ตอนที่นรมนตื่นขึ้นมาถึงพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงในบ้าน แล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมา
ทำไมถึงได้หลับไปอีกแล้วนะ?
คุยกันไว้ดิบดีว่าจะออกไปเดินเล่นกัน ทำไมถึงได้หลับบนหลังของบุริศร์อีกแล้ว?
อืม ต้องโทษไหล่ของบุริศร์ที่มีความรู้สึกปลอดภัยมากเกินไปแล้ว
นรมนเอาทุกอย่างผลักไปอยู่ที่ตัวบุริศร์อย่างตั้งใจ
ตอนที่คิดมาถึงบุริศร์นั้น นรมนถึงพบว่าบุริศร์ไม่ได้อยู่ในห้องนอน
เธอหาวขึ้นมาทีหนึ่ง แล้วเอาผ้าห่มออกแล้วลงจากเตียง จากนั้นก็หาเสื้อนอกตัวหนึ่งมาคลุมไว้ แล้วถึงได้ออกไปจากห้องไป
ป้าหวานกำลังเดินมาพอดี ในมือถือกาแฟไว้แก้วหนึ่ง
“ป้าหวาน จะเอาไปให้คุณผู้ชายเหรอ?”
“ใช่ค่ะ คุณนาย”
ป้าหวานรีบตอบ
“คุณผู้ชายอยู่ที่ไหน?”
“ในห้องหนังสือค่ะ”
“มา ฉันเอาไปเอง”
นรมนรับกาแฟมาจากมือของป้าหวาน แล้วก็ก้าวเท้าเดินไปทางห้องหนังสือ
เธอเคาะประตูเล็กน้อย แล้วข้างในก็มีเสียงขรึมต่ำของบุริศร์ลอยมา
“เข้ามา”
นรมนผลักประตูเปิดออก แล้วเห็นว่าบุริศร์กำลังนั่งมองอะไรอยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไป
“ถ้าที่บริษัทมีงานคุณไปบริษัทก็ได้ ไม่ต้องอยู่บ้านเป็นเพื่อนฉันหรอกค่ะ”
นรมนเอากาแฟยื่นให้กับบุริศร์
บุริศร์เห็นว่านรมนเป็นคนยกมา ก็รีบรับไป จากนั้นก็ลากนรมนมานั่งลงบนเก้าอี้ แล้วถึงพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “ไม่ได้มีงานที่บริษัท แต่ว่าวันนี้ตอนที่ออกไปเดินช้อปปิ้งกัน คุณถามผมว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นไม่ใช่เหรอ?”
“อืม ตอนนั้นคุณบอกว่าไม่มีอะไรนี่คะ”
นรมนจ้องมองบุริศร์อย่างรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
บุริศร์รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที แต่ว่าก็กระแอมไอเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “ตอนนั้นผมก็แค่เห็นคนถือกล้องไว้กำลังถ่ายรูปของเราอยู่ ผมเองก็ไม่รู้ว่าคนคนนั้นเป็นนักข่าวหรือว่าเป็นใคร เพราะฉะนั้นก็เลยไม่มีวิธีที่จะบอกคุณในตอนนั้นได้”
“คุณเนี่ยนะ ชอบเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยเลย ถ้าเรื่องยังไม่ชัดเจนจนที่สุดแล้วก็ไม่มีทางที่จะบอกฉันเลย งั้นในเมื่อตอนนี้บอกฉันได้แล้ว ก็แสดงว่าเกือบจะสืบหาสถานะของคนคนนั้นได้แล้วใช่ไหมคะ?”
นรมนส่ายหน้าแล้วถามขึ้น
บุริศร์กลับพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “สถานะของคนคนนั้นสืบหาไม่เจอ แต่ว่าผมพบเจออะไรบางอย่างในกล้องถ่ายรูปของเขา คุณจะดูสักหน่อยไหม?”
“อะไรเหรอคะ?”
ภาพแรกที่ปรากฏขึ้นในใจนรมนก็คือรูปถ่ายที่ไม่น่าดูแน่
บุริศร์จูงมือของเธอไว้ ให้เธอมองไปทางคอมพิวเตอร์
“นี่คือของที่ผมคัดลอกออกมาจากกล้องถ่ายรูป คุณดูรูปถ่ายพวกนี้ซิ แล้วพบเห็นอะไรบ้าง?”
