ยิงเหรอ?
ใจของนรมนหล่นตุ๊บลงทีหนึ่ง
คนในตอนนี้เก่งขนาดนี้เลยเหรอ?
ไม่ต้องยืนยันก็สามารถยิงปืนกลางถนนได้เลยเหรอ?
ความโกรธอย่างหนึ่งแผ่ขยายออกมาจากหน้าอกของนรมน
อยู่ ๆ บุริศร์ก็จับมือเธอไว้แน่น แล้วพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “คุณเข้าไปก่อนนะ เดี๋ยวผมจัดการเอง”
นรมนนิ่งอึ้งไปหนึ่งวินาที
เธออยากจะอยู่ด้วย แต่ว่าเธอเห็นดวงตาที่ลึกซึ้งคู่นั้นของบุริศร์แล้ว ก็รู้สึกเดาความคิดที่แท้จริงของบุริศร์ไม่ถูกเลย
หรือว่าเขาจะมีวิธี
นรมนรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ตัวเองจะมาอวดเก่ง เธอพยักหน้าเบา ๆ ไปทีหนึ่ง
หลังจากที่ทั้งสองคนคลายมือออกจากกันแล้ว นรมนก็เดินไปทางศูนย์การค้าอย่างรวดเร็ว
เสียง“ปิ๊ว”ดังขึ้นทีหนึ่ง เสียงกระสุนนัดหนึ่งดังขึ้นไปทางด้านนรมนทันที
นรมนนั่งลงไปอย่างอัตโนมัติ แล้วก็ยังกลิ้งไปกับพื้นอีก จึงหลบอันตรายไปได้อย่างหวุดหวิด กระสุนไปโดนประตูกระจกอีกข้างหนึ่ง ทำให้แตกทะลุทันทีเลย แล้วเสียงเตือนฉุกเฉินก็ดังขึ้น และทั้งสถานที่ก็วุ่นวายขึ้นมา
ดวงตาของบุริศร์เย็นลงมาหลายองศาทันที
นี่กล้ายิงปืนขึ้นมาจริง ๆ เหรอ!
บุริศร์หันกลับไปอย่างรวดเร็ว แล้วก็กระโดดตัวลอยทีหนึ่ง แล้วพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว
พออีกฝ่ายเห็นใบหน้าบุริศร์ที่สามารถดูออกได้ง่ายว่าเป็นใครก็อึ้งไปทันที จากนั้นก็อยากจะเหนี่ยวไกขึ้นมาอีกครั้งอย่างอัตโนมัติ แต่ความรวดเร็วของบุริศร์กลับเร็วมากเกินไป เร็วจนเขามองไม่เห็นเงาคน รู้สึกแต่เพียงเงาดำ ๆ ข้างหน้าเล็กน้อย วินาทีต่อมาข้อมือก็มีความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวส่งมาแล้ว
“อ้า!”
เสียงร้องที่ราวกับหมูโดนเชือดร้องดังขึ้นมา
นรมนรู้สึกตกใจอยู่บ้าง
เมื่อกี้เธอถึงกับมองการกระทำของบุริศร์ไม่ทัน
เขาเร็วเกินไปแล้ว!
ความเร็วของบุริศร์เพิ่มสูงขึ้นมาถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ในขณะที่นรมนแปลกใจนั้น บุริศร์ก็ได้ปลดมือของอีกฝ่ายลงแล้ว จากนั้นก็สวนมือกลับไปตบหน้าอีกฝ่ายทีหนึ่งทันที
“เหนี่ยวไกกลางถนน แกไม่กลัวยิงโดนผู้บริสุทธิ์เหรอ? หึ? ชุดที่ใส่อยู่บนตัวแกนี่มันหมายความว่าอะไร? ใจของแกไม่มีสำนึกบ้างเลยเหรอ?”
ในเวลานี้บุริศร์เป็นเหมือนกับเทพสังหารคนหนึ่ง แรงสังหารที่ระเบิดออกมาทั้งตัวทำให้คนอดไม่ได้ที่จะถอยหนีไปสามก้าว
ในรถยังมีคนอีกสองคนที่เหมือนกับเป็นผู้ช่วย แต่ว่าอยู่ภายใต้การข่มขู่ของบุริศร์ ก็ได้แต่นิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้นไม่กล้าขยับเลย ท่าทางเหมือนกับว่าตกใจจนโง่ไปแล้ว
“เจ้าโง่! พวกแกยังมัวแต่อึ้งอยู่ทำไม? ไปจับมันมาให้ฉัน! ยังมีนังผู้หญิงคนนั้นด้วย!”
