา แล้วพูดเสียงทุ้ม “ฉันให้คนไปเอาผมของพ่อนายมา แล้วเอามาเทียบของนาย”
“ผมของพ่อผมเหรอ? เขาอยู่ที่ไหน?”
นาวินยิ่งกังวลขึ้นเรื่อยๆ
บุริศร์หันตัวมาจ้องมองเขา พูดขึ้นทีละคำทีละประโยค “เขาอยู่กับอาสองของฉัน พูดให้ถูกก็คือ เขาคือนักวิจัยที่สถาบันวิจัยอาสองฉันได้มา แต่ไม่สามารถออกมาจากสถาบันวิจัยนั้นได้ตลอดชีวิต แม่ของนายก็เหมือนกัน แต่แม่นายเสียชีวิตจากการติดเชื้อในเซลล์ไปเมื่อสามปีก่อน”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
นาวินงุนงงอย่างแท้จริง
เขาเคยคิดเกี่ยวกับประวัติชีวิตของตัวเองมาก่อน แต่ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นลูกชายของนักวิทยาศาสตร์
เขาเหรอ?
เขาเหมือนลูกชายนักวิทยาศาสตร์ตรงไหน?
แต่คำพูดบุริศร์ทำให้เขาไม่มีทางเกิดความสงสัย อย่างไรแล้วเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำแบบนี้ใช่ไหม?
ไม่จริง!
เขามีเหตุผลที่จะทำแบบนี้
จู่ๆ นาวินก็นึกถึงธิดา
“คุณโกหกผม คุณอยากให้ผมแตกคอกับธิดาเพื่อพ่อ ยอมเป็นขี้ข้าให้คุณ จะได้ช่วยคุณจัดการคุณอารองเชษฐ์ใช่ไหม?”
คำพูดนาวินทำให้บุริศร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ในใจนาย บุริศร์อย่างฉันเป็นคนแบบนี้เหรอ?”
นาวินไม่กล้ามองตาบุริศร์ แต่ก้มหน้าพูด “ผมรู้คุณไม่ใช่ แต่ผมไม่มีทางเชื่อว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง และนอกจากเหตุผลนี้ ผมก็คิดไม่ออกว่าจุดประสงค์ที่คุณทำแบบนี้คืออะไร”
“เพราะตระกูลโตเล็กของเราติดหนี้พ่อลูกตระกูลนาคชำนานของพวกนายไง นายคิดจริงๆ เหรอว่าธิดาจากนายไปแล้วจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้? นายรู้อำนาจของคุณอารองเชษฐ์ในต่างประเทศไหม? เขาอยากตามหาธิดา ก็ทำได้ง่ายๆ ในขณะนี้ธิดาท้องลูกของนาย ถ้าเขาใช้เด็กคนนี้บังคับนายหรือบังคับพ่อนาย นายคิดว่าพ่อนายจะต่อต้านไหม?”
คำพูดบุริศร์ทำให้นาวินตกตะลึงเล็กน้อย
“ต่อต้านเหรอ?”