บุริศร์ชี้ไปที่พวกรูปถ่ายที่อยู่ในคอมพิวเตอร์
รูปพวกนั้นล้วนเป็นรูปที่ถ่ายตอนที่นรมนอยู่ด้วยกันกับบุริศร์ แต่ว่าข้างกายพวกเขามักจะมีคนผ่านทางคนหนึ่ง
รูปถ่ายที่ถ่ายติดคนผ่านทางนั้นเป็นรูปที่ปกติมาก ในเมื่อนี่คือการแอบถ่าย แต่พอดูรูปถ่ายหลาย ๆ ใบแล้ว คนผ่านทางในรูปเป็นคนคนเดียวกันทั้งนั้น สถานการณ์แบบนี้ถือได้ว่าเกิดขึ้นได้ยากนะ
หัวคิ้วของนรมนขมวดขึ้นมาทันที
“คนคนนี้คือใครคะ?”
เธอชี้ไปที่ตัวคนคนนั้นในรูปถ่ายแล้วจ้องมองบุริศร์และถามขึ้นมา
บุริศร์ขยี้ผมนรมนแล้วพูดขึ้นว่า “คุณเองก็พบว่าคนคนนี้ใช้สถานะคนผ่านทางมามีตัวตนอยู่ข้าง ๆ เราตลอดเลยใช่ไหม?”
“คุณค้นเจอสถานะของคนคนนี้หรือยังคะ?”
นรมนจ้องมองบุริศร์อย่างรู้สึกสงสัย
หัวคิ้วของบุริศร์ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แล้วพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “ผมเดาว่าเขาน่าจะคือกล้าณรงค์”
“กล้าณรงค์เหรอคะ?”
นรมนอดไม่ได้ที่จะมองมากขึ้นอีกหน่อย
กล้าณรงค์คนนี้ได้ยินแต่ชื่อมาตลอดแต่ไม่เคยได้เห็นตัว ทำตัวลับลมคมในมาก และถึงแม้ว่าประเทศจะออกประกาศจับแล้ว แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครรู้ว่ากล้าณรงค์หน้าตาเป็นยังไง
พอมาวันนี้จ้องมองผู้ชายที่หน้าตาธรรมดามากคนนี้ ผู้ชายแบบนี้ถึงแม้ว่าจะเดินผ่านตัวเธอไปเป็นร้อยรอบ เธอคิดว่าก็คงจะไม่ได้สนใจอะไรเขาหรอก ในเมื่อผู้ชายแบบนี้ดูธรรมดามาก ธรรมดาจนไม่มีจุดเด่นอะไรเลย เป็นคนแบบที่ความมีตัวตนอยู่ต่ำมาก
แต่ว่าพอมาดูดี ๆ แล้ว ช่วงระหว่างคิ้วของผู้ชายคนนี้นั้นเหมือนกับแพรวาเป็นอย่างมาก
นรมนลองสังเกตดูดี ๆ อีกครั้ง แล้วพบว่ากล้าณรงค์กับแพรวาไม่ใช่แค่เหมือนกันทั่วไปเท่านั้น แต่มันเหมือนแทบจะแปดสิบเปอร์เซ็นต์เลย
“ว่ากันว่าหลานชายฝั่งพี่สาวน้องสาวจะหน้าเหมือนน้าชาย หลานชายฝั่งพี่ชายน้องชายจะหน้าตาเหมือนอาสาว ดูจากคำพูดนี้แล้วไม่ปลอมเลยสักนิด คนคนนี้กับแพรวามีความเหมือนกันเกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่ารู้ว่าพวกเขาเป็นอาหลานกันมาก่อนหน้านี้ ไม่แน่ฉันคงจะนึกว่าพวกเขาเป็นแม่ลูกกันแน่ ๆ”
คำพูดของนรมนทำให้บุริศร์อึ้งไปทันทีเลย
“รอก่อนนะ ถ้าหากว่าพวกเขาสองคนเป็นแม่ลูกกันจริง ๆ ล่ะ?”
“อะไรนะ?”
