ท่าทีของนรมนเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อยทันที
ถ้าหากว่าในรถมีแต่เธอกับบุริศร์ยังพอว่า แต่ว่าในรถนี้ยังมีกมลอยู่อีกด้วย
แค่คิดว่าลูกสาวอาจจะโดนคนติดตามมา ท่าทีของนรมนก็ไม่ดีขึ้นมาแล้ว
“กมล มาหาหม่ามี้มา”
นรมนอยากจะเอากมลมากอดไว้ในอกตามสัญชาตญาณ ไม่งั้นละก็เธอรู้สึกไม่ไว้ใจจริง ๆ แต่ว่ากมลกลับเหมือนกับว่าไม่รู้ว่ามีอันตรายอยู่ยังไงอย่างงั้น แถมยังพูดอย่างง่วงเหงาหาวนอนขึ้นว่า “หม่ามี้ หนูง่วงจังเลยค่ะ ให้หนูนอนแป๊บหนึ่งนะคะ นั่งอยู่ข้างหลังก็ได้ค่ะ”
พูดจบเธอก็เอียงหัวลงไปอย่างกับว่านอนหลับไปแล้วจริง ๆ
นรมนรู้สึกดูไม่ค่อยออกกับการกระทำแบบนี้ของลูกสาว แล้วก็ส่งสายตาไปให้บุริศร์อัตโนมัติ พอเห็นว่าบุริศร์ไม่พูดอะไร และยังเหมือนกับว่าจะสงบนิ่งมาก ใจที่แกว่งอยู่ดวงนั้นของเธอก็ค่อย ๆ วางลงมา
หรือว่าเรื่องอาจจะไม่ได้ยุ่งยากขนาดที่เธอคิดก็ได้
นรมนปลอบใจตัวเองอย่างนี้ไป
รถที่อยู่ข้างหลังยังคงตามติดเป็นเงาอยู่ ระดับความเร็วรถของบุริศร์ก็ยังคงพุ่งอยู่เหมือนเดิม แต่ว่ากมลยังคงนอนได้อย่างหลับสนิทมาก หนำซ้ำยังมีเสียงหายใจแผ่วเบาดังลอยมาด้วย
นรมนเห็นว่าทั้งผู้ใหญ่ทั้งเด็กต่างก็ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องอะไร ก็เลยไม่สนใจแล้ว แล้วก็พิงเบาะหลังไว้และหลับตาลงพักผ่อนไป
ตรุษจีนอย่างนี้ พูดตามตรงเธอก็ยังไม่ได้พักผ่อนดี ๆ เลย โดยเฉพาะเมื่อรู้เรื่องของอารองตระกูลทวีทรัพย์ธาดาและนงลักษณ์แล้ว
ตอนแรกบุริศร์นึกว่าทักษะการขับรถของตัวเองจะสามารถสลัดหางที่อยู่ข้างหลังทิ้งไปได้ แต่เห็นได้ชัดว่าเขามองทักษะในการขับรถและความพยายามของรถข้างหลังผิดไป
พอเห็นว่าทางนี้ค่อนข้างใกล้กับบ้านตระกูลทวีทรัพย์ธาดา บุริศร์เองก็ขี้เกียจตัดสินใจอย่างอื่น ก็เลยขับรถมาถึงหน้าบ้านตระกูลทวีทรัพย์ธาดาเลย
ตอนที่พ่อบ้านเห็นรถของบุริศร์ก็อึ้งไปเล็กน้อยครู่หนึ่ง แต่ว่าก็เปิดประตูใหญ่ให้อย่างรวดเร็ว
“ประธานบุริศร์!”
คำพูดของเขายังพูดไม่จบ บุริศร์ก็ขับรถพุ่งเข้ามาเลย แล้วทำให้พ่อบ้านตกใจจนกระโดดถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว แต่ว่าบุริศร์ก็พบว่ารถที่ตามอยู่ข้างหลังได้หักหัวเลี้ยวไปแล้วก็ไม่เห็นอีกเลย
อันตรายขจัดออกได้แล้ว
ตอนที่นรมนลืมตาขึ้นมานั้นก็พบว่ามาถึงบ้านตระกูลทวีทรัพย์ธาดาแล้ว สีหน้าก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนไปเล็กน้อย
บ้านตระกูลทวีทรัพย์ธาดาเป็นที่ที่เธอไม่อยากมาที่สุดในตอนนี้
แววตาที่มีแววสงสัยของเธอมองไปที่บุริศร์ทีหนึ่ง แล้วพบว่าบุริศร์จ้องมองไปที่กมลที่นอนหลับอยู่ข้างหลัง เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
“มีอะไรเหรอคะ?”
