กิจจา!
นรมนรีบวิ่งเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว มองหาตัวของกิจจาไปทั่ว
“มีอะไรเหรอ?”
บุริศร์เห็นท่าทางตื่นตระหนกของนรมน ก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้ามาคว้าตัวเธอไว้
“คุณเห็นกิจจาไหม?”
เมื่อนรมนเห็นบุริศร์ ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา เหมือนกับว่าที่ไหนที่มีเขาเธอก็เหมือนมีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจอยู่ด้วย
บุริศร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย
กิจจาเหรอ?
เหมือนเมื่อครู่เพิ่งบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แต่ว่านี่ก็ผ่านมาสักพักแล้วนะ
“ผมจะลองไปหาดู”
“ฉันจะไปกับคุณด้วย เมื่อกี้พี่ราเชนเพิ่งโทรมา บอกว่ากล้าณรงค์คิดจะลงมือกับคนใกล้ตัวพวกเรา ให้พวกเราระวังเด็กๆ ไว้ ฉันก็เพิ่งพบว่ากิจจาหายไป ฉันเป็นแม่ที่ไม่ดีเลย ฉันลืมกิจจาไปเลย ฉันควรจะไปห้องน้ำเป็นเพื่อนเขา”
นรมนโทษตัวเอง
วันนี้เป็นวันแต่งงานของเจตต์ พวกเขาคิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันไว้มากมายและเตรียมความพร้อมไว้เต็มที่แล้ว แต่เหตุการณ์เดียวที่ไม่ได้เตรียมป้องกันคือการที่ฝั่งตรงข้ามนั้นจะลงมือกับเด็กๆ
บุริศร์เห็นนรมนกำลังจะร้องไห้ ก็รีบพูดปลอบ “ไม่ใช่ความผิดของคุณ คุณคนเดียวความคิดมีจำกัด เรื่องที่คิดไม่ถึงนั้นมีเยอะ นี่เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น เชื่อผมว่ากิจจาจะไม่เป็นอะไร ไปกัน พวกเราไปดูกัน”
“โอเคค่ะ”
ทั้งสองสามีภรรยารีบมุ่งไปที่ห้องน้ำ
เพราะว่าเป็นช่วงเวลาของงานเลี้ยงแต่งงาน บริเวณรอบๆ ห้องน้ำจึงมีคนวนเวียนมาไม่ขาดสาย แต่สำหรับนรมนและบุริศร์นั้น นี่ไม่ใช่ข่าวดีเลย
เพราะว่านี่อาจเป็นได้อย่างมากว่ากิจจาจะโดนคนอุ้มไปโดยไม่มีใครทันสังเกตเห็น
บุริศร์มองไปที่นรมน พูดกับเธอเบาๆ ว่า “คุณรอผมข้างนอกนะ ผมจะเข้าไปดูข้างใน”
“โอเคค่ะ”
นรมนพยักหน้า
หลังจากที่บุริศร์เข้าไป เข้าก็หาค้นหาไปทั่วทุกที่ แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของกิจจา เพียงแต่พบกระดุมเสื้อของกิจจาตกอยู่บนพื้น
สีหน้าของเขาก็เริ่มบึ้งตึง
นึกไม่ถึงเลยว่าจะลงมือกับเด็กจริงๆ
กล้าณรงค์!
ทางที่ดีแกควรสาบานว่าลูกฉันไม่เป็นอะไร ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วละก็ต่อให้ต้องไปถึงประเทศF ฉันก็จะตามไปสับแกให้แหลกเป็นชิ้นๆ !