นรมนเงยหน้าขึ้นอย่างสงสัย จ้องมองบุริศร์ที่ทั้งหน้าเต็มไปด้วยแววครุ่นคิด
บุริศร์กลับยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้
“เมื่อก่อนผมคิดมาตลอดว่า ถึงแม้ว่ากล้าณรงค์จะเป็นหลานของแพรวา ก็ไม่น่าที่จะต้องเสียใจและบ้าคลั่งกับการตายของแพรวา จนแทบอยากจะสับพวกเราเป็นหมื่น ๆ ชิ้นเลย แต่ว่าถ้าแพรวาไม่ใช่อาของเขา แต่เป็นแม่ของเขาล่ะ? แบบนี้ก็จะสามารถเข้าใจความโกรธเกลียดของเขาได้แล้ว”
นรมนฟังบุริศร์พูดไปแบบนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วหัวสมองก็หมุนวนอย่างรวดเร็วขึ้นมา
“กล้าณรงค์เป็นลูกชายของแพรวางั้นเหรอ? มันเป็นไปได้ยังไง? แพรวากับเชษฐ์มีลูกแค่ธิดาวีร์ไม่ใช่เหรอ? และที่สำคัญที่ตั้งท้องธิดาวีร์ขึ้นมาได้ก็เพราะว่าแพรวาวางแผนให้เชษฐ์มาตกหลุมพราง ถ้าหากจะบอกว่ากล้าณรงค์เป็นลูกชายของแพรวา งั้นพ่อของกล้าณรงค์ก็ไม่ใช่เชษฐ์ แล้วจะเป็นใครล่ะ?”
คำถามของนรมนบุริศร์เองก็ตอบไม่ได้ แต่ว่ากลับพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “มีอย่างหนึ่งสามารถมั่นใจได้ ถ้ากล้าณรงค์เป็นลูกแท้ ๆของแพรวา งั้นก็จะสามารถอธิบายได้แล้วว่าที่แพรวาทำทุกอย่างเพื่ออะไร ที่เธอวางกับดักใส่เชษฐ์ จนให้ตั้งท้องธิดาขึ้นมา ที่จริงก็เพื่อจะให้สิ่งแวดล้อมที่ดีอันหนึ่งกับกล้าณรงค์ สิ่งที่เธอวางแผนทุกอย่างก็เพื่อกล้าณรงค์ รวมทั้งที่เธอลงมือกับพวกเรา ลงมือกับตระกูลโตเล็ก ที่บอกว่าทำเพื่อธิดา อยากจะเอาทุกอย่างที่เป็นของธิดาคืน หรือจะพูดว่าแพรวาใช้ธิดาเป็นข้ออ้าง แล้วกะว่าอยากจะเอาตระกูลโตเล็กไปทั้งหมดแล้วค่อยมอบให้กับกล้าณรงค์ซะมากกว่า”
พอได้ยินบุริศร์พูดแบบนี้ นรมนก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาทันทีเลย
“ทำไมคุณถึงคิดแบบนี้ล่ะคะ? ธิดาก็เป็นลูกสาวของแพรวาเหมือนกันนี่คะ”
บุริศร์ส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “ในตอนที่แพรวาวางกับดักใส่เชษฐ์นั้น ก็รู้ว่าเชษฐ์เป็นคุณชายรองของตระกูลโตเล็กแล้ว และอีกอย่างเชษฐ์ทำเรื่องราวมากมายเพื่ออชิระขนาดนั้น แพรวาที่อยู่ข้างกายก็จะต้องเห็นได้ชัดเจนอยู่แล้ว จากความฉลาดของเธอ ก็จะต้องเข้าใจอยู่แล้วว่าถึงแม้เธอจะตั้งท้องลูกของเชษฐ์ เชษฐ์ก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรเพื่อเธอแน่ หนำซ้ำอาจจะยิ่งเกลียดเธอมากขึ้น แต่ว่าเธอก็ยังทำแบบนั้น เพราะอะไรล่ะ? ยังมีอีกอย่าง จากที่เธอเข้าใจในตัวเชษฐ์ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าธิดาเกิดมาแล้วจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง แต่เธอกลับไม่ได้ถอยหนี แต่เลือกที่จะคลอดธิดาออกมาภายใต้สายตาของเชษฐ์ และที่สำคัญยังปล่อยให้เชษฐ์เอาธิดาไปทิ้งโดยไม่ห้ามปรามอะไรเลย เพราะอะไรล่ะ?”
