เจตต์ได้ยินขวัญตาพูดแบบนี้ ก็รีบพูดเอาตัวรอด “ถ้างั้นสะใภ้บอกว่าแบบไหนก็แบบนั้นแหละ ถึงผิดยังไงก็คือถูก”
“อือ คำพูดนี้ไม่เลว”
หลังจากรู้แล้วว่าพ่อไม่เป็นอะไร ขวัญตาก็อารมณ์ดีขึ้นอย่างมาก ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเจตต์กับบุริศร์ทำอะไรไป แต่ตอนนี้พ่อเธอบอกว่าไม่เป็นอะไรก็คือไม่เป็นอะไร
เธอมองเจตต์ด้วยสายตาซาบซึ้งและขอบคุณ
ดีจริงๆ เลย
ได้แต่งงานกับผู้ชายคนนี้ และอีกอย่างก็ได้เดินร่วมทางกันมาจนถึงจบพิธีแต่งงานที่เธอห่วงที่สุดในชีวิต เธอดีใจจริงๆ
คุณท่านสุรเชษฐเห็นสิ่งที่เจตต์และขวัญตาปฏิบัติต่อกันและกันแล้วนั้น ก็ตกอยู่ในภวังค์โดยไม่รู้ตัว
ระหว่างนั้นคล้ายกับว่าเขาจะเห็นภาพภรรยาของตนเองซ้อนขึ้นมารางๆ
เวลานั้นเธอก็ปลื้มปีติยินดีเช่นนี้ที่ได้แต่งงานกับเขา เฝ้ารอวันที่ลูกหลานจะเต็มบ้าน แต่น่าเสียดายที่เธอไม่มีโชค ไม่มีโอกาสได้เห็นขวัญตาสวมชุดแต่งงานออกเรือนในวันนี้
คุณท่านสุรเชษฐลากมือของขวัญตามา พร้อมกับมองไปที่เจตต์ “เจตต์ ลูกสาวของฉันฉันรู้ดี เธอโดนฉันโอ๋จนเสียคนมาตั้งแต่เด็ก อาจจะมีบางทีที่เอาแต่ใจบ้าง ดื้อรั้นบ้าง นายก็อภัยให้เยอะๆ ลูกสาวฉันมองโลกตามความจริง แต่ก็มีขีดจำกัดเช่นกัน เธอเป็นเด็กดีคนหนึ่ง ถ้าหากวันไหนที่นายไม่รักเธอแล้ว ขอร้องว่าอย่าทำร้ายเธอ เพียงแค่โทรมาบอกฉัน ฉันจะมารักเธอกลับบ้านเอง รับรองได้ว่าจะไม่ทำให้นายลำบาก”
คำพูดนี้ทำให้ขวัญตาร้องไห้สะอื้นหนักทันที
“พ่อ…”
“เด็กดี ไปอยู่บ้านสามีแล้วจะเอาแต่ใจตัวเองแบบเดิมไม่ได้แล้วนะ ต้องเคารพเชื่อฟังพ่อสามี เจตต์เป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง อย่าหาเรื่องมาให้เขาลำบากใจบ่อยนัก งานแต่งงานคือความปรารถนาที่จะจัดขึ้น ทุกคนแต่งงานกันก็เพราะว่าความรัก แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ผ่านไป กลับปล่อยให้ใจเริ่มห่างกันไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ไม่ใช่เพราะว่าวันเวลาที่ทำให้ความตื่นเต้นเร้าใจของพวกเธอหายไป แต่เป็นเพราะเรื่องเล็กๆ ที่ไม่ยอมพูดคุยเคลียร์กันต่างหาก ที่ค่อยๆ สะสมกันจนเกิดเป็นความคับใจ จึงทำให้ความรักที่หวานชื่นแปรเปลี่ยนไปเช่นนี้ เด็กน้อยเอ๋ย ไม่ว่าใจลูกจะคิดยังไง ไม่ว่าลูกจะโกรธขนาดไหนก็ต้องสื่อสารพูดคุยกันกับเขา เพียงแต่ต้องคุยกันให้ดีแล้วพวกลูกจึงจะผ่านไปได้ดี หากมีวันไหนที่ลูกไม่สามารถข้ามผ่านไปได้จริงๆ แล้ว ไม่ต้องกลัว! ลูกยังมีพ่อ! ลูกยังมีครอบครัวฝั่งนี้ เพียงแค่ลูกกลับมา ไม่ว่าลูกจะโตขนาดไหนลูกก็ยังเป็นเด็กในใจพ่อเสมอ”
คำพูดของคุณท่านสุรเชษฐรอบนี้ทำให้จิตใจของคนเป็นพ่อที่มีลูกสาวที่อยู่ในงานนั้นเริ่มอยู่ไม่สงบ
ว่ากันว่าการแต่งงานมีลูกนั้น บ้านฝ่ายชายจะยินดี บ้านฝ่ายหญิงจะเป็นทุกข์ ประโยคนี้ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย
เป็นอีกครั้งที่ขวัญตาอดไม่ไหวที่จะวิ่งไปกอดคุณท่านสุรเชษฐพร้อมร้องไห้ออกมาไม่หยุด
เจตต์นั้นซาบซึ้งเป็นอย่างมาก
เขาคุกเข่าทั้งสองข้างลงต่อหน้าคุณท่านสุรเชษฐ
“พ่อครับ พวกเราตระกูลรัตติกรวรกุลผมเป็นคนรับผิดชอบดูแล พ่อของผมก็ได้ไปเที่ยวรอบโลกแล้ว ไม่อยู่บ้าน ไม่สามารถอยู่พูดแบบนี้ในฐานะพ่อสามีได้ จากวันนี้เป็นต้นไปพ่อคือพ่อของผม ผมจะปฏิบัติต่อพ่อเหมือนพ่อแท้ๆ และเคารพรักพ่อแบบที่ขวัญตารัก ว่ากันว่าลูกเขยก็คือลูกชาย จากวันนี้เป็นต้นไปผมยินดีที่จะเป็นลูกชายพ่อครับ ถ้าหากในอนาคตมีวันไหนที่ผมทำผิดหรือเดินทางผิด ขอให้พ่อสั่งสอนผมเหมือนกับที่สอนลูกพ่อ ส่วนขวัญตา ผมเจตต์คนนี้เอาชีวิตเป็นประกัน ถ้าผมยังมีชีวิตอยู่ ขวัญตาอยู่บ้านใช้ชีวิตแบบไหน อยู่ที่ตระกูลรัตติกรวรกุลก็จะเป็นเช่นนั้น จุดนี้ขอให้พ่อสบายใจได้ ถ้าหากว่าพ่อไม่สบายใจจริงๆ สามวันผมจะพาขวัญตากลับมาเยี่ยม ของเพียงแค่พ่อไม่รังเกียจพวกเราก็พอ”
คำพูดของเจตต์แสดงความหมายลึกซึ้งและชัดเจนทุกอย่าง
ขวัญตาและคุณท่านสุรเชษฐตะลึงทั้งคู่
จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร?
นี่จะไม่กลายเป็นว่าฝ่ายชายมาอยู่บ้านฝ่ายหญิงเหรอ?
แม้จะไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น แต่ถ้ามีคนเอาเรื่องนี้ออกไปพูดก็คงจะไม่น่าฟังเท่าไหร่
แม้เจตต์จะไม่ใช่คุณชายทั้งสี่ของเมืองชลธี แต่ตำแหน่งในเมืองชลธีนั้นก็นับว่าเป็นที่รู้จักของทุกคน ตอนนี้ถ้าหากบอกทุกคนว่ามีคนที่มีชื่อเสียงและอิทธิพลเช่นนี้แต่งงานและย้ายเข้ามาอยู่บ้านตระกูลปวนะฤทธิ์ฝั่งเจ้าสาวเช่นนี้ คงจะดูผิดธรรมดาไปหน่อย?
ขวัญตายังคงตกตะลึง
เธอดูออกว่าเจตต์คิดเช่นนั้นจริงๆ ไม่ได้กำลังแสดง
ชั่วพริบตานั้นดวงตาของเธอก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
“เจตต์!”
เจตต์ยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน
คุณท่านสุรเชษฐได้ฟังเพียงเท่านี้ ยังจะมีอะไรให้น่าห่วงได้อีกล่ะ
“เรื่องกลับมาอยู่นั้นช่างมันเถอะ หนุ่มสาวสมัยนี้ฉันเข้าใจดี มาอยู่กับคนแก่อย่างฉันนั้นก็คงจะไม่เป็นอิสระเท่าไหร่นัก ฉันรู้ว่าพวกเธอมีทรัพย์สินมากมาย อีกทั้งคุณท่านตนุวรยังยกบ้านอีกหลังให้พวกเธอไว้เป็นเรือนหอใช่ไหม? ฉันคงไม่ให้พวกเธอกลับมาอยู่หรอก เพียงแค่ตอนที่พวกเธอว่างแล้วกลับมาหาฉันบ้างก็พอแล้ว”
เจตต์ยิ้มพร้อมพูด “พ่อครับ พ่อกลัวผมกลับมากินข้าวบ้านพ่อแล้วไม่จ่ายเงินเหรอ? ไม่ต้องกังวล ผมจะจ่ายค่าอาหารทั้งหมดเอง”
ประโยคนี้เต็มไปด้วยความหยอกล้อ แต่คุณท่านสุรเชษฐดูออกว่าเจตต์นั้นอยากจะกลับมาอยู่ที่นี่กับขวัญตาจริงๆ
ตอนนั้นเองในใจของคุณท่านสุรเชษฐรู้สึกตื่นเต้นมาก
ถ้าเกิดว่าเลือกได้ ใครจะอยากให้ลูกสาวแต่งงานออกจากบ้านกัน?
