นรมนอยากจะตีบุริศร์ให้ตาย
บอกว่าช่วงบ่ายเจตต์นัดพวกเขาออกไปเตะบอล ปรากฏว่าเธอสามารถลุกขึ้นมาได้ก็ปาเข้าไปสี่โมงกว่าแล้ว
“บุริศร์ คุณจงใจ!”
นรมนทุบบุริศร์อย่างโมโห
บุริศร์ไม่สนใจการตีโพยตีพายของเธอ แถมยังกล่าวอย่างใจกว้าง “อืม ผมจงใจ”
บุริศร์ตรงไปตรงมาอย่างหน้าไม่อายเช่นนี้ นรมนยังจะพูดอะไรได้?
เธอรีบโทรหาเจตต์ แต่ทางฝั่งนั้นกลับไม่มีคนรับสายตลอด
บุริศร์กล่าวอย่างเรียบเฉย ไม่ต้องโทรแล้ว เขาอาจกำลังสอนขวัญตาเตะบอลอยู่ก็ได้ คุณโทรไปตอนนี้ไม่เสียอารมณ์เหรอ?”
“คุณออกไปเลยนะ!”
นรมนไม่อาจมองหน้าบุริศร์ได้อีก
ตอนนี้ผู้ชายคนนี้ไร้ยางอายเกินไป
เห็นภรรยาเหมือนจะโกรธจริง บุริศร์รีบพูด “ก็แค่เตะบอลไม่ใช่เหรอ?ทำไมคุณต้องอยากไปหาเจตต์ด้วย?เขากำลังจะแต่งงานแล้ว ว่ากันว่าข้าวใหม่ปลามันหอมหวานที่สุด คุณจะไปเป็นก้างขว้างคอทำไม?ถ้าชอบเตะบอลจริง ผมจะพาคุณไปเล่นโปโลที่คอกม้าดีไหม?”
นรมนมีชีวิตชีวาขึ้นทันที
“เล่นโปโล?แบบที่แสดงบนทีวี แบบที่ตีกอล์ฟด้วยไม้เท้าบนหลังม้าเหรอ?”
สามารถอธิบายโปโลได้แบบนี้ บุริศร์ก็ยอมแพ้ เพียงแค่เพราะคนที่พูดคือภรรยาของตนเอง เขาก็ทำได้เพียงยอมรับ
“อืม แบบนั้นแหละ อยากเล่นไหม?”
นรมนรู้สึกตื่นเต้น แต่มองดูเวลา ก็พูดอย่างท้อใจ “สี่โมงกว่าแล้ว ตอนนี้เป็นฤดูหนาว อีกไม่ถึงชั่วโมงก็มืดแล้ว จะไปทำอะไร?ดูความมืดเหรอ? หรือวิ่งในความมืด?”
บุริศร์กลับไม่ได้สนใจเวลา เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ ไปดูแข่งม้าก็ได้ พรุ่งนี้ตอนกลางวันค่อยเล่นโปโล คืนนี้พักที่นั่น”
“แล้วลูกๆ ล่ะ?”
นรมนมุ่ยปาก แต่ในใจอยากไป
เวลาที่ตนเองได้อยู่กับบุริศร์น้อยมาก ถึงแม้จะได้อยู่ด้วยกันหลังจากกลับมา แต่ก็เพราะเรื่องนู้นเรื่องนี้จึงไม่สามารถใช้เวลาร่วมกันได้อย่างที่ตั้งใจ วันนี้บุริศร์ทิ้งบริษัททั้งหมดให้ชัยยศจัดการ อยู่กับตนเองได้ทั้งวัน นรมนจะไม่สนใจก็โกหกแล้ว
มองออกว่านรมนอยากไป บุริศร์ยิ้ม “ลูก ๆ ก็เล่นอยู่ที่บ้านไป หรือจะพาไปด้วยกัน?”
เขาเพียงแค่พูดออกมาอย่างไม่คิดอะไร นึกไม่ถึงว่านรมนจะรีบพยักหน้า
“ก็ได้ ๆ พากมลไปด้วย พรุ่งนี้กานต์ต้องเข้ารับการให้คำปรึกษาทางสุขภาพจิต พากมลกับกิจจาไป กิจจาเอาแต่อ่านหนังสือทั้งวัน ออกไปทำกิจกรรมสักหน่อยก็ดี”
ได้ยินนรมนพูดแบบนี้ บุริศร์กลุ้มใจทันที
เขาอยากออกไปเที่ยวสองคนกับภรรยา ตอนนี้ต้องเอาตัวภาระทั้งสองไปด้วยจะดีหรือเนี่ย?