เสนาธิการเขมทัตตะโกนขึ้นอย่างกับคนบ้า แต่วินาทีต่อมาปืนกระบอกนั้นก็ได้ไปจ่ออยู่หัวของเขาแล้ว
“คุณลองดูซิ”
น้ำเสียงที่เยือกเย็นไร้ความอบอุ่นของบุริศร์ ทำให้เสนาธิการเขมทัตตกใจจนเข่าอ่อนไปทั้งตัวเลย แต่ก็ยังพยายามฝืนอยู่
“บุริศร์ ผมไม่ได้เป็นคนที่อยากจะจับคุณนะ แต่ว่ามันเป็นเจตนาของเบื้องบน คุณเองก็อย่าทำให้ผมลำบากใจเลยนะ? ทุกคนต่างก็มาจากที่เดียวกันทั้งนั้น คำสั่งทหารขัดขืนได้ยาก ฉันเองก็ไม่มีทางเลือก”
“ไม่มีทางเลือกเหรอ? ไม่มีทางเลือกก็ทำให้คุณเหนี่ยวไกกลางถนนไปเรื่อยได้เหรอ? หรือไม่สนใจคนรอบข้างได้เหรอ? ผมอยากจะถามสักหน่อย ผมทำความผิดใหญ่หลวงอะไร ถึงทำให้คุณต้องมาฆ่าผมกลางถนนแบบนี้ด้วย? ไหนมีหมายจับหรือเปล่า? เอาออกมาให้ผมดูหน่อยซิ”
คำพูดของบุริศร์ทำให้สีหน้าเสนาธิการเขมทัตดูไม่ดีขึ้นมาเล็กน้อย
“นี่เป็นปฏิบัติการที่เป็นความลับ เอกสารไม่ได้ส่งต่อมาถึงผม ที่ผมได้รับมามีแต่คำสั่งปากเปล่าเท่านั้น”
“ผมมียศทหารอะไรคุณไม่รู้เหรอ? ด้วยยศของคุณในตอนนี้ไม่มีหนังสือมาแล้วยังอยากจะมาจับผมอีก? คุณกำลังคิดอะไรอยู่?”
บุริศร์เปิดปากพูดขึ้นอย่างเยาะเย้ย จากนั้นวินาทีต่อมาก็เป็นเหมือนอย่างกับเป็นซาตาน แล้วก็เตะเข้าตรงข้อพับเสนาธิการเขมทัตเลย
เสนาธิการเขมทัตคุกเข่าลงทันที เสียงนั้นนรมนได้ยินแล้วยังรู้สึกหัวเข่าเจ็บแทนเลย
แล้วในเวลานี้ก็มีกลุ่มคนชุดดำโผล่ออกมาจากไหนไม่รู้กลุ่มหนึ่ง แล้วมาล้อมพวกเสนาธิการเขมทัตไว้อย่างรอบด้าน
บุริศร์พูดขึ้นเสียงเย็นขึ้นว่า “พากลับไปให้หมด อย่าตีจนตายล่ะ ฉันยังอยากรู้เรื่องอะไรหน่อย”
“ครับ!”
คนชุดดำเปิดปากพูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ความแข็งแกร่งแบบนั้นทำให้คนรู้สึกตัวสั่นทั้งที่ไม่หนาวเลย
เสนาธิการเขมทัตหน้าขาวซีดขึ้นมาทันที
“บุริศร์ คุณแอบเลี้ยงคนไว้เยอะขนาดนี้ นี่คุณจะเป็นกบฏแล้วเหรอ?”