นรมนโดนบุริศร์ถามว่าทำไมติด ๆ กันอันแล้วอันเล่าจนมึนงงไปเลย
“ไม่ใช่ซิ คุณรอเดี๋ยว ทำไมอันแรกฉันจะยังไม่คิด มาพูดทำไมอันที่สองกัน อะไรทำให้คุณรู้สึกว่าแพรวาสามารถหนีรอดไปจากเงื้อมมือของเชษฐ์ได้?”
บุริศร์รู้สึกว่าภรรยาตัวน้อยของตัวเองเข้าถึงทางตันแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา “คุณลืมไปแล้วเหรอ ตอนแรกแพรวาและอชิระได้ออกมาจากบ้านเด็กกำพร้าพร้อมกับเชษฐ์ และแพรวาก็เป็นเพื่อนสนิทของอชิระ ถ้าเธอไม่มีความปรารถนาอะไรต่อเชษฐ์ละก็ เชษฐ์ก็จะต้องเทิดทูนเธอให้ราวกับเป็นแขกพิเศษคนหนึ่ง ในเมื่ออชิระไม่ได้มีเพื่อนเยอะ มีเธออยู่เป็นเพื่อน อชิระก็จะได้มีความสุขมากขึ้นไม่ใช่เหรอ? เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าแพรวาจะวางกับดักใส่เชษฐ์ ได้นอนกับเขาแล้ว แต่ว่าด้วยนิสัยของเชษฐ์แล้ว ไม่ก็ต้องจัดการเธอให้ตาย หรือไม่ก็ไล่เธอไปซะ แต่ว่าคุณไม่รู้สึกแปลกเหรอ? จากคนอย่างเชษฐ์ เขากลับไม่ฆ่าแพรวาให้สิ้นซาก แต่เพียงแค่กักขังเธอไว้ แล้วก็บอกกับทางอชิระว่าแพรวาได้ออกไปจากเกาะแล้ว นี่มันเป็นเพราะอะไรล่ะ?”
พอโดนบุริศร์ถามกลับมาอย่างนี้ นรมนถึงรู้สึกได้ว่าข้างในนี้มันมีจุดแปลก ๆ มากมายเลย
ความรู้สึกที่เชษฐ์มีต่ออชิระนั้นพวกเขาเห็นเองกับตา บุริศร์พูดได้ถูกต้อง แพรวาวางกับดักใส่เชษฐ์ จากนิสัยของเขาไม่มีทางที่จะปล่อยให้เธอมีชีวิตรอดแน่ ในเมื่อฆ่าแพรวาแล้วค่อยบอกกับอชิระว่าเธอออกไปจากเกาะแล้วก็เหมือนกัน แต่ว่าเชษฐ์กลับปล่อยให้แพรวามีชีวิตอยู่ต่อ ไม่เพียงมีชีวิตเท่านั้น ยังปล่อยให้เธอคลอดธิดาออกมาอีก แค่นี้ก็มากพอที่จะพูดได้แล้วว่าในมือของแพรวาจะต้องกุมความลับอะไรของเชษฐ์ไว้แน่ จนทำให้เชษฐ์ไม่รู้สึกเกรงกลัวเธอไม่ได้
งั้นตกลงเชษฐ์เกรงกลัวอะไรแพรวากันแน่?
ถ้าหากที่บุริศร์เดามาทั้งหมดถูกต้อง แพรวาคลอดธิดาออกมาก็แค่เอามาบังหน้า แล้วที่ทำทั้งหมดก็เพื่อลูกชายกล้าณรงค์คนนี้เท่านั้นละก็ งั้นเรื่องราวต่อจากนั้นก็คุ้มที่จะไปขุดขุ้ยดี ๆ สักหน่อยแล้ว
น่าเสียดายที่ตอนนี้เชษฐ์ตายไปแล้ว อชิระก็ตายไปแล้ว เรื่องราวต่อจากนั้นมีอะไรบ้างนั้น ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถที่จะรู้ได้แล้ว
นรมนรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง แต่พอนึกถึงความเป็นไปได้ที่ถ้าหากว่ากล้าณรงค์เป็นลูกชายของแพรวาจริง ๆ เธอก็อยากจะลองไปพิสูจน์ดูสักหน่อย
“ตอนนี้อย่าสนเลยว่าเป็นยังไง ฉันแค่อยากรู้เรื่องที่ว่าต้องทำยังไงถึงจะสามารถตรวจสอบได้ว่ากล้าณรงค์เป็นลูกชายแท้ ๆ ของแพรวา จะให้ธิดากับเขาตรวจดีเอ็นเอด้วยกันเหรอ?”
