บางทีนรมนอาจจะพูดได้ถูกต้อง อรอุรชาคนนี้ไม่เห็นว่าจะคู่ควรกับเจตต์ตรงไหนเลย และอีกอย่างนิสัยแบบนี้……
เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงท่าทีที่อรอุรชามีต่อนรมนในเมื่อกี้
“ชัยยศ หาคนคอยตามอรอุรชาไว้ คอยดูอย่าให้เธอสร้างเรื่องขึ้นมา”
บุริศร์โทรศัพท์หาชัยยศโดยตรง
นรมนรู้สึกหมดคำพูดเลย นี่เธอไปทำอะไรใครเหรอ
บุริศร์วางสายโทรศัพท์แล้ว จ้องมองเจตต์ทีหนึ่ง แล้วพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “คุณจะอยู่รอที่นี่จนกว่าเขาจะฟื้นเหรอ?”
“อย่างน้อยก็ต้องรอเขาฟื้นก่อนค่อยไปดีกว่ามั้ง ไม่งั้นฉันไม่วางใจ”
นรมนรู้ความหมายของบุริศร์ เธอเองก็ไม่ใช่ว่าจะต้องอยู่เป็นก้างขวางคอคอยยุ่งเรื่องชาวบ้านไปทั่วให้ได้ เพียงแต่ว่าเจตต์ยังไม่ตื่น แล้วใครจะไปรู้ว่าอรอุรชาและขวัญตานั่นมันเป็นเรื่องอะไรกัน แล้วจะให้ทิ้งเจตต์ไว้กับคนแปลกหน้าแบบนี้ เธอไม่ไว้ใจเลยจริง ๆ
“เดี๋ยวผมไปซื้ออะไรมาให้คุณดื่มหน่อย อันนี้มันเย็นเกินไปแล้ว”
“ค่ะ”
นรมนพยักหน้า
แล้วบุริศร์ก็เดินออกไป
นรมนพูดกับขวัญตาขึ้นว่า “ฉันจะไปดูประวัติอาการป่วยของเจตต์สักหน่อย คุณดูแลเขาไปก่อนนะคะ”
“ได้”
ขวัญตาพยักหน้าเล็กน้อย
นรมนมาถึงที่รมิดา
“ยังไง? ยังไม่วางใจอีกเหรอ?”
“ความรุนแรงระดับอุบัติเหตุของเขาเป็นยังไงบ้าง?”
“ไม่ได้ถือว่าร้ายแรงมาก แต่ว่าตำแหน่งที่ได้รับบาดเจ็บนั้นคนอื่นค่อนข้างที่จะรับมือยาก ก็เลยเรียกฉันมาเที่ยวหนึ่ง คุณอย่าแค่เห็นฉันก็รู้สึกกลัว ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไรเลย”
รมิดารู้ว่าความสำคัญที่เจตต์มีต่อนรมน จึงรีบบอกอาการของเขากับเธอ
คราวนี้นรมนถึงได้โล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง
“ฉันว่าเด็กสาวสองคนนั้นนี่มันเรื่องอะไรกัน?”
รมิดายุ่งเรื่องคนอื่นน้อยมาก แต่ว่าเรื่องที่เกี่ยวกับนรมนเธอก็อยากจะยุ่งสักหน่อย
นรมนพูดขึ้นอย่างรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อยว่า “ฉันเองก็ไม่รู้ ทุกอย่างต้องรอให้เจตต์ฟื้นขึ้นมาก่อนถึงจะรู้”
“โชคทางด้านผู้หญิงแรงจริง ๆ เลยนะ”
รมิดายิ้มน้อย ๆ แล้วส่ายหน้าขึ้น
แล้วนรมนก็พูดคุยกับรมิดาอีกพักหนึ่ง พอรู้สึกว่าเวลาพอประมาณแล้ว ถึงได้เดินออกมาจากห้องทำงานชั่วคราวของรมิดา
บุริศร์รออยู่ที่ข้างนอก แล้วถือโทรศัพท์อยู่กำลังทำงานผ่านโทรศัพท์ พอเห็นนรมนออกมา ถึงได้ยื่นนมร้อนที่อยู่ในมือออกไปให้
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?”