“เสนาธิการเขมทัตใช่ไหม? คุณนี่ดูละครทีวีมากไปหรือเปล่า? หรือว่าคุณนึกว่านี่มันเป็นสมัยโบราณ? ผมเป็นกบฏ? ผมเป็นกบฏยังไงล่ะ? ก็แค่จะเชิญคุณกลับไปเป็นแขกหน่อยเท่านั้น พาตัวไป”
บุริศร์พูดขึ้นอย่างเยือกเย็น
คนชุดดำรีบเดินขึ้นหน้า แล้วก็กระชากคนที่อยู่ในรถทั้งสามคนออกมา จากนั้นก็อุดปากไว้และก็ลากขึ้นรถไปเลย
ผู้คนรอบข้างไม่มีใครกล้าพูดอะไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป
เพราะว่ากลุ่มคนชุดดำนั้นใส่ชุดเฉพาะของสหภาพQT
อยู่ที่นี่สหภาพQTแปลว่าอะไร ไม่มีไม่รู้จัก ไม่มีใครไม่รู้ความหมาย ไม่มีใครที่จะรังเกียจที่ตัวเองอายุยืนเกินไปแล้วไปแหย่สหภาพQTหรอกนะ
บุริศร์เห็นว่าคนรอบข้างค่อนข้างรู้ตัวดี ก็เลยไม่พูดอะไรอีก แต่กลับเดินไปตรงหน้านรมน แล้วแรงสังหารที่แผ่ออกมารอบข้างก็ถูกเก็บเข้าไปทันที
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
ดวงตาของเขามีแววเป็นกังวลกะพริบอยู่
นรมนส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ว่าคนคนนี้รู้สึกคุ้นหน้าจังเลย เหมือนกับว่าฉันจะเคยเจอที่ไหนมาก่อนนะคะ”
“ฮือ?”
บุริศร์รู้สึกสงสัยอยู่บ้าง
เสนาธิการเขมทัตกับนรมนน่าจะไม่เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน
หัวสมองของนรมนหมุนไปอย่างรวดเร็ว แล้วก็อดไม่ได้ที่จะปรากฏภาพภาพหนึ่งขึ้นมา
ภาพเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่รังแกกมลอยู่ตรงหน้าประตูบ้านคริชณะ และตอนนั้นยังมีผู้หญิงคนหนึ่งออกมาพูดจาโวยวายกับเธอด้วย
จากนั้นก็เหมือนกับว่าเสนาธิการเขมทัตคนนี้จะปรากฏตัวออกมาใช่หรือเปล่า?
นรมนจำได้ไม่ค่อยชัดเจนแล้ว แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นภาพอย่างนี้
“ฉันนึกออกแล้ว ลูกของผู้ชายคนนี้เคยรังแกกมลมาก่อน ที่หน้าประตูบ้านพี่ใหญ่คริชณะ”
ดวงตาของบุริศร์เย็นลงไปทันที
“รังแกลูกสาวฉันเหรอ? ดีนี่!”
บุริศร์เอาโทรศัพท์ออกมาโทรหาลูกน้องโดยตรง
“ช่วยต้อนรับเสนาธิการเขมทัตให้ฉันดี ๆ หน่อย”
“ได้ครับ พี่ใหญ่”
หลังจากที่วางสายโทรศัพท์แล้ว บุริศร์เองก็รู้ว่า ศูนย์การค้านี่คงจะเดินต่อไปไม่ได้แล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นอย่างหดหู่ว่า “ขอโทษนะ รบกวนความสุขของคุณอีกแล้ว การอยู่กับผม เหมือนกับว่าจะเกิดเรื่องได้ทุกที่ทุกเวลาเลย ต้องทำให้คุณต้องลำบากใจแล้ว”
“ไม่เป็นไร ฉันชินแล้วค่ะ ชีวิตแบบนี้ถึงจะเหมาะสมกับพวกเรา”
นรมนเดินหน้ามาคล้องแขนบุริศร์ไว้ และยิ้มอย่างอ่อนโยนขึ้นมา
“ถ้าหากมีชีวิตเรียบง่ายอยู่กับคุณ เหมือนกับตอนสามปีหลังจากที่แต่งงานกัน บางทีฉันอาจจะไม่มีทางรู้ด้วยซ้ำว่าคุณรักฉันมากขนาดนี้”
พอได้ยินนรมนพูดถึงเรื่องที่ตัวเองชั่วช้าที่สุดสามปีนั้น บุริศร์ก็พูดขึ้นอย่างรู้สึกผิดว่า “ถ้าหากผมรู้ว่าจะต้องเจออะไรมากมายมาตั้งแต่แรก……”
“แล้วยังไงคะ? คุณก็จะไม่แต่งงานกับฉันแล้วเหรอคะ?”