“ไม่มีอะไร เข้าไปพักผ่อนสักหน่อยก่อนเถอะ”
บุริศร์ไม่ได้ตอบนรมน แต่กลับจอดรถให้เรียบร้อย จากนั้นก็ลงจากรถไปอุ้มกมลขึ้นมา
วันนี้อากาศหนาวมาก เพราะกลัวว่าจะทำให้กมลหนาวได้ บุริศร์เลยถอดเสื้อนอกของตัวเองออก แล้วเอามาห่มตัวลูกสาวไว้แล้วอุ้มเข้าบ้านไป
ถึงแม้ว่านรมนจะตะขิดตะขวงใจเล็กน้อย แต่ว่าสถานการณ์อย่างในตอนนี้ก็พูดอะไรมากไม่ได้ จากนั้นก็ลงจากรถไป
ธรณีรู้สึกสงสัยเล็กน้อยในตอนที่พ่อบ้านบอกว่าพวกนรมนและบุริศร์กลับมาแล้ว
ตอนที่นรมนเดินเข้ามานั้นท่าทีดูไม่ดีเอามาก ๆ ที่จริงเขาคิดไม่ถึงเลยว่านรมนจะกลับมา เพราะฉะนั้นก็เลยเกิดความสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย แต่ว่าก็ยังให้พ่อบ้านรีบไปชงชา และเตรียมของกินเล่น
บุริศร์อุ้มกมลเข้ามาในห้องรับแขก กมลยังไม่ตื่น ท่าทางเหมือนกับว่าเหนื่อยมาก
“อาเล็ก เดี๋ยวผมอุ้มกมลไปนอนในห้องสักพักนะครับ”
“ได้”
ธรณีเองก็ดูออกว่ากมลเหนื่อยมาก ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไม แต่ว่าก็ให้คนรับใช้ไปเก็บกวาดห้องอย่างรวดเร็ว
นรมนเดินเข้ามาทีหลัง ตอนที่เห็นธรณีนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วก็ไม่พูดอะไร แต่ว่าก็ยังมานั่งลงบนโซฟา แล้วก็หยิบของว่างที่พ่อบ้านเตรียมมาแล้วก็กินไปคำหนึ่ง
และไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าหิวแล้วหรือเปล่า หรือว่ารสชาติของของว่างอันนี้มันถูกปาก นรมนกินไปชิ้นหนึ่ง แล้วก็หยิบขึ้นมาอีกชิ้นหนึ่ง
พอเห็นเธอชอบกิน ธรณีก็รีบออกคำสั่งให้พ่อบ้านไปเตรียมมาเยอะหน่อย แต่กลับได้ยินนรมนพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องแล้วค่ะ ของที่อร่อยกินเยอะไปก็เลี่ยนค่ะ”
คำพูดนี้ก็ไม่รู้ว่ามีความหมายอื่นแอบแฝงไว้หรือเปล่า แต่ก็ทำให้ธรณีอึดอัดอยู่ไม่น้อย
“งั้นเธอก็ดื่มน้ำหน่อย”
เหมือนกับว่าธรณีจะกลับไปสู่สถานการณ์ที่น่าอึดอัดอย่างตอนแรกที่อยู่กับนรมน
ที่จริงเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลยจริง ๆ ล้วนเป็นเรื่องที่พี่รองก่อขึ้นมาทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ? แต่ว่าทำไมมักจะเกิดความรู้สึกผิดต่อนรมนล่ะ?
ทางด้านธรณีไม่รู้ว่าควรจะทำลายสถานการณ์ที่น่าอึดอัดนี้ลงยังไง หลังจากที่นรมนกินไปสามชิ้นติด ๆ กันแล้ว ก็ยกน้ำอุ่นขึ้นมาดื่มไปคำหนึ่ง แล้วถึงรู้สึกว่าร่างกายมีเรี่ยวแรงขึ้นมาเล็กน้อย อารมณ์ที่ไม่ดีอยู่ก่อนหน้านั้นก็เปลี่ยนเป็นดีขึ้นเยอะเลย
เทศกาลตรุษจีนนี้ ช่างน่ากลุ้มใจจริง ๆ
นรมนพร่ำบ่นอยู่ในใจ แต่กลับมองเห็นสีหน้าที่ระมัดระวังของธรณีอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดจายังไงกับธรณีต่อดี จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “อาเล็กกะว่าจะอยู่เป็นโสดตลอดชีวิตเลยเหรอคะ? ไม่สืบทอดตระกูลทวีทรัพย์ธาดาต่อไปแล้วเหรอคะ?”