เพียงแต่มองเห็นท่าทางที่เต็มไปด้วยความสนใจของนรมน บุริศร์ก็ไม่อาจทำลายความตื่นเต้นของเธอ
“ได้ ผมจะไปบอกลูก ๆ คุณเก็บของนะ อีกสักพักจะออกเดินทาง”
“โอเค”
นรมนรีบลุกขึ้นอย่างมีความสุข แต่เกือบจะล้มลงไปบนพื้น โชคดีที่บุริศร์อุ้มเอาไว้
“ระวังหน่อย”
“ก็เป็นเพราะคุณนั่นแหละ น่ารำคาญจริง ๆ ฉันขอเตือนคุณเอาไว้นะ ตอนไปสนามม้าคุณห้ามแตะต้องตัวฉัน!”
นรมนพูดอย่างจริงจัง
บุริศร์รีบพยักหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกน่าขำ
ทุกครั้งเอาแต่พูดว่าห้ามแตะต้องตัวเธอ แต่ทุกครั้งก็ไม่อาจต้านทานเสน่ห์ผู้ชายอย่างเขาได้จริงไหม?
ครั้งนี้บุริศร์รู้สึกว่าเกิดมาหน้าตาหล่อนั้นมีข้อดี
นรมนกลับไม่รู้ว่าบุริศร์กำลังคิดอะไรอยู่ รีบไปอาบน้ำในห้องน้ำ
ส่วนบุริศร์ก็ไปอาบน้ำข้างๆ จากนั้นเปลี่ยนเสื้อผ้า ถึงจะลงไปข้างล่าง
กิจจากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องรับแขก ส่วนกมลกำลังกินของอร่อยไปดูการ์ตูนไป ท่าทางมีความสุขมาก
บุริศร์ก็ไม่ได้รบกวนพวกเขา ตรงไปที่ห้องหนังสือ
กานต์ยังคงเขียนรหัส เขาแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นบุริศร์เข้ามา
“จะมาอวดความสำเร็จกับผมเหรอ?”
คำพูดของกานต์มีความยั่วยุเล็กน้อย
แต่บุริศร์กลับพูดอย่างมีความสุข “เรื่องแบบนี้แกอิจฉาไม่ได้หรอก ยกเว้นตอนนี้แกจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
“คุณบุริศร์ คุณมันไร้ยางอายจริงๆ”
กานต์ก้มหน้าลงทันที ขี้เกียจสนใจเขา
บุริศร์นั่งลงตรงหน้าเขาอย่างอารมณ์ดี ถือโอกาสหยิบรหัสที่กานต์เขียนขึ้นมาดู “รหัสนี้ผิด”
“ผิดตรงไหน?”
กานต์แปลกใจเล็กน้อย
บุริศร์หยิบปากกาขึ้นมาขีดเขียนรหัสจำนวนหนึ่งลงไป
แววตาของกานต์เป็นประกายขึ้นมาทันที
จำเป็นต้องพูดว่า ผู้ใหญ่มักจะมีประสบการณ์มากกว่า
กานต์พูดอย่างเลื่อมใส “ผมไม่ได้คิดถึงตรงนี้”
“ดังนั้นแกจึงต้องพยายามทุ่มเท อีกสักพักฉันกับหม่ามี้ของแกจะพากมลกับกิจจาไปสนามม้า คืนนี้ไม่กลับมา แกอยู่บ้านคนเดียวได้ใช่ไหม?”
“ไม่มีปัญหาครับ”
กานต์ส่ายหน้า
บุริศร์นึกถึงปัญหาทางสุขภาพจิตของกานต์ จึงกล่าวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “เอาแบบนี้ดีกว่า แกไปเก็บของนะ เดี๋ยวฉันจะพาแกไปส่งที่ป้อง คืนนี้แกค้างที่ตระกูลพรรณโรจน์ พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องไปๆ มาๆ ดีไหม?”
กานต์รู้ว่าบุริศร์เป็นห่วงว่าตนเองอยู่บ้านคนเดียวแล้วจะฝันร้าย จนแม้แต่เรื่องที่ถูกยิงจะยังรบกวนการนอนหลับอยู่จึงจัดแจงแบบนี้
เขาพยักหน้า “ครับ”
“เด็กดี”
บุริศร์ยื่นมือออกไปลูบเส้นผมของกานต์อย่างนุ่มนวล ทำให้กานต์กลอกตามองบน
“อย่าลูบผม”
“แล้วทำไมถึงไม่ขัดขืนเวลาหม่ามี้ของแกลูบ?”