“ใช่ พ่อนายไม่เต็มใจทำการทดลองให้อาสอง เรื่องนี้ต้องเล่าตั้งแต่รุ่นปู่ฉัน ปู่ฉันเป็นนักวิทยาศาสตร์ เชี่ยวชาญการวิจัยยีน หลายปีก่อนเขาทำการทดลงการทำซ้ำและการแทนที่ของยีน น่าเสียดายที่เขารู้สึกว่าสิ่งนี้มันขัดกฎธรรมชาติ และกลัวว่าจะเกิดความปั่นป่วน เขาเลยปิดผนึกผลการวิจัยนี้ แน่นอนว่าการทดลองนี้ไม่ได้ทำสำเร็จแค่คนเดียว ในตอนนั้นคนที่เขาร่วมการทดลองนี้มีสี่คน ปู่ฉัน ปู่นาย คุณท่านตระกูลเจริญไชย และคุณท่านตระกูลจันทรวงศ์ ตอนนั้นสมาชิกทั้งสี่ตระกูลสาบานกันว่า เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ห้ามพูดเรื่องนี้ออกไปตลอดกาล ผลการวิจัยก็ถูกคุณปู่ฉันล็อกเอาไว้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทั้งสี่ก็แยกทางกัน”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ บุริศร์ก็รินน้ำชาแก้วหนึ่งให้ตัวเอง จิบหนึ่งที แล้วพูดต่อ “ตอนแรกเรื่องนี้มันจบลงตรงนี้ แต่เมื่อพ่อและอาสองของฉันอายุสิบกว่าขวบ ครั้งหนึ่งปู่เมาเหล้า พูดเรื่องนี้ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เราก็ไม่ได้จริงจัง แต่อาสองฉันจำได้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็เริ่มค้นหาข้อมูลวิจัยของคุณปู่ ยังไงก็หามันไม่เจอเลย แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางความสนใจเขาเกี่ยวกับด้านนี้ ดังนั้นอาสองจึงศึกษาเกี่ยวกับเซลล์และยีนตั้งแต่เด็กๆ แต่เพราะการห้ามของปู่สุดท้ายก็เรียนไม่สำเร็จ ต่อมาเขากับพ่อฉันก็ต่อสู้ตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลโตเล็ก สาเหตุส่วนมากเป็นเพราะข้อมูลยีนที่ปู่ทิ้งเอาไว้ ยังไงปู่ก็มองออกว่าเขาคิดไม่ดี รู้ว่าถ้าข้อมูลอยู่ในมือเขา จะต้องเกิดความโกลาหลแน่ๆ เขาจึงไล่อาสองออกจากตระกูล”
เรื่องการทะเลาะวิวาทในครอบครัวระหว่างคุณอารองเชษฐ์กับพ่อบุริศร์ ในตอนนั้นหลายๆ คนก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด มักรู้สึกว่าเป็นความคับข้องใจของตระกูลร่ำรวย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในนั้นเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
นาวินขมวดคิ้วแน่นตลอดเวลา เมื่อได้ยินบุริศร์พูดเรื่องพวกนี้ ในดวงตาก็มีความกริ้วโกรธผ่านไป
“คุณอารองเชษฐ์ต้องการศึกษาเรื่องยีนไปทำอะไรกันแน่?”
“เมื่อก่อนฉันก็ไม่รู้ว่าเขาอยากทำอะไร จนกระทั่งภาริชปรากฏตัวขึ้น คนนั้นที่ตายไป พูดให้ถูกคือน่าจะเป็นภาริชหมายเลขหนึ่ง”
“หมายความว่าไง?”
นาวินยิ่งฟังยิ่งงุนงง
บุริศร์ยิ้มเยาะพูดขึ้น “จริงๆ แล้วฉันกับตรินท์คือลูกของป้าโอกับอาสอง ตอนแรกพวกเขาทำเด็กหลอดแก้ว ฉันเคยไปสืบมา ตอนนั้นเพื่อรับประกันอัตราการรอดชีวิต จึงเหลือเด็กหลอดแก้วไว้สามคน แต่คนที่รอดชีวิตมีแค่ฉันกับตรินท์ แต่อีกคนถูกหมอทิ้งเพราะบกพร่องตั้งแต่กำเนิด แต่คุณอารองเชษฐ์กลับนำตัวอ่อนที่บกพร่องนี้กลับไปที่ฐานวิจัย เขาตามหานักวิทยาศาสตร์สี่คนที่ทำวิจัยกับปู่ฉันในตอนนั้น แต่พวกเขาเสียชีวิตไปหมดแล้ว ในบรรดาเด็กที่เหลืออยู่ เด็กของตระกูลเจริญไชยก็ทำธุรกิจ ครอบครัวเราก็ไม่อนุญาตให้ทำเรื่องนี้ ดังนั้นก็เหลือแค่ตระกูลนาคชำนานของพวกนายกับตระกูลจันทรวงศ์”
นาวินได้ยินถึงตรงนี้ ก็เข้าใจบ้างแล้ว แต่เขาก็ยังฟังอย่างอดทน