ชั่วชีวิต?
นรมนนิ่งไปกับประโยคนี้
“คุณกับเชษฐ์รู้จักกันมานานแล้วเหรอคะ?”
“ใช่แล้วละ รู้จักกันมา20กว่าปีแล้ว ถ้าหากว่าไม่เจอเขา บางทีฉันคงจากโลกนี้ไปแล้ว เป็นเวลาหลายปีที่เขาปฏิบัติกับฉันเหมือนที่ตั้งใจไว้ แม้กระทั่งไม่แต่งงาน หรือมีลูกเพื่อฉัน ฉันนี่สมควรที่จะละอายใจกับเขาจริงๆ”
ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกเศร้าใจเมื่อเธอพูดขึ้นมา กระทั่งบรรยากาศในห้องก็เปลี่ยนไปเป็นโศกเศร้า
นรมนหยุดไปเล็กน้อย ก่อนจะถามว่า “พ่อแม่เขาเห็นด้วยที่เขาทำอย่างนี้เหรอคะ?”
“พ่อแม่ของเขา? เชษฐ์ก็เหมือนกับฉัน เป็นเด็กที่ถูกทิ้ง? ฉันถูกพ่อแม่ทอดทิ้งด้วยเหตุนี้ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อแม่ของฉันเป็นใคร ฉันพบเขาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า”
“เขาไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเพื่อช่วยเหลือพวกเด็กกำพร้า ฉันพบเขาพอดี ตอนที่ฉันถูกทุกคนรังแกและกำลังจะตาย เขาช่วยฉันไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะการมาของเขา ฉันคงตายไปแล้วจริงๆ”
ผู้หญิงคนนั้นพูดพลางหยิบบางอย่างออกมาจากใต้หมอน แล้วยื่นให้นรมน
เธอยิ้มอย่างมีความสุข
“ดูสิ นี่คือสิ่งที่เขาให้ฉัน ตอนนั้นฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองสามารถสีเพลงได้ไพเราะขนาดนี้ เขาพูดกับฉันว่าตราบเท่าที่ฉันชอบ ตราบเท่าที่ฉันต้องการ ฉันสามารถดึงสิ่งที่ดีที่สุดในโลกออกมาได้ ฉันเชื่อคำพูดของเขา ฉันไม่หยุดที่จะเล่นเพลงนี้ติดต่อกัน ตอนนี้ในที่สุดก็สามารถหยุดลงได้แล้ว ฉันรู้ว่าฉันมีข้อบกพร่องมากมาย คุณช่วยชี้ให้เห็นได้ไหม หลังจากผ่านไปหลายปี คุณเป็นคนนอกกลุ่มแรกที่ก้าวเข้ามาที่นี่ คุณกับเชษฐ์เป็นเพื่อนกันใช่ไหม? ก็ไม่ถูก เชษฐ์แก่มากแล้ว เป็นพ่อของคุณยังได้ พวกคุณมีความสัมพันธ์ยังไงกันเหรอ?”
เมื่อผู้หญิงตรงหน้าพูดจบ นิ้วของเธอก็บีบผ้าห่มแน่น ดูท่าทางเธอจะประหม่าและสนใจมาก
เธอรัก เชษฐ์
หลังจากที่นรมนแน่ใจเรื่องนี้ เธอจึงรีบพูด “ฉันกับเขาเราเป็นญาติกันค่ะ”
“ญาติ?”
ผู้หญิงคนนั้นเงยหน้าขึ้นอย่างแปลกใจ
“ใช่ เขาเป็นอาสองของสามีฉัน ฉันควรเรียกเขาว่าอาสองด้วย”
นรมนมองไปยังดวงตาที่บริสุทธิ์ราวกับทารกของผู้หญิงคนนั้น ในที่สุดก็ทนไม่ได้ที่จะเอ่ยความจริงออกไป
“ที่จริงมันเป็นอย่างนี้ เชษฐ์พบญาติของเขาแล้วใช่ไหม? เขาก็ไม่พูดกับฉัน ฉันคิดว่า คิดว่า… …”
“คิดว่าฉันคือผู้หญิงของเขาเหรอ?”