“ฮ๊ะ?”
ธรณีโดนถามจนอ้ำอึ้ง ทำไมแค่ครู่เดียวก็พูดไปปัญหาเรื่องสืบทอดตระกูลทวีทรัพย์ธาดาแล้วล่ะ?
หรือว่านรมนไม่ได้กำลังโกรธเขาอยู่เหรอ?
แต่เมื่อเทียบกับความสงสัยของธรณีแล้ว นรมนกับอยู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา
โอ้โห!
ถ้าที่ตัวเองเดาไว้ก่อนหน้านี้เป็นเรื่องจริง ถ้าอารองเป็นผู้นำประเทศของประเทศFจริง ๆ งั้นราเชนก็เป็นลูกพี่ลูกน้องในตระกูลเดียวกันแล้วละซิ?
การคาดเดานี้ทำให้นรมนรู้สึกตกใจและอึ้งทึ่งไปเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้รู้สึกรังเกียจมากเท่าไหร่
ลูกพี่ลูกน้องนอกตระกูลก็ดี ในตระกูลก็ช่าง ยังไงชาตินี้ก็หลุดออกจากความเป็นญาติไม่ได้อยู่ดี แต่ว่านงลักษณ์คนนั้น……
หัวคิ้วของเธอขมวดขึ้นมาเล็กน้อย ในดวงตามีแววไม่ชอบใจเสี้ยวหนึ่งพาดผ่าน
ธรณีไม่รู้ว่านรมนกำลังคิดอะไรอยู่ พอเห็นนรมนมีท่าทางที่ขมวดคิ้วขึ้น เขาก็นึกว่าเธอจะโกรธ ก็เลยรีบพูดขึ้นว่า “ก็เธอให้ฉันไปดูตัวไม่ใช่เหรอ? ช่วงนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ลองคิดเรื่องนี้ดู แต่ว่าก็แค่รู้สึกว่าไม่ต้องรีบร้อนมากก็เท่านั้น”
“ยังไม่รีบร้อนอีกเหรอคะ? อาเล็กอายุตั้งเท่าไหร่แล้ว? ถ้ายังไม่รีบร้อนอีกก็จะกลายเป็นผู้ชายแก่แล้วนะคะ เด็กสาวที่แรกรุ่นที่เหมือนกับดอกไม้ที่ไหนยังจะชอบแต่งงานกับผู้ชายแก่คะ? และอีกอย่างถ้าอายุเยอะแล้วจะเอาลูกก็ค่อนข้างยากด้วยค่ะ ตระกูลทวีทรัพย์ธาดารุ่นก่อน ๆ มีลูกหลานมากมาย จะมาขาดตอนไปที่อาเล็กไม่ได้นะคะ”
คำพูดของนรมนนี้ทำให้มุมปากของธรณีกระตุกขึ้นเล็กน้อย
นี่เป็นหลานสาวคนโตของเขาจริง ๆ เหรอ?
ทำไมถึงรู้สึกว่าเป็นตัวก๊อบปี้ของมารดาเลย นี่จะมาบีบบังให้เขาแต่งงานแล้วเหรอ?
“แค่ก แค่ก!”
ธรณีไอขึ้นสองคำอย่างไม่เป็นธรรมชาติแล้วพูดขึ้นว่า “คือว่าถ้าจะนับจากอายุเยอะ ก็ควรจะนับจากอาสามของเธอให้แต่งก่อนมั้ง?”
“อืม มันก็ใช่อยู่ ว่าแต่ช่วงนี้อาสามยุ่งเรื่องอะไรอยู่คะ?”