นรมนถามขึ้น
“เพิ่งกลับมาได้ไม่นานเอง”
บุริศร์หยุดทำงานชั่วคราวไปก่อน
นรมนจับนมร้อนในมือดูมันเป็นอุ่น ๆ ไปแล้ว ก็รู้เลยว่าบุริศร์น่าจะมารอสักระยะหนึ่งแล้ว เพียงแต่ว่าผู้ชายคนนี้ไม่เคยพูดเรื่องอะไรพวกนี้มาก่อนเลย
“คุณรู้ว่าฉันอยู่ข้างใน กลับมาแล้วทำไมถึงไม่เข้าไปละคะ?”
“ให้เวลาคุณกับหมอรมิดาพูดคุยกัน แล้วก็จัดการเรื่องงานสักหน่อยด้วย”
บุริศร์พูดขึ้นอย่างรักใคร่
นรมนดื่มนมร้องลงไป แล้วก็ถามขึ้นว่า “ชัยยศจัดการได้ยังไงบ้าง?”
“มีเรื่องบางอย่างเขายังต้องการเวลาเรียนรู้อยู่”
“พฤกษ์ฟื้นขึ้นมาแล้วไม่ใช่เหรอ? ไม่กลับบริษัทแล้วเหรอคะ?”
บุริศร์หยุดนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “ผมไม่อยากให้เขากลับไปแล้ว”
“หมายความว่าไงคะ?”
นรมนอึ้งไป
บุริศร์เอามือใส่เข้าไปในกระเป๋าเสื้อ แล้วพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “หลายปีมานี้เขาสามารถเผชิญโลกกว้างได้ด้วยตัวเองมาตั้งนานแล้ว คอยตามผมอยู่อย่างนี้มันดูสิ้นเปลืองหน่อย โอกาสก้าวหน้าของข้างนอกมีตั้งเยอะขนาดนั้น เขาน่าจะไปบุกเบิกโลกที่เป็นสำหรับของเขาเอง และอีกอย่างส่วนตัวผมก็อยากจะให้เขากลับเข้าไปในกองทัพด้วย”
“งั้นคุณละคะ? คุณจะกลับไปไหมคะ?”
นรมนจ้องมองบุริศร์ เป็นครั้งแรกที่ถามปัญหานี้กับเขาตรง ๆ
บุริศร์อึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “คุณรู้เรื่องหมดแล้วเหรอ?”
“คุณไม่พูดฉันจะไปรู้ได้ยังไงคะ?”
นรมนมีความเล่นตัวเล็กน้อย
บุริศร์เห็นว่าภรรยาโกรธแล้ว ก็รีบพูดขึ้นว่า “ผมกับเขาไม่เหมือนกัน ลูกเมียผมก็มีหมดแล้ว จะกลับไปอีกทำไม? ถึงแม้ถ้ากลับไปแล้ว ผมก็มีห่วง เวลาออกปฏิบัติหน้าที่ก็ไม่สามารถทำเต็มที่ได้ ถ้าเป็นแบบนี้แล้วยังสู้เก็บโอกาสไว้ให้คนอื่นไม่ดีกว่าเหรอ ผมเฝ้าลูกเมียอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาก็พอแล้ว”
“ไม่ได้เรื่อง”
นรมนเยาะเย้ยขึ้น แต่ว่ามุมปากกลับคลี่ออกขึ้น
เขาจะไม่กลับไปแล้ว ดีจริง ๆ เลย
ความรู้สึกแบบนี้เหมือนกับว่าใจที่แกว่งอยู่ อยู่ ๆ ก็ได้วางลง เป็นความผ่อนคลายที่พูดไม่ออก
“เรื่องของพฤกษ์คุณอย่างยื่นมือเข้าไปแทรกเลย ให้ตัวเขาตัดสินใจเองเถอะ คนบางคนมีความสามารถ ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะมีความทะเยอทะยาน แล้วคุณจะไปรู้ได้ยังไงว่าพฤกษ์จะไม่ชอบชีวิตที่ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากับคมทิพย์ล่ะ?”