คำพูดของนรมน ทำให้ผู้หญิงตรงหน้าหน้าแดงด้วยความเขินอาย
“ฉันหน้าไม่อายใช่ไหม? ฉันไม่สามารถมีลูกให้เขาได้ ไม่สามารถแม้แต่จะทำในสิ่งที่ผู้หญิงควรทำ ทำให้ทุกครั้งที่เขามองมาได้แต่หวังแต่ไม่สามารถได้ชิดใกล้ ฉันรู้ดี ผู้หญิงอย่างฉันไม่ควรมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะมีความรัก แต่ฉันแค่ควบคุมตัวเองไม่ได้ ฉันรู้ว่าฉันไม่คู่ควรกับเขา และไม่ควรรั้งเขาไว้ แต่หากไม่มีเขาในชีวิต ฉันคงเป็นบ้าไปเสียแล้ว”
นรมนชะงักไปอีกครั้ง
“หมายความว่ายังไงคะ ที่คุณไม่สามารถทำในสิ่งที่ผู้หญิงคนอื่นทำได้?”
ผู้หญิงคนนั้นก้มศีรษะลงอย่างเขินอาย แต่พูดด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น “ฉันนอนกับผู้ชายไม่ได้”
“อะไรนะ?”
“จริงนะ เมื่อฉันมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นจะตาย และเขาก็จะตายอย่างน่าอนาถ เลือดออกจากรูทวารทั้ง7 นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาบอกว่าฉันเป็นสัตว์ประหลาด บางทีฉันอาจจะเป็นจริงๆ”
ผู้หญิงคนนั้นเบือนหน้าหนี พร้อมน้ำตาที่ไหลพราก
นรมนตกตะลึง
ทำไมเรื่องของผู้หญิงคนนี้ถึงฟังดูแล้วไม่เหมือนความบกพร่องทางพันธุกรรม แต่เป็นการโดนวางยา?
แต่เธอไม่ใช่หมอ และไม่สามารถระบุปัญหานี้ได้
เธอกระซิบ “เอาละ พวกเราอย่าพูดถึงเรื่องนี้กันเลยเชษฐ์ทำสิ่งนี้กับคุณมาตลอด20ปีเลยเหรอ?”
“ใช่ เขาทำให้ฉันมีชีวิตอยู่ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และฉันก็มีความสุขที่ได้ใช้ชีวิตแบบนี้ ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้อะไรเลย เพียงแต่เชษฐ์ไม่อยากให้ฉันถูกโลกภายนอกปนเปื้อน ไม่เป็นไรสำหรับฉันที่จะเป็นนกขมิ้นที่เขาเลี้ยง แต่ดูเหมือนฉันไม่มีคุณสมบัติสำหรับนกขมิ้นเลยด้วยซ้ำ”
คำพูดของหญิงสาวมีร่องรอยของความเหงา
นรมนไม่รู้จะพูดอะไรเลย
ฉันเคยคิดว่า เชษฐ์เป็นวายร้ายตัวยง และไปศึกษาการวิจัยทางพันธุกรรมเพื่อความทะเยอทะยานของตัวเอง ตอนนี้ เธอมีความคิดอย่างหนึ่ง บางทีทุกสิ่งที่ เชษฐ์ทำไป ก็เพื่อผู้หญิงคนนี้
เป็นไปได้ไหม?
คนที่ใจดำไร้ความรู้สึก โหดร้ายต่อครอบครัวมาก นึกไม่ถึงว่าจะเป็นศัตรูกับคนทั้งโลกเพื่อผู้หญิงอย่างนี้?
หากเห็นแก่ได้กับร่างกายของเธอ นรมนก็พอเข้าใจได้ แต่เมื่อผู้หญิงคนนี้บอกว่า พวกเขาแม้แต่การหลับนอนขั้นพื้นฐานยังไม่สามารถทำได้ นรมนละแปลกใจเสียจริง
รักที่จิตวิญญาณเหรอ?
เชษฐ์ก็ทำได้?
นรมนไม่รู้เลยว่าควรแสดงความคิดของเธออย่างไร เธอพูดเสียงต่ำ “พวกเรามาพูดเรื่องดนตรีกันเถอะ”
“โอเค”
ทันทีที่พูดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของเธอก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที ราวกับดาวบนฟ้าแสนสุกสกาว สะดุดตา
นรมนรู้สึกได้ไม่มากก็น้อยว่า เชษฐ์อาจจะรักผู้หญิงคนนี้จริงๆ
“คุณชื่ออะไร?”