นรมนเห็นบุริศร์เดินออกมาโดยที่ไม่มีกิจจาออกมาด้วย ก็รู้เลยว่าการคาดการณ์ของเธอเป็นเช่นนั้นจริงๆ
“ฉันจะไปหากิจจา”
นรมรพูดพร้อมกับจะเดินออกไปข้างนอก แต่กลับถูกบุริศร์คว้าตัวไว่ก่อน
“เหตุการณ์วันนี้ไม่เหมาะที่คุณจะออกไป ยิ่งไปกว่านั้นคนของกล้าณรงค์คงกำลังจับตาดูพวกเราอยู่แน่ๆ ถ้าพวกนั้นไม่ได้จับกิจจาไป การที่พวกเราออกไปแบบนี้ก็เหมือนเป็นการเตือนพวกมัน ถึงเวลานั้นเกรงว่ากิจจาจะยิ่งเป็นอันตราย”
“แต่ว่า…”
สมองของนรมนสับสนวุ่นวายไปหมด
บุริศร์โอบกอดเธอไว้แน่นในอ้อมแขน พร้อมพูดเบาๆ “นรมน ผมรู้ว่าคุณเป็นห่วงกิจจา ผมก็เป็นห่วงเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสับสนวุ่นวาย คุณฟังที่ผมพูดนะ พวกเราจะโทรหาคุณป้าของคุณ เรื่องนี้มีเพียงคุณป้าเท่านั้นที่จะช่วยหาทางออกได้ ถ้าเกิดว่ากิจจาโดนคนของกล้าณรงค์จับตัวไปจริงๆ เธออยู่ในประเทศFมานาน มิลินก็เป็นครูของกิจจา คงไม่นั่งมองเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรแน่ พวกเขาจัดการคงจะดีที่กว่าพวกเราที่ไม่มีหนทางอะไรเลย”
ได้ยินบุริศร์พูดเช่นนี้ นรมนก็อุ่นใจขึ้นมาได้บ้าง
“ใช่ใช่ใช่ คุณป้ากับมิลิน ฉันลืมพวกเขาไปเลย”
นรมนพูดพร้อมกับรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหานงลักษณ์และมิลิน พร้อมอธิบายเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้ฟังแบบกระชับ
ทางด้านนงลักษณ์ก็บอกว่าจะช่วย ถ้าหากว่าหากิจจาเจอแล้วจะรีบติดต่อนรมนมาในทันที ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมิลิน เธอนั้นปฏิบัติกับกิจจาเปรียบเสมือนลูกของเธอจริงๆ
หลังจากวางสายไป นรมนก็ยังไม่ค่อยวางใจ
นี่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว กิจจาสวมใส่เสื้อผ้าเพียงนิดเดียว ไม่รู้ว่าจะหนาวแค่ไหน
ในใจของบุริศร์ก็ร้อนรนเช่นกัน เขามองไปรอบๆ พร้อมกับจับมือนรมนแล้วพูด “กลับกันเถอะ พวกเราออกมานานขนาดนี้คนอื่นอาจจะสงสัยเอาได้”
“ค่ะ”
นรมนพยักหน้า แต่ดวงตาของเธอนั้นกลับเยือกเย็นขึ้นมา
กล้าณรงค์!
ผู้ชายคนนี้มันสมควรตายจริงๆ
หลังจากกลับมาถึงที่นั่ง แม้ว่าบรรยากาศในงานโดยรอบจะเต็มไปด้วยความรื่นเริงแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจทำให้นรมนมีอารมณ์ร่วมไปด้วยได้
เธอรู้ว่าการที่เป็นแบบนี้เหมือนไม่ให้เกียรติเจตต์กับขวัญตา แต่จะให้ทำยังไงได้?
ลูกชายเธอหายไปทั้งคน
ตอนนี้เรื่องอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากิจจา
ทางฝั่งกิจจานั้นโดนคนทำให้หมดสติอยู่ในห้องน้ำ ตอนที่เขากำลังจะตอบโต้ก็คงดมยาสลบเข้าไปเยอะมากแล้ว ถึงยังไงเขาก็คือเด็ก ไม่ได้แข็งแรงจนสามารถต้านฤทธิ์ยาได้ขนาดนั้น และก่อนที่จะสลบไปกิจจาก็โมโหจนสบถคำหยาบคายออกมา
เมื่อตอนเขาตื่นฟื้นขึ้นมา เขาก็อยู่บนรถแล้ว
รถสั่นไปมา และทั้งมือทั้งเท้าก็โดนมัด ปากก็ถูกยัดด้วยผ้าเก่าๆ เหมือนกับฉากโดนลักพาตัวที่เห็นในโทรทัศน์ชัดๆ เลย
กิจจาอยากจะกลอกตาอย่างเอือมระอา
รถคันนี้เป็นรถตู้ราคาถูกๆ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวปลา อีกทั้งเชือกที่มัดเขาไว้นั้นหยาบซะจนทำให้กิจจารู้สึกว่ามือและเท้านั้นเจ็บแสบไปหมด
นี่มันคือพวกคนโง่
กิจจาพยายามออกแรงสะบัดหัว แต่ก็ได้ยินเสียงผู้ชายสองคนด้านหน้ากำลังเริ่มพูดคุยกัน
“พี่ใหญ่ พี่ว่าพวกเราลักพาตัวเด็กน้อยคนนี้มาแล้วจะได้เงินจริงๆ เหรอ? วันนี้เป็นวันแต่งงานของคุณชายเจตต์ คนที่ไปก็มีแต่คนใหญ่คนโต เด็กคนนี้ใส่เสื้อผ้าดีขนาดนี้ จะใช่ลูกชายคนมีตังค์บ้านไหนหรือเปล่านะ?”