กานต์เหลือบมองบุริศร์อย่างเย็นชา “หม่ามี้ตั้งท้องผมมาสิบเดือน ชีวิตของผมเป็นของหม่ามี้ คุณเปรียบเทียบสิ่งนี้กับหม่ามี้ของผมได้ไหม?”
บุริศร์สำลักทันที
“ถ้าไม่มีการหว่านเมล็ดพันธุ์จากฉัน แกก็เกิดมาเป็นคนไม่ได้หรอก”
เขาพูดโต้แย้งเบาๆ
กานต์ส่งเสียงทางจมูกอย่างเย็นชา “อย่าเอาเมล็ดพันธุ์ของตัวเองมาพูดหน่อยเลย ไม่มีเมล็ดพันธุ์ของคุณ หม่ามี้ก็ยังท้องได้เหมือนเดิม แต่ถ้าไม่มีท้องของหม่ามี้ คุณมีเมล็ดพันธุ์ไปก็เท่านั้น?”
พูดจบ กานต์ก็หันตัวเดินออกไปจากห้องหนังสืออย่างเมินเฉย ทิ้งบุริศร์ให้สับสนอยู่ในห้องหนังสือคนเดียว
ไอ้เด็กคนนี้เป็นลูกของเขาจริงไหมเนี่ย?
เขาส่ายหน้า และเดินตามออกไปจากห้องหนังสือทันที
หลังจากมาที่ห้องรับแขกก็เล่าเรื่องที่จะไปสนามม้าให้กมลกับกิจจาฟัง กมลตื่นเต้นมาก แต่กิจจากลับขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขายังอ่านตำราแพทย์ไม่จบเลย
“พี่กิจจา พี่ไปเป็นเพื่อนฉันนะ”
กมลเขย่าแขนของกิจจา ท่าทางออดอ้อนทำให้กิจจาไม่อาจปฏิเสธได้
“ได้”
เขายิ้มและปิดตำราแพทย์ลงทันที
หลังจากนรมนจัดเก็บของเสร็จจึงลงมาชั้นล่าง พบว่าลูกๆ เก็บของเสร็จนานแล้ว สองมือของกานต์ล้วงกระเป๋า มองท่าทางสนอกสนใจของกมล จึงอดพูดไม่ได้ “ตอนไปเรียนขี่ม้าที่สนามม้าต้องขี่อย่างระมัดระวัง อย่าตกลงมา”
“เข้าใจแล้ว จู้จี้จังเลย”
กมลแลบลิ้นปลิ้นตาใส่กานต์
นรมนรู้สึกว่าคนในครอบครัวอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วช่างมีความสุขเหลือเกิน
“รอปีใหม่ พวกเราหาเวลาออกไปเที่ยวช่วงฤดูใบไม้ผลิกันคิดว่าไง?”
ข้อเสนอของนรมนทำให้กานต์นิ่งไปสักพัก กิจจาก็ลังเลใจ
บุริศร์เหลือบมองพวกเขา และรีบพูดขึ้นมา “ไม่มีปัญหา จริงไหม?กานต์?กิจจา?”
แด๊ดดี้เรียกชื่อ เด็กทั้งสองคนทำได้เพียงพยักหน้า
นรมนดีใจสุด ๆ
“หม่ามี้ เอาชุดขี่ม้ามาให้หนูหรือเปล่าคะ?”
คำพูดของกมลทำให้นรมนรู้สึกน่าขำ
“เอามาแล้วจ้ะ”
“เป็นสีแดงที่หนูชอบหรือเปล่า?”
“แน่นอน”
“ขอบคุณค่ะหม่ามี้”
กมลจุ๊ฟลงบนใบหน้านรนมหนึ่งที
สมาชิกครอบครัวทั้งห้าคนออกจากบ้านอย่างครึกครืน
บุริศร์ขับรถครอบครัวออกมา เด็กๆ พากันขึ้นรถอย่างมีความสุข มือถือของนรมนกลับดังขึ้น
สำหรับสิ่งนี้ บุริศร์รู้สึกไม่สบายใจ
“อย่าไปสนใจมือถือเลย ขึ้นรถก่อนเถอะ”
คำพูดของบุริศร์วนเวียนอยู่ข้างหูของนรมน
แต่เธอกลับไม่ได้ฟังบุริศร์ หยิบขึ้นมาดูทันที พบว่าเป็นสายเรียกเข้าจากเจตต์
นึกขึ้นได้ว่าตนเองโทรหาเจตต์ เดาว่ากลับมาเห็นจึงโทรกลับ
นรมนนำของในมือวางบนรถ จากนั้นกดรับสาย
“พี่”
“ตอนบ่ายทำไมไม่มา?”