“ฉันอชิระ”
“ฉันนรมนค่ะ”
นรมนแนะนำตัวเอง ในขณะเดียวกันก็จดจำชื่อของอชิระ
ทั้งสองเริ่มคุยกันเรื่องไวโอลิน
เดิมทีเธอคิดว่า อชิระเรียนด้วยตัวเอง และคงไม่พูดภาษาเดียวกันกับเธอ นึกไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงคนนี้จะมีความสามารถด้านดนตรีสูง
ทั้งสองคุยกัน จนถึงเวลาอาหารค่ำ
เชษฐ์ไม่รู้ว่ามาเมื่อไหร่ เขาไม่ได้เห็น อชิระตื่นเต้นอย่างนี้มานานแล้ว
ดวงตาของเธอดูเต็มไปด้วยความหลงใหล และท่าทางการแสดงออกที่พูดกับนรมนก็ดูตื่นเต้นมาก
เชษฐ์มองไปที่ อชิระตรงหน้าเขา ดวงตาของเขารื้นเล็กน้อย
รอจนกว่าอชิระจะไอ เขาจึงค่อยเปิดปากพูดขึ้น
“ควรพักได้แล้ว”
เสียงของเขาอ่อนโยนราวสายน้ำ จนทำให้นรมนตกใจ
ถ้าเธอไม่ได้เห็นกับตาหรือว่าได้ยินกับหู อย่างไรเธอก็ไม่เชื่อว่านี่คือเชษฐ์
เมื่อ อชิระเห็น เชษฐ์ เธอก็ยิ้มขึ้นมาด้วยความดีใจ
เชษฐ์เป็นคนเดียวในสายตาของเธอ
นรมนที่ดูเหมือนกับคนนอกอยู่ผิดที่ผิดทาง ก็เลยรู้สึกประหม่าเป็นอย่างมากไปชั่วขณะหนึ่ง
“ฉันไปทานข้าวก่อนนะ พวกคุณคุยกันเถอะ”
“ไปกินด้วยกันเถอะค่ะ”
อชิระชอบนรมนมาก เธอคว้าแขนของนรมนอย่างรวดเร็ว
เชษฐ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่นานก็คลาย
“อชิระ นรมนยังมีเรื่องอื่น คราวหลังฉันจะให้เธอมาอยู่เป็นเพื่อนทุกวัน ดีไหม? แต่คุณต้องพักผ่อนให้เพียงพอ ร่างกายของคุณไม่สามารถทำงานหนักได้”
“ฉันไม่เป็นไร”
อชิระยิ้มเบา ๆ
เชษฐ์ก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะกอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา และพูดเบา ๆ ว่า “อย่าเอาร่างกายตัวเองมาลำบากหนักหนาเลย รู้ไหม ผมปวดใจนะ”
“เอาละ ฉันเข้าใจแล้ว อายุปูนนี้แล้ว ยังจะเป็นอย่างนี้ ไม่กลัวว่าภรรยาของหลานคุณจะหัวเราะเยาะเหรอคะ?”
เชษฐ์นิ่งไปนิดกับคำพูดของ อชิระ
“ภรรยาของหลาน?”
“ใช่สิ นรมนเป็นภรรยาของหลานชายคุณไม่ใช่เหรอคะ?”
ดวงตาที่ไว้ใจของ อชิระทำให้ เชษฐ์ทนไม่ได้ที่จะมองสบตา
เขาเหลือบไปมองนรมน เมื่อเห็นนรมนไม่แสดงท่าทีอะไร จึงค่อยพูดว่า “ใช่สิ เธอเป็นภรรยาของหลานผม”
“หลานชายของคุณก็มาเหรอคะ? เชษฐ์ดีจังที่หาญาติเจอ ฉันดีใจแทนคุณจังค่ะ คุณไม่ต้องทะเลาะกับพวกเขาเพราะฉัน รู้ไหม? ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันจะเสียใจมาก”
“อย่าพูดถึงเรื่องพวกนั้นเลย ผมจะไปทะเลาะกับพวกเขาได้อย่างไร? หลานชายของผมติดธุระมาไม่ได้ มีเพียงภรรยาของหลานเท่านั้นที่มาค้างไม่กี่วัน ทีหลังจะเล่าให้ฟังนะ คุณทานยาก่อนไหม?”
เชษฐ์กล่าว ทันใดนั้นเสียงของคนรับใช้ก็ดังมาจากข้างนอก
“คุณนาย ได้เวลาทานยาแล้ว”
นรมนรู้ว่า ตัวเองควรจะไปเช่นกัน
เธอยิ้มและพูดกับ อชิระ “อชิระ ฉันไปก่อนนะคะ พรุ่งนี้จะมาพูดคุยเรื่องไวโอลินกับคุณอีก”
“ตอนบ่ายไม่ได้เหรอคะ?”