ดูไปแล้วเหมือนนรมนจะถามขึ้นอย่างไม่ร้อนใจอะไร แต่ที่จริงแล้วในดวงตามีปฏิกิริยาเสี้ยวหนึ่งพาดผ่านไป
ธรรศรับหน้าที่การงานทั้งหมดแทนคริชณะไป ตอนนี้งามสุดาก็โดนเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ และพวกเขาแค่ออกจากบ้านมาก็โดนสะกดรอยตาม นรมนไม่รู้ว่าเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาสามหรือเปล่า จึงได้แต่ลองสืบหาดูจากอีกด้านหนึ่งไป
อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าการอยู่กับคนอื่นด้วยวิธีแบบนี้ช่างเหนื่อยจริง ๆ แถมยังไม่เป็นตัวของตัวเองอีก ในใจของนรมนมีความทุกข์ใจเสี้ยวหนึ่งพาดผ่านไป
ธรณีนึกไม่ถึงว่าคำพูดของนรมนจะเปลี่ยนได้เร็วขนาดนี้ แต่ว่าก็ยังรีบพูดขึ้นว่า “ช่วงนี้อาสามของเธอไปต่างประเทศแล้ว เห็นบอกว่าไปปฏิบัติหน้าที่อะไรสักอย่าง พออวยพรวันตรุษจีนให้คุณท่านตนุวรเสร็จก็ไปเลย”
“อาสามไปต่างประเทศแล้วเหรอคะ?”
ในจุดนี้ทำให้นรมนรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากเลย
“อืม เรื่องของกองทัพล้วนเป็นความลับทั้งนั้น ถ้าพูดตามหลักแล้วก็ไม่ควรบอกเธอนะ”
คำพูดที่แอบแฝงอยู่ในคำพูดของธรณีนั้นนรมนฟังออกได้
เรื่องนี้ไม่ควรบอกเธอจริง ๆ ยิ่งไม่ควรพูดกับใครทั้งนั้น ไม่งั้นการรักษาความปลอดภัยของธรรศก็จะมีอันตรายแล้ว แต่ว่าตอนนี้ธรณีบอกไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าอยากจะเอาใจเธอ เป็นเพราะเรื่องของนงลักษณ์เหรอ?
ในใจของนรมนรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างแล้ว
นงลักษณ์คนนี้เป็นคนที่ซับซ้อนมาก จิตใจก็เจ้าเล่ห์มาก ถ้าหากเป็นไปได้ละก็ นรมนไม่อยากจะให้ธรณีไปมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเธอมาก ๆ เลย และยิ่งไม่อยากจะให้ตระกูลทวีทรัพย์ธาดาไปเกี่ยวข้องกับเธอ ถึงแม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะมีสายเลือดที่เหมือนกันกับเธออยู่ก็ตาม
ยังไงสีหน้าของนรมนมีความเคร่งขรึมขึ้นมาบ้าง
“อาสามไปที่ไหนเหรอคะ?”
“ไม่รู้ เขาไม่ได้บอก”
คำพูดของธรณีไม่ได้โกหก ในเมื่อตอนนี้เขาปลดประจำการแล้ว มีเรื่องมากมายถ้าเอาตามกฎของการปิดเป็นความลับนั้น เขาไม่ควรต้องรู้ เพราะฉะนั้นเขาเองก็ไม่ได้ถาม
แน่นอนว่านรมนเองก็รู้ แล้วจ้องมองธรณีทีหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “หน้าที่การงานของอาสามค่อนข้างพิเศษ เรื่องแต่งงานเรื่องใหญ่แบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะจัดการได้ง่าย ๆ ยังไงอาเล็กก็รีบจัดการปัญหาของตัวเองไปเถอะ บ้านตระกูลทวีทรัพย์ธาดานี้ยังไงก็ต้องมีนายหญิงและลูกหลานอยู่ด้วย ไม่งั้นก็จะเงียบเหงาจนเกินไป”
คำพูดนี้ฟังอยู่ในหูของธรณีก็คือหมายความว่า นรมนรังเกียจที่พอกลับบ้านมาก็ไม่มีใครพูดคุยเป็นเพื่อน เขาก็เป็นผู้ชายอกสามศอกไม่สามารถพูดคุยเรื่องที่เป็นส่วนตัวได้
ธรณีรีบถามขึ้นว่า “เธอชอบอาสะใภ้แบบไหนล่ะ?”
นรมนนิ่งอึ้งไปทันทีเลย
“อาเล็ก อาเป็นคนหาเมียจะมาถามหนูทำไมคะ? แค่อาชอบก็พอแล้ว”
“แบบนั้นจะไม่ได้ได้ยังไง ถ้าเธอไม่ชอบ ฉันจะแต่งเข้าบ้านมาทำไม?”
คำพูดนี้ทำให้ในใจของนรมนมีความรู้สึกหลากหลายมากมาย
ขอร้องล่ะ อย่าดีกับเธอมากขนาดนี้ได้ไหม?