เลี้ยงดูฟูมฟักมาตั้งยี่สิบกว่าปี แต่เพียงชั่วข้ามคืนก็กลายเป็นสะใภ้บ้านอื่นแล้ว ไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยแถมยังไม่รู้ว่าจะสามารถปรับตัวได้ไหม จะเข้ากับทางฝั่งครอบครัวฝั่งสามีได้หรือเปล่า จะเหงาไหม?
เรื่องน่ากังวลใจพวกนี้ คนเป็นพ่อที่ไหนจะไม่ห่วงบ้างล่ะ?
แต่ถ้าหากลูกสาวพาลูกเขยเข้ามาอยู่บ้านตัวเองล่ะก็ การใช้ชีวิตของลูกสาวก็จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย รอบข้างก็ล้อมรอบไปด้วยผู้คนที่คุ้นเคย สำหรับลูกสาวแล้วคงจะดีที่สุด
แต่น้อยนักที่จะมีผู้ชายยอมทำแบบนี้
สายตาที่คุณท่านสุรเชษฐมองไปที่เจตต์นั้นแตกต่างออกไปเล็กน้อย
“พวกเธอนั้นก็มีบ้านอยู่เป็นของตัวเองไม่ใช่เหรอ?”
“ตอนนี้ยังคงปรับปรุงตกแต่งอยู่นะ? ผมกับขวัญตายังคิดไม่ออกว่าจะตกแต่งออกมาเป็นแบบไหนดี คอนโดผมก็ยังไม่ได้จัดการเก็บกวาด วันนี้คงกลับไปอยู่บ้านเก่าของตระกูลผมก่อนชั่วคราว แต่ว่าบ้านเก่าของตระกูลผมนั้นเป็นที่ไว้สำหรับให้พ่อผมอยู่ในตอนเกษียณ ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าพ่อจะกลับมาตอนไหน แต่มันคงไม่ดีถ้าจะทำให้พ่อผมรู้สึกว่าตัวเขานั้นไม่มีบ้านให้กลับ ใช่ไหม? ดังนั้นผมกับขวัญตาคงต้องกลับมาขอความเมตตาจากพ่อตาแล้วล่ะครับ”
เจตต์พูดแบบไม่ปล่อยให้มีช่องโหว่
ขวัญตาเพิ่งจะพบว่าเขาจริงจังจริงๆ เวลานี้จึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
รอบข้างนั้นพากันร่วมยินดีที่คุณท่านสุรเชษฐได้ลูกเขยดีแบบนี้
ครั้งนี้คุณท่านสุรเชษฐยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่สุขสราญ
“ขอให้ความสุขนี้ส่งกลับคืนสู่ทุกคนเช่นเดียวกัน! วันนี้อีกชั่วครู่จะไปโรงแรมแล้ว ขอให้ทุกคนทานดื่มกันได้เต็มที่เลยนะ ตระกูลปวนะฤทธิ์ขอขอบคุณทุกคนมากที่มากันในวันนี้”
รอบข้างนั้นมากมายไปด้วยความปลื้มปีติ ยินดี
ช่างแต่งนั้นพยายามจะแอบออกไปแบบเงียบๆ แต่พอถึงประตูก็มีคนมาขวางทางไว้ จากนั้นก็ปิดปากเธอแล้วลากเธอออกไป
นรมนมองไปรอบๆ ตัว พร้อมกวักมือเรียก แล้วก็มีช่างแต่งหน้าคนใหม่มาปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอ
“เข้าไปแล้วแต่งหน้าให้เจ้าสาว ทำให้ดีๆ อย่าให้ผิดหวังล่ะ”
ช่างแต่งหน้ารีบพยักหน้า สายตานั้นเต็มไปด้วยความดีใจ
ไม่ว่าจะเป็นเจตต์หรือบุริศร์ที่ให้เงิน ยังไงพวกเขาก็ล้วนเป็นผู้มีอำนาจในเมืองชลธีทั้งคู่ ตราบใดที่เธอทำได้ดี ก็ไม่ต้องกังวลว่าหลังจากนี้จะมีธุรกิจหรือไม่?
เธอไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะได้รับโอกาสดีๆ เช่นนี้
ช่างแต่งหน้าเดินเข้าไปยืนอยู่ตรงตำแหน่งที่ช่างแต่งหน้าคนเก่าเคยยืนอยู่
เพราะว่าช่างแต่งหน้านั้นเป็นเพียงบทบาทเล็กๆ ที่ไม่ได้มีใครมาสนใจมากนักในวันสำคัญเช่นนี้ ดังนั้นการเปลี่ยนตัวนี้จึงเป็นไปได้อย่างสงบ
เจตต์และขวัญตาคำนับคุณท่านสุรเชษฐแล้วเจตต์ก็อุ้มขวัญตาขึ้นแล้วออกประตูบ้านไป
เสียงประทัดและปืนด้านนอกนั้นดังกึกก้องทะลุฟ้า ทั้งยังมีเสียงเครื่องดนตรีตีเป่าดังผสมกันขึ้นมาอย่างครึกครื้น
ขวัญตากวาดตามอง เจตต์นั้นก็ไม่รู้จริงๆ ว่ามือกลองและมือทรัมเป็ตนั้นถูกเชิญมาจากไหน รู้ตัวอีกทีก็มายืนบรรเลงอยู่ข้างพวกเขาแล้ว
คุณท่านสุรเชษฐนั้นเตรียมงานพิธีไว้ให้สำหรับขวัญตาเรียบร้อย
พรมสีแดงนั้นปูราดยาวไปไกลสุดสายตา กล่องสินสอดทองหมั้นที่วางเรียงรายนั้นชวนให้คนที่มองเห็นตกตะลึง
“ตระกูลปวนะฤทธิ์นี่เป็นพวกอวดรวยอย่างที่คิดไว้จริงๆ ”
“ถ้ารู้เร็วกว่านี้ว่าตระกูลปวนะฤทธิ์มีเงิน ตอนนั้นฉันคงจะให้ลูกชายเราไปตามจีบคุณขวัญตาแล้ว”
มีชายร่างท้วมพุงพลุ้ยคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความริษยา
คนข้างๆ นั้นก็พูดถากถางเยาะเย้ยขึ้นมาทันที “ก็ลูกของคุณอ้วนเทอะทะแบบนั้น คนอย่างคุณขวัญตาคงไม่มองหรอก จะเอาอะไรเทียบความหล่อเพียบพร้อมของคุณชายเจตต์”
“อย่างลูกฉันเรียกว่าจ้ำม่ำ! จ้ำม่ำ!”
ชายเหล่านั้นกำลังเริ่มปะทะฝีปากกัน
ในสายตาของเจตต์นั้นมองไม่เห็นพวกสินสอดอะไรพวกนั้นเลย เห็นเพียงแค่ท่าทางเหนียมอายและมีความสุขของขวัญตาในตอนนี้เท่านั้น
เขาพูดออกมาด้วยความหลงใหล “ภรรยาตระกูลฉันนี่สวยจัง ราวกับนางฟ้าบนสวรรค์เลย”
ประโยคนี้ช่างดูคร่ำครึ ยิ่งไปกว่านั้นมุมปากเขาก็กระตุกขึ้น ยิ้มอย่างทึ่มๆ เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคนรอบข้างขึ้นมาในทันที
“คุณชายเจตต์ นี่คุณดีใจจนเกินไปแล้วใช่ไหม?”
“อาจจะใช่ ได้แต่งงานกับขวัญตา ชีวิตของฉันก็สมบูรณ์แล้ว”
เจตต์ก็พูดประโยคนี้ออกมาด้วยเสียงดังๆ ทันที จากนั้นก็อุ้มขวัญตาขึ้นรถแต่งงานไป
รถหรูหราสิบหกคันนั้นก็บรรเลงเสียงเครื่องเป่าขึ้นมาทันที
รถแต่งงานของเจตต์นั้นอยู่คันแรก ค่อยๆ ขับผ่านท่ามกลางผู้ที่ร่วมกันแสดงความยินดีและยิ้มอย่างเบิกบาน
ขวัญตายื่นมือออกมา แล้วกุมมือของเจตต์ไว้แน่น
ฝ่ามือของเธอเปียกชุ่มและดูประหม่ามาก
เจตต์พูดด้วยความเอ็นดู “ไม่ต้องกังวล พ่อของพวกเราไม่เป็นอะไร บุริศร์ให้ยาถอนพิษไว้และเขาก็กินไปแล้ว ตอนนี้พิษถูกถอนออกแล้ว รอพรุ่งนี้พวกเราค่อยกลับบ้านไปอยู่เป็นเพื่อนเขากันนะ”
“พรุ่งนี้เหรอ? ไม่ใช่สามวันค่อยกลับแล้วเหรอ?”