คำพูดนี้ของนรมนถามจนบุริศร์ไม่รู้จะตอบยังไงไปชั่วขณะ
จ้องมองดวงตาที่แวววาวคู่นั้นของภรรยา แล้วอยู่ ๆ บุริศร์ก็ประคองใบหน้าของเธอไว้ แล้วพูดอย่างลึกซึ้งขึ้นว่า “ไม่ ผมก็ยังจะแต่งงานกับคุณอยู่ แต่ว่าผมคงจะไม่ให้เสียเวลาสามปีนั่นไป ผมจะประคบประหงมคุณไว้ในมือตั้งแต่แรก จะไม่ปล่อยให้เวลาสามปีนั้นสูญเสียไปเลย”
อยู่ ๆ ดวงตาของนรมนก็ฝืดเคืองขึ้น
“เป็นสามีภรรยาแก่เฒ่ากันแล้ว ยังจะมาพูดคำพูดหวานเลี่ยนแบบนี้อีก”
“ที่ผมพูดเป็นความจริง ๆ ตอนนี้ผมยิ่งอยู่ก็ยิ่งรู้สึกว่าเวลาที่ได้อยู่กับคุณมันน้อยเกินไปแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเราจะแต่งงานกันมาแปดปีแล้ว แต่ว่าเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันจริง ๆ มันก็แค่หนึ่งปีกว่า ๆ เท่านั้น ถ้าเทียบกับสามีภรรยาทั่วไปแล้ว มันก็ไม่ได้ดื่มด่ำกับความอบอุ่นมากเท่าไหร่นักจริง ๆ นี่คือสิ่งที่ผมบุริศร์ติดค้างคุณไว้”
บุริศร์รู้สึกผิดเป็นอย่างมาก
นรมนรีบพูดขึ้นว่า “ความรักไม่มีใครติดค้างใครหรอกค่ะ ฉันรู้แค่ว่าฉันชอบคุณ ชอบคุณมากกว่าชอบตัวเองซะอีก ฉันอยากจะอยู่กับคุณ ไม่ว่าอยู่กับคุณแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่จะเป็นยังไง จะมีลมพายุฝนแบบไหน สำหรับฉันแล้ว ขอแค่สามารถยืนอยู่ข้างอยู่ข้างคุณ ได้อยู่เป็นเพื่อนคุณ นั่นก็เป็นความสุขที่สุดของฉันแล้ว”
“ยัยโง่ บนโลกใบนี้จะหาผู้หญิงที่โง่อย่างคุณอีกคนไม่ได้แล้ว ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าอยู่กับผมแล้วมีแต่การนองเลือด แต่ว่าคุณก็ยังไม่คำนึงอะไรแบบนี้ คุณที่เป็นแบบนี้จะให้ผมทำใจปล่อยมือไปได้ยังไง”
“งั้นก็อย่าปล่อยมือ จับมือฉันไว้ตลอด จนเดินไปถึงจุดจบของโลก เดินไปถึงน้ำทะเลของเราแห้งเหือดก้อนหินแตกสลายไป จนตราบชั่วฟ้าดินสลาย”
“ได้”
การตอบตกลงของบุริศร์ทำให้ใจของนรมนอุ่นร้อน
ทั้งสองคนไม่ไปสนใจสายตาของผู้อื่น จูงมือกันแล้วก็เดินไปข้างหน้าต่อไป
อยู่ที่นี่ พวกเขาก็คือราชา
ก่อนหน้านี้ที่ไม่อยากจะปะทะกับเสนาธิการเขมทัต ก็แค่ไม่อยากจะทำให้คนที่อยู่เบื้องบนต้องขุ่นเคือง ในเมื่อยังต้องไว้หน้ากันหน่อย แต่ว่าในเมื่อเสนาธิการเขมทัตเหนี่ยวไกปืนกลางถนนขึ้น และเขาบุริศร์เบื้องหลังก็ยังมีธเนศพลเป็นที่พึ่ง เขายังจะต้องกลัวอะไรอีกล่ะ?