ข้อเสนอแนะของนรมนตรงประเด็นเป็นอย่างมาก
บุริศร์พยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “ถึงแม้ว่าเขาจะไม่กลับกรมทหาร ผมก็ไม่อยากจะให้เขาทำกับผมแล้ว ที่ข้างนอกเขามีกิจการของตัวเองมากมาย เพียงแต่ว่าไม่ได้เอามารวมกัน ก็เลยทำให้คนอื่นคิดว่าเขาเป็นผู้ช่วยพิเศษของผม ที่จริงทรัพย์สินของเขารวมกันก็มีไม่น้อย ถ้าหากว่าคมทิพย์จะเดินบนเส้นทางบันเทิงจริง ๆ ละก็ คาดว่าพฤกษ์เองก็น่าจะต้องก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาเองแล้ว ในเมื่อถ้าอยู่ภายใต้ความไม่มีอำนาจไม่มีพละกำลัง ถึงอยากจะปกป้องคนรักของตัวเองก็ไม่น่าจะทำได้ เส้นสายบางอย่างตัวเองจะต้องเป็นคนไปจัดการเอง ”
พอได้ยินบุริศร์ช่วยพฤกษ์คิดได้อย่างรอบคอบมาก นรมนก็พูดขึ้นอย่างอิจฉาเล็กน้อยว่า “ที่รัก คุณดีกับพฤกษ์มากจริง ๆ เลยนะคะ ฉันรู้สึกอิจฉาขึ้นมาบ้างแล้วนะคะ”
“ผมไม่ดีกับคุณเหรอ? คนไม่มีหัวใจ”
บุริศร์ยื่นมือไปขุดจมูกเธอทีหนึ่งอย่างรักใคร่
นรมนแลบลิ้นให้เล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่ว่ายังไงฉันก็อิจฉา”
“งั้นคุณพูดมาซิว่าผมควรจะดีกับคุณยังไงดี?”
บุริศร์ส่ายหน้าขึ้นอย่างไม่รู้จะทำยังไง มีบางครั้งนรมนก็เป็นเหมือนกับเด็กคนหนึ่งเลยจริง ๆ
แต่ว่าเขายินยอมที่จะให้เธอเป็นเหมือนเด็กตลอดชีวิต แบบนี้จะมีความสุขมากกว่าเยอะเลย
“หรือว่าคืนนี้คุณปรนนิบัติฉันให้ดี ๆ เป็นไง?”
นรมนกะพริบตาดวงโต ๆ ไว้ แล้วจ้องมองบุริศร์ด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยการรอคอย
บุริศร์รู้สึกอ้ำอึ้งขึ้นมาทันทีเลย
“แค่ก แค่ก เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเถอะ กลางคืนผมจะต้องประชุมวิดีโอคอลอีก”
“มอบให้ชัยยศก็พอแล้ว ไหนคุณบอกจะมอบอำนาจให้เขาแล้วไม่ใช่เหรอ? งั้นก็ให้เขาได้ฝึกฝนเยอะ ๆ หรือจะบอกว่าที่รักไม่ชอบฉันแล้วเหรอคะ?”
นรมนยื่นนิ้วมือออกไปทางหน้าอกของบุริศร์ บุริศร์ตกใจจนรีบกุมมือของเธอเอาไว้ทันที
“ทูนหัว ที่นี่มันโรงพยาบาลนะ”
“ฉันหยอกล้อสามีฉัน เกี่ยวอะไรกับคนอื่นด้วยล่ะ?”
นรมนที่ท่าทางไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน ทำให้บุริศร์รู้สึกอยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาขึ้นทันที
ตอนนี้เขาเปิดอกไปเลยยังทันไหมนะ?
“คือว่า พวกเราจะไปดูว่าเจตต์ฟื้นหรือยังไม่ใช่เหรอ? รีบไปกันเถอะนะ”
หน้าผากของบุริศร์มีเหงื่อเย็น ๆ ซึมออกมา
นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนละก็ ตัวเองจะต้องชอบที่นรมนหยอกล้อแบบนี้แน่ ๆ แต่ว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาไม่ปกติ เขามีความทุกข์แต่พูดยากจริง ๆ เลย
นรมนกลับพูดขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ไม่รีบ เขาหนีไปไหนไม่ได้ซะหน่อย แล้วอีกอย่างความรู้สึกสามีภรรยาของพวกเราสำคัญกว่า”
บุริศร์จะร้องไห้แล้วจริง ๆ
“ที่รัก ผม คือว่าผม……”
“ตกลงคุณยังจะปิดบังฉันอีกนานแค่ไหน?”
นรมนหน้าขรึมลงทันที ถึงแม้ว่าเสียงจะไม่ได้ดังมาก แต่ว่าปฏิกิริยาที่ยิ้มอย่างมีความสุขบนใบหน้ากลับไม่เห็นแล้ว แล้วสิ่งที่มาแทนที่กลับเป็นความโกรธเคืองเสี้ยวหนึ่ง
บุริศร์อึ้งไปเล็กน้อย แล้วก็เข้าใจขึ้นมาว่านรมนได้รู้เรื่องทุกอย่างแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่นบ้างขึ้นมา
“นี่ผมก็เป็นเพราะว่าไม่อยากให้คุณเป็นห่วงไง?”