เจตต์จากปลายสายหอบเสียงดัง เหมือนเพิ่งจะออกกำลังกายเสร็จ
นรมนรู้สึกอายมาก ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ก็ได้ยินบุริศร์พูดอย่างเย็นชา “ช่วงบ่ายมีธุระ ลูก ๆ อยู่บ้านกันหมด ยุ่งจนลืมดูเวลา”
มองเห็นบุริศร์โกหกหน้าตาย นรมนนับถือมาก
เจตต์ได้ยินบุริศร์พูดแบบนี้ จึงค่อนข้างเข้าใจ
“อืม โอเค เอาไว้มีเวลาแล้วค่อยเจอกัน”
“ได้”
ตั้งแต่นรมนรับสายก็ไม่ได้พูดอะไร บุริศร์เป็นคนพูดให้เองทั้งหมด วันนี้คิดไม่ถึงว่าผู้ชายสองคนจะวางสายลงตรงหน้าเธอ จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าตนเองรับสายนี้แล้วเป็นส่วนเกิน
ไม่สิ
นี่เป็นความตั้งใจของบุริศร์
นรมนถลึงตามองเขาอย่างโหดเหี้ยม
บุริศร์ถามอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อน “ยังไม่ขึ้นรถอีก?”
ในตอนนี้เด็ก ๆ ต่างพากันมองนรมนอย่างเฝ้าคอย นรมนจึงต้องก้าวขึ้นรถ
เธอใช้เท้าเหยียบบุริศร์ “คุณจงใจใช่ไหม?”
“อืม”
บุริศร์ไม่ได้หลบเลี่ยง
“ไอ้คนขี้หึง”
นรมนส่งเสียงด่าออกมาเบาๆ อย่างกลุ้มใจ บุริศร์ก็ขับรถไป
เมื่อขับมาถึงสนามม้า นรมนพบว่าที่นี่มีคนเยอะมากจริงๆ
“ฉันคิดว่าที่นี่จะมีคนไม่เยอะซะอีก”
เนื่องจากหิมะเพิ่งจะตก และอากาศก็หนาวเช่นนี้ นรมนจึงคิดว่าทุกคนจะพากันอยู่ในบ้านอุ่นๆ ใครจะไปคิดว่าที่นี่จะมีคนจำนวนมาก
บุริศร์ขับรถมาในโรงแรมด้านหลังสนามม้า
เขาเอ่ยเสียงเบา “ด้านหน้าเป็นสนามม้าของประชาชนทั่วไป พวกเราไม่ไปที่นั่น ด้านหลังมีสนามม้าในร่ม อุณหภูมิเหมาะสม ตระกูลของพวกเรามีสนามฝึกม้าโดยเฉพาะอยู่ที่นี่พอดี จึงไม่ต้องไปเบียดกับคนอื่น”
นรมนเพิ่งจะรู้เป็นครั้งแรกว่าบุริศร์ยังมีสนามฝึกซ้อมม้าอยู่ที่นี่ จึงถามอย่างตื่นเต้น “ตระกูลโตเล็กของพวกเราลงทุนในสนามม้านี้ด้วยเหรอ?”
บุริศร์ยิ้ม “คุณนายบุริศร์ ทางที่ดีคุณควรจะกลับไปตรวจดูทรัพย์สมบัติของตระกูลโตเล็ก ทั้งสนามม้านี้เป็นของตระกูลพวกเรา”
“หา?”
นรมนค่อนข้างเซอร์ไพรส์
บุริศร์ชอบท่าทางของเธอในเวลานี้มาก จึงบีบจมูกของเธออย่างอดไม่ได้
“เอาล่ะ เข้าไปที่ห้องในโรงแรมก่อน”
บุริศร์ทิ้งกุญแจรถเอาไว้ให้พนักงานรับรถ จากนั้นกล่าวอย่างเรียบเฉย “ช่วยย้ายกระเป๋าให้พวกเราด้วย ห้องเพรสซิเดนเชียลสวีท ชั้นบนสุด”
“ครับ”
พนักงานรับรถพยักหน้า
เมื่อกมลลงมาจากรถ นรมนก็ค้นพบปัญหาร้ายแรงทันที