“แกจะสนใจทำไมว่าเขาคือใคร มีคนจ่ายเงินเพื่อจ้างพวกเราให้ไปลักพาตัวเด็กคนนี้มา พวกเราแค่ทำตามนั้นก็พอแล้ว ใครใช้ให้นายไปติดหนี้เยอะขนาดนั้น ถ้าไม่ลักพาตัวเขา นายจะยอมให้คนอื่นตัดแขนตัดขาไปหรือไง? พวกเราก็แค่คนส่งอาหารทะเลให้ห้องครัว จะสืบหายังไงก็คงสืบตามตัวเราไม่เจอหรอก”
คนขับรถนั้นคือพี่ใหญ่ที่กำลังด่าพึมพำอยู่
กิจจารู้สึกว่าตัวเองนั้นโชคร้ายสุดๆ
ถ้าโดนมืออาชีพลักพาตัวมาก็ว่าไปอย่าง คิดไม่ถึงว่าจะโดนคนขายอาหารทะเลลักพาตัวมา ถ้าเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไปเขากิจจาคนนี้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
กิจจาพยายามจะดิ้น แต่ก็ดิ้นไม่หลุด เขาพยายามทำให้ตัวเองสงบลงแล้วคิดถึงตอนฝึกทหารที่ครูฝึกสอนวิธีให้ปลดเชือกด้วยตนเอง
เขาค่อยๆ ทำตามวิธีนั้นอย่างช้าๆ ไม่นานนักเชือกที่มือก็ค่อยๆ คลายออกแล้ว
กิจจาไม่ได้ส่งเสียงรบกวนพวกเขา
เขาล้วงขวดเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋ากางเกง จากนั้นก็เอาผ้าที่ยัดปากนั้นมาอุดปากและจมูกตัวเองเอาไว้ แล้วเปิดฝาขวดเล็กๆ นั้น
แล้วกลิ่นหอมๆ ก็ค่อยๆ ลอยออกมาจากขวดเล็กนั้น
“เอ๊? กลิ่นอะไร? ทำไมหอมจัง! พี่ใหญ่ พี่ได้กลิ่นหรือเปล่า?”
ผู้ชายคนที่ติดหนี้หนักนั้นถามขึ้นมา
กิจจากลัวว่าพวกเขาจะรู้ว่าตัวเองตื่นแล้ว จึงรีบกลับไปอยู่ที่เดิมแล้วแกล้งทำเป็นหลับตาลงดังเดิม
พี่ใหญ่ก็ได้กลิ่นแล้วเช่นกัน
เขาหยุดรถ จากนั้นก็ข้ามไปมองข้างหลัง ก็เจอว่ากิจจายังคงนอนหลับอยู่ พร้อมพูดอย่างไม่สามารถอธิบายได้ “แปลก กลิ่นอะไรนะ? เป็นไปได้ไหมที่พวกคนรวยถึงขนาดจะฉีดน้ำหอมบนตัวลูก? ตอนมัดมือยังไม่เห็นได้กลิ่นเลย”
“เอ๊ะพี่ใหญ่ เราลักพาตัวเขาที่ในห้องน้ำ กลิ่นที่ได้กลิ่นตอนนั้นเดาว่าคงจะมีแต่กลิ่นอุจจาระนะ? ยิ่งไปกว่านั้นบนรถพวกเรานี้ก็เป็นกลิ่นของอาหารทะเลทั้งนั้น จะไม่ได้กลิ่นก็คงไม่แปลก ตอนนี้เปิดหน้าต่าง ไม่แน่ว่าอาจจะฉีดน้ำหอมลงบนตัวจริงๆ ก็ได้ กลิ่นมันคงจะตีกันขึ้นมาแหละ”
ชายคนที่ติดหนี้หนักพูดขึ้น
ทั้งสองคนนั้นไม่ได้เห็นกิจจาอยู่ในสายตา
เด็กเมื่อวานซืนสี่ขวบคนเดียว สำหรับผู้ชายแรงเยอะแข็งแรงสองคนนี้จะไปสู้อะไรได้ล่ะ?