“พูดไปเรื่อย นี่เป็นท่าทีที่คุณไม่อยากจะให้ฉันเป็นห่วงเหรอ? ฉันเคยให้โอกาสคุณหรือเปล่า? ร่างกายของคุณเป็นของฉัน ของฉันเข้าใจไหม? คุณได้รับการอนุญาตจากฉันหรือยัง? คุณไปทำการผ่าตัดได้ปรึกษาฉันก่อนไหม? บุริศร์ คุณนี่ปีกกล้าขาแข็งแล้วนะ ตอนนี้รู้จักทำไปก่อนแล้วค่อยมาว่ากันทีหลังแล้วใช่ไหม?”
นรมนโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงแล้วยื่นนิ้วไปหยิกตรงหน้าอกบุริศร์อย่างแล้ว ครั้งแล้วครั้งเล่า
บุริศร์รักท่าทางที่แข็งกร้าวของเธอในตอนนี้เป็นอย่างมากเลย แต่ว่าที่นี่เป็นโรงพยาบาลนะ ขอร้องล่ะ ไว้หน้าเขาหน่อยได้ไหม
“ที่รัก คุณให้ผมกลับไปคุกเข่าบนเปลือกทุเรียนได้ไหม เรากลับไปคุยกันที่บ้านเถอะนะ?”
“คุยอะไรคุย? ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ ในเมื่อคุณชอบปิดบังฉันมากขนาดนี้ ชอบทำการผ่าตัดแบบนั้นมากขนาดนี้ งั้นคุณก็ไปอยู่เองคนเดียวเถอะ”
นรมนผลักเขาออกทีหนึ่ง แล้วก็ก้าวเท้าเดินไปเลย
เธอจะบ้าตายอยู่แล้ว
ผู้ชายอย่างบุริศร์นี่ให้โอกาสแล้วยังไม่ยอมเปิดอกพูดอีก ในเมื่อเป็นอย่างนี้ งั้นก็ทิ้งเขาให้หงอยไปเลย
นรมนคิดไปอย่างโกรธเคือง ฝีเท้าที่ก้าวอยู่ก็ใหญ่ขึ้นไปเล็กน้อย
ส่วนบุริศร์นั้นรู้สึกเซ็งมากเลย
เขาจะไปรู้ได้ยังไงว่าเมื่อเช้าที่นรมนให้เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาจะเป็นเรื่องนี้?
เป็นเพราะตัวเขาคิดได้ช้าเอง รมิดากับนรมนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันขนาดนี้ ข่าวจะไม่รั่วไหลไปหากันได้ยังไงล่ะ?
“นรมน ที่รัก คุณช้า ๆ หน่อย”
บุริศร์ตามอยู่ที่ข้างหลัง หัวคิ้วขมวดกันแน่น
ทำให้ภรรยาโกรธแล้ว
จะทำยังไงดี?
เมื่อก่อนเวลาโกรธ นอนด้วยกันตื่นเดียวก็หายแล้ว แต่ตอนนี้การนอนเป็นได้แค่ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ แล้ว
เขามีความรู้สึกพ่ายแพ้เหมือนกับว่ายกหินมาทุบเท้าตัวเองขึ้นมาทันที
มุมปากของนรมนคลี่ออกเล็กน้อย
ความรู้สึกแบบนี้มันซะใจมากจริง ๆ
แต่ว่าเธอจะให้บุริศร์รู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าตัวเองตั้งใจยืมเรื่องนี้มาเอะอะโวยวาย
นรมนเดินเข้าไปในห้องของเจตต์อย่างมุมปากคลี่ออกเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันได้เข้าไป ก็ได้ยินเสียงต่ำของเจตต์ลอยออกมาจากข้างในแล้ว
“ขวัญตา คุณเป็นคุณหนูใหญ่คนหนึ่งมาอยู่ที่ผมนี่ มันเรื่องอะไรกัน? รีบกลับไปเลยนะ”
“ฉันไม่ไป ฉันจะดูแลคุณ คุณเป็นอย่างนี้อยู่จะไม่มีคนดูแลคุณได้ยังไง”
ขวัญตาพูดอย่างเหตุผลเต็มเปี่ยม
“ผมจะหาพยาบาลพิเศษเอง”
“พยาบาลพิเศษจะไปได้เรื่องได้ยังไง? หรือว่าคุณอยากจะให้ผู้หญิงอื่นมาเห็นร่างกายของคุณเหรอ?”