และที่สำคัญก็เป็นเรื่องใหญ่ของชีวิต มีความเกี่ยวข้องกับเธอตรงไหน? ในเมื่อคนที่จะนอนบนเตียงเดียวกับธรณีไม่ใช่เธอสักหน่อย
แต่ว่าพอเห็นสายตาที่คาดหวังของธรณีแล้ว คำพูดพวกนี้ของนรมนก็รู้สึกจะพูดไม่ออกขึ้นมาแล้ว
“คือว่าอาดูเอาเองเถอะค่ะ ช่วงนี้หนูกับบุริศร์กะว่าจะพาพวกเด็ก ๆ ออกไปท่องเที่ยว”
ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะบอกธรณี ในเมื่อจากปัญหาเรื่องที่นงลักษณ์มาหาเขานั้น นรมนรู้สึกว่ายังไงธรณีก็ยังมีการปิดบังอยู่ แต่ว่าวินาทีนี้ยังไงเธอก็ยังทนเห็นธรณีทุกข์ใจไม่ได้
ในเมื่อญาติของเธอก็มีไม่มากจริง ๆ
พอได้ยินว่านรมนและบุริศร์จะออกไปท่องเที่ยว ธรณีก็อึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็เห็นด้วยเป็นอย่างมาก
“ออกไปเที่ยวเล่นสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน เธอแต่งานกับบุริศร์มาตั้งหลายปีแล้ว ก็ยังไม่เคยออกไปเที่ยวเล่นกันดี ๆ สักครั้งเลย แล้วอีกย่างตอนนี้พวกเด็ก ๆ ก็อยู่บ้านกันทุกคน การออกไปท่องเที่ยวอะไรพวกนี้เป็นวิธีหนึ่งที่จะเพิ่มความสัมพันธ์ให้กันคนในบ้านได้ แล้วเงินพอใช้ไหม? ฉันกับอาสามของเธอได้ปรึกษากันหน่อยแล้ว ทรัพย์สินของตระกูลทวีทรัพย์ธาดาตอนแรกพวกเรากะว่าจะเก็บไว้ให้เธอทั้งหมดเลย เธอดูซิว่าเมื่อไหร่จะ……”
“อย่าคะ หนูไม่ได้ขาดเงิน”
นรมนฟังความหมายของธรณีออกแล้ว จึงรีบปฏิเสธขึ้นมาทันที
เธอเป็นลูกหลานของตระกูลทวีทรัพย์ธาดาจริง แต่ว่าเธอก็ไม่ได้เป็นลูกหลานเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลทวีทรัพย์ธาดา
ทั้งอาสามและอาเล็กช้าเร็วยังไงก็ต้องแต่งงานมีลูก เธอจะมายึดครองทรัพย์สินของตระกูลทวีทรัพย์ธาดาไม่ได้ แล้วอีกอย่าง สามีเธอก็จน จนเหลือแต่เงินแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาแย่งมรดกกับลูกพี่ลูกน้องในอนาคตหรอก?
แต่ว่าธรณีกลับยังยืนยันหนักแน่น
“ฉันรู้ว่าเธอไม่ขาดเงิน แต่ว่าสิ่งที่บ้านแม่ให้กับที่บ้านสามีให้มันต่างกัน ผู้หญิงที่แต่งออกไปแล้วยังไงก็จะต้องมีบ้านแม่ที่มีอำนาจไว้หนุนหลังถึงจะได้ไม่โดนคนอื่นรังแกเอา ถ้าบุริศร์เกิดไม่ดีกับเธอขึ้นมา เธอก็สามารถกลับมาได้อย่างมั่นใจ ฉันกับอาสามของเธอจะเป็นหลักให้เธอเอง”
คำพูดพวกนี้ของธรณีฟังดูจริงใจเป็นอย่างมาก ทำให้ใจของนรมนอบอุ่นขึ้นมาทันที ความไม่พอใจที่มีต่อเขาตั้งแต่แรกโดนขจัดออกไปแล้ว
ช่างเถอะ อาเล็กดีกับเธอซะขนาดนี้ คงจะไม่ทำร้ายเธอหรอกนะ ถึงแม้ว่านงลักษณ์พูดอะไรมาแล้วเขาจะไม่ได้บอกกับเธอทั้งหมด แต่เธอก็จะตัดสินใจให้อภัยเขาก็แล้วกัน
แต่ว่านรมนก็ยังต้องถามอีกประโยคหนึ่ง
“อาเล็กคะ อารองเป็นคนยังไงเหรอคะ?”