“ไม่ต้องหรอก ระหว่างธิดาและกล้าณรงค์ถึงแม้จะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ในผลตรวจดีเอ็นเอก็จะแสดงออกมาอยู่ดี ทางที่ตรงที่สุดก็คือเอาตัวอย่างดีเอ็นเอของแพรวาและกล้าณรงค์ไปตรวจ”
คำพูดของบุริศร์ทำให้นรมนรู้สึกหงุดหงิดอยู่เล็กน้อย
“คุณล้อเล่นอะไรน่ะ แพรวาตายไปตั้งนานแล้ว หรือว่าคุณจะเอาเถ้ากระดูกของเธอมาทำการตรวจดีเอ็นเอเหรอ?”
บุริศร์ฟังคำประชดของนรมนไปแต่กลับไม่ได้รู้สึกโกรธ แต่กลับหัวเราะแหะ ๆ แล้วพูดขึ้นว่า “มีคนมีตัวอย่างดีเอ็นเอของแพรวา”
“ใครคะ?”
“ราเชน”
บุริศร์พูดขึ้นเสียงเรียบ
“เพราะการตายของซินดี้จึงทำให้ราเชนเกลียดแพรวามาก ก็เลยเอาเธอไปเฉือนสด ๆ และแน่นอนว่าจะต้องเลือกที่ที่ลับมากแห่งหนึ่งมาทำเรื่องอย่างนี้แน่ แพรวานั้นโดนเชือดเฉือน ในขณะที่เธอโดนเฉือนเนื้อทุกชิ้นออกไปนั้นจะต้องมีเลือดสาดกระเซ็นแน่ ถ้าหากหาดี ๆ ก็น่าจะสามารถหาตัวอย่างดีเอ็นเอที่พวกเราต้องการมาได้ เพียงแต่ว่ามีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง พวกเราจะพูดเรื่องนี้กับราเชนยังไง?”
“ก็พูดไปตามความจริงนะซิ”
นรมนกลับไม่ได้คิดมากอย่างบุริศร์
เธอพูดขึ้นตรง ๆ ว่า “เอารูปถ่ายของกล้าณรงค์ส่งไปให้ราเชน ถ้าหากพวกเรายังไม่เคยได้เห็นกล้าณรงค์ละก็ คาดว่าราเชนก็คงจะไม่เคยได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา องค์ชายสามคนนั้นเชื่อใจกล้าณรงค์ซะขนาดนั้น ก็จะต้องปกป้องเขาเป็นอย่างดีแน่นอน พอราเชนได้รูปถ่ายของกล้าณรงค์ไป แบบนี้ถึงจะสามารถเอาตัวอย่างดีเอ็นเอของกล้าณรงค์มาได้อย่างถูกต้อง พอถึงตอนนั้นเรื่องที่พวกเราอยากจะรู้ก็จะได้รู้สักที”
บุริศร์ได้ยินนรมนแยกแยะเช่นนี้ กลับไม่ได้ดีใจมากเกินไป
“เป็นอะไรคะ? ที่ฉันพูดไม่ถูกเหรอคะ?”
นรมนเห็นว่าเขาไม่ได้เห็นด้วยกับตัวเอง ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง
บุริศร์ถามเสียงต่ำขึ้นว่า “ที่คุณพูดมาถูกทุกอย่าง แต่ว่าตอนนี้มีปัญหาที่เป็นจริงมากอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือตกลงราเชนอยากจะช่วยเราหรือเปล่า?”
“หมายความว่าไงคะ?”
นรมนรู้สึกว่ามึนงงขึ้นมาทันทีเลย
เป็นเพราะว่าช่วงที่เธอโดนหนอนพิษ ได้พลาดข่าวสารอะไรไปเหรอ?