“คุณเองก็ผู้หญิงดีไหม?”
เจตต์รู้สึกหมดคำพูดเล็กน้อย
“นั่นมันไม่เหมือนกัน ฉันเป็นว่าที่ภรรยาในอนาคตของคุณ ที่ฉันดูมันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว”
ความหลงตัวเองของขวัญตาแบบนี้ ทำให้มุมปากของเจตต์กระตุกขึ้นเล็กน้อย
“ผมบอกไปแล้ว ชาตินี้ผมไม่มีความคิดที่จะแต่งงาน คุณอย่ามาเสียเวลาบนตัวผมเลยจะได้ไหม?”
“ฉันไม่! ชาตินี้ฉันจะแกะติดกับคุณ ฉันไม่สน คุณมองเห็นตัวฉันหมดแล้ว ถ้าคุณไม่แต่งงานกับฉัน ฉันจะยังไปแต่งงานกับใครได้อีก?”
คำพูดของขวัญตานั้นเนื้อหาเกินไป ชั่วขณะหนึ่งทำให้นรมนและบุริศร์ที่อยู่ข้างนอกต่างก็อึ้งไป
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
เจตต์รู้สึกยากลำบากขึ้นมาจริง ๆ
“ผมบอกแล้วไง นั่นมันเป็นแค่อุบัติเหตุ”
“ฉันไม่สน ในเมื่อคุณเห็นตัวฉันไปหมดแล้ว ฉันโตมาขนาดนี้ นอกจากแม่ฉันแล้ว ยังไม่เคยมีใครเห็นร่างกายของฉันมาก่อน คุณจะต้องรับผิดชอบ”
ขวัญตาพูดขึ้นอย่างไม่ยอมรามือ
เจตต์รู้สึกปวดหัวขึ้นมาบ้างแล้ว
“ผมปวดหัว”
“เดี๋ยวฉันไปตามหมอให้คุณ”
ขวัญตาพูดแล้วก็จะกดกระดิ่งเรียกพยาบาล แต่กลับโดนเจตต์คว้ามือเอาไว้แล้วพูดขึ้นว่า “คุณอย่ามาปรากฏตัวต่อหน้าผมก็ไม่ปวดแล้ว”
“อ๋ายหยา คุณจับคนอื่นเขาอีกแล้ว ยังจะพูดว่าคิดอะไรกับเขาอีก”
บนใบหน้าของขวัญตามีสีแดงระเรื่อขึ้นมา เจตต์ตกใจจนรีบปล่อยมือออกทันที
“โอ้สวรรค์ ใครก็ได้ช่วยมาเก็บยัยปีศาจนี่ออกไปทีเถอะ”
เจตต์รู้สึกมาตลอดว่าตัวเองเป็นปีศาจ แต่พอมาวันนี้พบเจอกับขวัญตาเข้า ถึงรู้ว่าตัวเองนั้นยังอ่อนเกินไป
ขวัญตายิ้มจนเรียกได้ว่าดีใจมาก
“เง็กเซียนฮ่องเต้บนสวรรค์หรือเหล่าเทวดาอะไรต่างก็ยุ่งเกินไป มายุ่งเรื่องบนโลกมนุษย์ไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นยังไงคุณก็เก็บฉันไว้เองเถอะนะ”
พูดแล้วเธอก็ก้มหน้าลงไปม๊วฟคำหนึ่ง แล้วจุ๊บเจตต์ทีหนึ่ง
ทั้งตัวเจตต์นิ่งอึ้งไปเลย จากนั้นวินาทีต่อมาก็ตะคอกขึ้นมา
“ขวัญตา คุณนี่ฉวยโอกาสผมอีกแล้วนะ! ตกลงนี่ใครล่วงเกินใครกันแน่?”
“คุณพูดเสียงดังอีกหน่อยซิ ให้คนทั้งหมดได้ยินไปเลย แบบนั้นก็จะได้ไม่มีคนมาแย่งกับฉันแล้ว”
ครั้งนี้ เจตต์กลับไม่มีเสียงแล้ว
เขาอยากจะสลบไปเลยได้ไหม?