สิ่งเดียวที่บุริศร์กลัวก็คือกลัวทำให้นรมนติดร่างแหไปด้วย แต่ว่าพอจ้องมองเด็กสาวที่ยืนหยัดอยู่ข้าง ๆ นี้ ผู้หญิงที่ไม่เคยสั่นไหวตั้งแต่วินาทีที่แต่งงานกับเขา เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา
เขาจะใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีมาปกป้องนรมนให้ดี ถ้าหากว่ามีอะไรเกิดขึ้นมาจริง ๆ ต้องตกจากสวรรค์ไปสู่นรก เขาจะอยู่เป็นเพื่อนเธอก็พอแล้ว
พอคิดได้ถึงจุดนี้ บุริศร์ก็ไม่เป็นห่วงอะไรแล้ว
ทั้งสองคนเดินเล่นไปตามถนนเหมือนอย่างกับคู่รักทั่วไป
ร้านกาแฟข้าง ๆ มีเสียงเปียโนไพเราะลอยมาระลอกหนึ่ง
นรมนนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วก็ยิ้มและพูดขึ้นว่า “ฉันยังจำได้ว่าตอนที่คุณอยู่ในมหาลัยเคยเล่นเปียโนบทเพลงหนึ่ง เป็นเพลง《เฟือร์เอลิเซอ》ของเบทโฮเฟิน”
“คุณชอบฟังเหรอ?”
บุริศร์จำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ
ตอนที่อยู่มหาลัยเขาเคยเล่นเปียโนมาก่อนจริง ๆ
ของอย่างเปียโนนี้ สำหรับลูกผู้ดีมีสกุลอย่างพวกเขาแล้วเป็นวิชาที่จำเป็นจะต้องเรียนอยู่แล้ว และเขาก็เคยเรียนได้ไม่เลวด้วย เพียงแต่ว่าพอไปเป็นทหารก็ได้เล่นน้อยลง แล้วพอมาทำธุรกิจก็ยิ่งไม่มีความสุนทรีแบบนั้นแล้ว
มาวันนี้พอได้ยินนรมนพูดขึ้นแบบนี้ แล้วเห็นปฏิกิริยาในดวงตาของนรมน เขาก็อดไม่ได้ที่จะเปิดปากพูดขึ้น
นรมนอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “อยากฟังค่ะ”
บุริศร์รู้สึกว่าของในโลกใบนี้ไม่มีอะไรสามารถต้านทานรอยยิ้มของนรมนได้
ขอแค่เธอยิ้มขึ้นมา ถึงแม้ว่าเธอจะอยากได้ดวงดาวบนท้องฟ้า บุริศร์ก็คงจะคิดหาวิธีเด็ดมาให้เธอจงได้
เพราะว่ารอยยิ้มของเธอเป็นรอยยิ้มที่สวยที่สุด งดงามที่สุดในโลกจริง ๆ
บุริศร์จูงมือของนรมนเดินเข้าไปในร้านกาแฟ
อยู่ ๆ เขาก็ถามขึ้นว่า “ผมจำได้ว่าคุณก็เล่นเปียโนได้ไม่เลวเหมือนกัน”
“ก็ยังดี แต่ว่าไม่ได้เล่นนานแล้ว”
“มาเถอะ เรามาร่วมเล่นสี่มือประสานกันดีกว่า”
คำพูดของบุริศร์ทำให้นรมนอึ้งไปเล็กน้อย
“ฉันกับคุณเหรอคะ?”
“ไม่งั้นล่ะ? เชิญครับ คุณนายบุริศร์!”
บุริศร์ยื่นมือมาทางนรมนอย่างเป็นสุภาพบุรุษมาก
นรมนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันทีเลย
“ฉัน ฉันอาจจะตามจังหวะคุณไม่ทัน ฉันกลัวว่าจะทำให้จังหวะของคุณวุ่นวายไป”
“มีผมอยู่ คุณยังจะกลัวอะไร?”
บางทีอาจจะเพราะว่าสายตาของบุริศร์อ่อนโยนเกินไป หรือบางทีอาจจะเพราะว่าวินาทีนี้บรรยากาศมันดีเกินไป นรมนก็เลยยื่นมือไปให้บุริศร์อย่างตกอยู่ในภวังค์
เธอไม่รู้ว่าตัวเองเดินขึ้นไปบนเวทีได้ยังไง และไม่รู้ว่าตัวเองนั่งลงไปได้ยังไง รู้แต่เพียงบรรยากาศรอบข้างนั้นมีแต่กลิ่นอายของบุริศร์ มือที่มีนิ้วมือเรียวยาวคู่นั้นจับมือของเธอไว้ น้ำเสียงที่อ่อนโยนดังอยู่ข้างหู
“คุณนายบุริศร์ คุณทำได้อยู่แล้ว บนโลกใบนี้มีแต่คุณที่สามารถร่วมเล่นสี่มือประสานกันกับผมได้”
หัวใจของนรมนเหมือนกับว่าโดนเติมอะไรเข้าไปอย่างงั้น แล้วก็มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมขึ้นมาทันที