แม้พี่ใหญ่จะยังคงสงสัยอยู่เล็กน้อย เพียงแต่คิดกลับไปกลับมาก็คิดไม่ออก เพียงแค่ใช้ฝ่ามือตีไปบนหัวน้องชายเบาๆ พร้อมพูด “ใครให้แกเปิดหน้าต่าง? ถ้าหากว่าเด็กนี่โดนลมพัดจนตื่นจะทำยังไง?
“ไม่เปิดหน้าต่างก็อบอ้าวตายกันหมดนี่พอดี รถนี้มีแต่กลิ่นปลา”
“แกนี่เรื่องมากจริงๆ ”
พี่ใหญ่พูดอย่างหงุดหงิด จู่ๆ ก็รู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย
“เจ้ารอง แกรู้สึกไหมว่าเริ่มเวียนหัว?”
พี่ใหญ่เพิ่งจะพูดจบ ก็เห็นเจ้ารองนอนคว่ำหน้าลงที่คอนโซลหน้ารถเสียงดังตุ๊บ
“เจ้ารอง!”
พี่ใหญ่เริ่มไม่ค่อยรู้สึกตัว แต่ก็ยังเปิดประตูรถออก ทั้งตัวนั้นโงนเงน แล้วฟุบลงที่บนพวงมาลัยรถ
กิจจาเห็นพวกเขาเช่นนั้นแล้ว ก็รีบเปิดประตูลงรถไป แล้ววิ่งหนีไปทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ที่นี่น่าจะเป็นชานเมืองแล้ว
กิจจาคิดได้ว่าคงหาตัวเขาไม่เจอแล้ว ไม่รู้ว่านรมนและบุริศร์จะร้อนใจขนาดไหนแล้ว จำเป็นต้องคิดหาที่ที่มีโทรศัพท์เพื่อโทรบอกพวกเขาแล้วแจ้งความ
วิ่งไปวิ่งไป เขาก็มองเห็นบ้านไม้เล็กๆ ดูแล้วน่าจะเป็นที่สำหรับคนเขาอยู่
แล้วกิจจาก็มองไม่เห็นที่อื่นแล้ว จึงรีบวิ่งเข้าไปเคาะเพื่อขอความช่วยเหลือ
เพียงแต่เรื่องที่คาดเขาไม่คาดคิดนั่นก็คือ คนที่เปิดประตูออกมาทันทีนั้นคือนภดล
ตอนที่นภดลเห็นกิจจานั้นก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“กิจจา ทำไมหนูมาอยู่ที่นี่ได้?”
“คุณอานภดลเหรอครับ? โชคดีจริงๆ คุณอานภดลครับ ผมถูกคนลักพาตัวมา เพิ่งจะหนีออกมาได้ คุณอารีบโทรหาแด๊ดดี้หม่ามี้เร็ว พวกเขาจะได้ไม่ต้องกังวล”
กิจจาพูดแบบหอบๆ
“รีบเข้ามาๆ ”
นภดลได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็รู้เลยว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่แล้ว
เขาพากิจจาเข้ามาในห้อง แต่ก็มองเห็นคุณนายตระกูลจันทรวงศ์ยืนเท้าเอวถลึงตามองพวกเขาแล้วพูดว่า “เด็กน้อยมาจากไหน? รีบไล่เขาออกไป! ห้องนอนนี้เล็กจะตาย แค่พวกเราก็นอนไม่พอแล้ว คุณยังจะพาเด็กน้อยคนนี้เข้ามาอีก นภดล คุณอยากจะมีปัญหาเหรอ? คุณก็ไม่คิดบ้าง ว่าที่พวกเราตกต่ำมาถึงขนาดนี้เพราะใครทำร้าย? ถ้าไม่ใช่เพราะว่าคุณไม่มีความสามารถ พวกเราจะได้มาอยู่ในบ้านเก่าๆ ชำรุดแบบนี้ไหม?”