ดวงตาของ อชิระเต็มไปความคาดหวัง
นรมนเห็นความทุกข์ใจและแววตาที่ไม่อาจทนได้ในสายตาของ เชษฐ์ก่อนจะพูดเสียงเบา “ตอนบ่ายฉันมีธุระค่ะ”
“อย่างนั้นสินะ โอเคค่ะ”
แม้ว่า อชิระจะผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ยังมีความสุขมาก
นรมนเดินออกมาจากตำหนักหลักและเห็นคิมรออยู่ข้างนอก
คิมมองมาที่เธออย่างกังวล ก่อนจะถาม “เป็นอะไรไหมลูก? ผู้หญิงข้างนำให้ลูกอึดอัดใจไหม?”
“ไม่ค่ะ แม่คะ บางทีหนูอาจจะรู้แล้ว ว่าทำไม เชษฐ์ถึงหมกมุ่นอยู่กับการวิจัยทางพันธุกรรมมาตลอดชีวิตของเขา”
“อะไรนะ?”
คิมไม่เข้าใจ แต่นรมนกลับยิ้มและพูดว่า “ไม่มีอะไรค่ะ ไปเถอะ เรากลับไปทานข้าวกัน”
เมื่อนรมนและคิมกลับไปที่ตำหนักรอง ก็มีคนคอยจัดเตรียมอาหารไว้ให้แล้ว
“นี่คือ……”
“คุณนรมน หัวหน้าสั่งไว้แล้ว ว่าให้เรารับผิดชอบกับอาหารสามมื้อของพวกคุณ ที่นี่ยังมีเพลงที่คุณนายแต่งเองมาตลอดหลายปีมานี้ หัวหน้าให้พวกเราเอามาให้คุณดู”
โน้ตเพลงในมือของคนรับใช้ ทำให้นรมนขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เชษฐ์ ไม่ปฏิบัติต่อฉันเหมือนเป็นคนนอกจริงๆ ฉันพูดเมื่อไหร่ว่าจะดูเพลงของอชิระ?”
นรมนเห็นใจอชิระ แต่ไม่จำเป็นต้องถูกจูงจมูกโดยเชษฐ์
เมื่อก่อนไม่รู้จุดอ่อนของเชษฐ์แต่ตอนนี้เธอรู้แล้ว เธอจะให้มีแค่เชษฐ์ตัดสินใจทุกเรื่องคนเดียวได้อย่างไร?
เมื่อเห็นว่านรมนถามอย่างนี้ คนรับใช้ก็ตะลึงงัน ’
“คุณนรมน นี่… …”
“กลับไปบอกเชษฐ์ ถ้าอยากให้ฉันช่วยอะไรเขา ควรทำตัวดีกับฉันก่อน อย่างแรกเลย ฉันต้องการมือถือที่โทรออกไปข้างนอกได้ ถ้าเขาตกลง อย่าว่าแต่โน้ตเพลงเลย ให้ฉันเขียนเนื้อเพลงให้เธอฉันก็เต็มใจ”
คำพูดของนรมนทำให้คนรับใช้ลำบากใจ แต่ก็รีบเดินออกไปอย่างเร็ว
เมื่อคิมเห็นว่านรมนมีความมั่นใจมาก รู้ว่านรมนมีความคิดเห็นของตัวเอง เธอไม่รู้ว่าไปเอาเครื่องเงินปักศรีษะมาตั้งแต่ตอนไหน จากนั้นจึงนำไปทดสอบในน้ำซุปและอาหาร
นรมนยิ้มขึ้นมาทันที
“แม่เหมือนคนสมัยก่อนเลยนะคะ เอาเข็มเงินมาทดสอบพิษ”
“ระวังหน่อยก็ไม่ผิดหรอก นอกจากนี้ลูกยังเวียนหัวนี่”
“มีพิษบางอย่างที่ไม่สามารถพบได้ในการใช้เข็มเงินทดสอบ ดังนั้นเราจึงต้องปรุงกินด้วยตัวเอง แต่วัตถุดิบเป็นเชษฐ์ที่นำมาให้ เลี่ยงไม่ได้ ไม่ก็เราต้องกินเข้าไป ไม่ว่าจะมีพิษหรือไม่ก็ตาม”
คำพูดของนรมน ทำให้คิมขมวดคิ้วแน่น
“เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเหรอ?”
คิมไม่ชอบความรู้สึกที่มีอะไรจุกที่คอหอย เธอรู้ว่านรมนก็ไม่ชอบ แต่ว่าตอนนี้ยังมีวิธีใดที่จะเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ได้หรือไม่?