“พรุ่งนี้พวกเราจะไปเข้าพิธียกน้ำชากับคุณตา จากนั้นก็ไม่มีธุระอะไรแล้ว แต่ฉันก็ไม่ได้ทำเพื่อเอาหน้า ในสถานการณ์แบบนี้เธอเองก็เป็นห่วงพ่อ เพราะฉะนั้นก็ไปพรุ่งนี้เลยจะดีกว่า ฉันคุยกับคุณตาแล้วเรียบร้อย รอพรุ่งนี้พวกเราก็ค่อยย้ายไปบ้านเธอ ไปอยู่เป็นเพื่อนพ่อ ปีใหม่ที่ผ่านๆ มาเธอก็ฉลองที่บ้านตลอด ปีนี้ทุกคนอยู่ไม่ไกลกันมากเท่าไหร่ค่อยกลับไปปรึกษาหารือกัน ไม่ก็ไปฉลองรวมกัน ไม่ก็พวกเราสองคนก็ลำบากหน่อยวิ่งไปทั้งสองที่เลย ไม่สามารถใช้เหตุผลที่เพราะครอบครัวเธอให้กำเนิดลูกสาว จึงจะต้องให้พ่อฉลองปีใหม่อยู่บ้านเหงาๆ คนเดียว”
คำพูดของเจตต์นั้นเหมือนพูดแทนความในใจลึกๆ ของขวัญตาแล้ว
เธอไม่คิดเลยว่าเจตต์ที่ปกติจะไม่ค่อยพูด เมื่อถึงเวลาต้องจัดการเรื่องพวกนี้เขาแทบจะจัดการทุกอย่างแทนเธอและบ้านของเธอเลยด้วยซ้ำ
“แต่แบบนี้จะไม่ค่อยดีหรือเปล่า? คนอื่นจะเอาไปนินทาได้นะ”
“วันของพวกเรา พวกเราก็ผ่านกันมาเอง เธอสนว่าคนอื่นจะพูดอะไรเหรอ ยิ่งไปกว่านั้นฉันไม่มีญาติที่ไหนแล้ว แม่ก็ไม่อยู่แล้ว พ่อก็ไม่รู้ว่าเที่ยวไปอยู่ส่วนไหนของโลกแล้ว ตอนนี้ก็เหลือเพียงคุณตาคนเดียว แล้วก็นรมนและบุริศร์ที่อยู่เป็นเพื่อน พวกเราเพิ่งแต่งงานกัน เช่นนั้นก็ควรจะให้เวลาส่วนตัวซึ่งกันและกันสักหน่อยใช่ไหม? จะไปเหมือนกับพวกเขาได้ยังไง แต่งงานกันมาเจ็ดแปดปีแล้ว ลูกก็วิ่งอยู่เต็มบ้านแล้ว แต่พวกเรายังคงต้องพยายามเพื่อที่จะมีลูกต่อไปเนอะ?”
เจตต์พูดเช่นนี้ทำให้ขวัญตาหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา
“คุณพูดอะไรน่ะ?”
“ตอนนี้ยังเขินอยู่เหรอ? เธอเป็นของฉันแล้ว ขวัญตา”
เจตต์กอดเธอไว้แน่นในอ้อมแขน และอดไม่ได้ที่จะก้มลงจูบเธอในทันที
จูบของเขาช่างร้อนแรงและดุเดือด จนอีกเพียงนิดเดียวขวัญตาก็จะคุมตัวเองไว้ไม่อยู่
“เลิกจูบได้แล้ว ปากของฉันโดนคุณกินไปหมดแล้วเนี่ย อีกประเดี๋ยวลงรถแล้วโดนคนมองก็ทำตัวไม่ถูกหรอก”
ขวัญตาพูดด้วยความเขินอายเล็กน้อย
เจตต์ยิ้มแล้วพูด “วันนี้เธอใหญ่ที่สุด ใครกล้าพูดอะไรให้เธอ ถ้าใครกล้าพูด เธอก็รอดูละกันว่าฉันจะจัดการกับเขายังไง”
ขวัญตายิ้มออกมาในทันที
จู่ๆ เสียงรถก็ดังขึ้น แล้วรถก็หยุดทันที