“พอได้แล้ว เธอพูดให้น้อยลงสักหน่อยเถอะ”
ดร.ฐานทัตพูดตำหนิภรรยาอย่างรำคาญเล็กน้อยไปหนึ่งคำ
ในเย็นวันเดียวกันนั้นหลังจากที่พวกเขาโดนบุริศร์ไล่ออกมาก็ประสบเคราะห์ร้ายอย่างคิดไม่ถึงจริงๆ
ไม่ว่านภดลและเธอจะไปสมัครงานที่ไหนก็โดนปฏิเสธ ถึงขนาดที่ว่าไม่มีสักโรงแรมหรือโฮมสเตย์สักแห่งรับพวกเขา จะไปเช่าบ้านเช่าที่ไหนก็ไม่มีใครให้เช่า หมดหนทางจริงๆ นภดลจึงพาพวกเขาขึ้นมาอยู่บนเขา ที่นี่ดูเหมือนจะมีบ้านเล็กๆ ที่คนเขาปล่อยทิ้งไว้ พวกเขาจึงทำได้แค่เบียดกันอาศัยอยู่ที่นี่ชั่วคราว
ดร.ฐานทัตเป็นคนที่ยกให้การทดลองเป็นชีวิตของเขาเลย แล้วตอนนี้เขาก็ไม่ได้จับลูบคลำอุปกรณ์ทดลองมาหลายวันแล้ว ในใจนั้นเป็นทุกข์อย่างมาก แล้วตอนนี้ภรรยาก็ยังคงร้องดุด่าเสียงดังใส่ทุกวัน ทำให้ความคิดดีๆ ของเขาคนเดิมเริ่มจะหายไปหมดแล้ว
แทนที่ภรรยาคิดจะสั่งสอนนภดลแต่กลับถูกนภดลสั่งสอนแทน อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาเสียงดัง
“คุณหมายความว่ายังไง? ตอนนี้คุณกับคนแปลกหน้าที่ยืนอยู่ด้วยกันนั้นร่วมมือกันจะจัดการฉันงั้นเหรอ? คุณน่าจะทำให้ชัดเจน ฉันคือคนที่อยู่ใกล้ชิดคุณที่สุด ฉันเป็นภรรยาของคุณ!”
“คุณหุบปากเถอะ! ถ้ายังตะโกนอีกรอบเชื่อไหมว่าผมจะตีคุณ?”
ดร.ฐานทัตอดทนมากพอแล้วจริงๆ
เมื่อภรรยาเขาได้ยินว่าดร.ฐานทัตจะใช้กำลังกับเธอ ก็ชิงลงมือเองเสียก่อน
“คุณตีฉัน? คุณเนรคุณ คุณไม่ลองคิดดูบ้างว่าตอนนี้ตัวเองเป็นยังไง นอกจากฉันยังจะมีใครต้องการคุณอีก”
ทั้งสองซัดสาดกันอย่างเดือดพล่าน
นภดลเพียงแต่มองด้วยความเย็นชา หลังจากนั้นก็ลากพากิจจาไปยังอีกน้องนอนหนึ่ง พร้อมพูดเบาๆ “นี่คือโทรศัพท์ของฉัน หนูรีบโทรหาประธานบุริศร์และคุณนายเพื่อบอกว่าปลอดภัยดี ไม่ต้องให้พวกเขาเป็นห่วง”
“ขอบคุณครับคุณอานภดล”
กิจจารับโทรศัพท์มา ยังไม่ทันได้กดโทร ภรรยาเขาก็พรวดพราดเข้ามา พร้อมกับแย่งโทรศัพท์ในมือของกิจจาไป
“ลูกของประธานบุริศร์เหรอ? ลูกของบุริศร์? นภดล คุณบ้าไปแล้วเหรอ? นรมนทำร้ายพวกเราอย่างน่าสมเพชขนาดนี้ นึกไม่ถึงว่าคุณยังคิดที่จะช่วยพวกเขาตามหาลูกกลับไป? คุณโง่หรือคุณบ้าไปแล้วกันแน่?”