เห็นได้ชัดว่า นรมนก็รู้สึกได้ถึงปัญหานี้
“บุริศร์ พวกเขาลงไปอาจจะมีอันตราย เรา……”
“ไม่ต้องรีบร้อน! กมลกับกานต์แพ้มะม่วง คุณลืมแล้วเหรอ?”
บุริศร์พูดอย่างนี้ออกไป นรมนจึงนิ่งงันไปโดยปริยาย
เมื่อครู่เอาแต่เป็นห่วงความปลอดภัยของลูกๆอย่างเดียว จึงไม่ได้มองให้ชัดเจนว่าเด็กๆกำลังซื้อผลไม้อะไร ตอนนี้โดนบุริศร์เตือนสติ นรมนจึงมองบุริศร์ด้วยความประหลาดใจ ถามขึ้น “คุณจะบอกว่ากมลตั้งใจงั้นเหรอ?”
“เจ้าตัวแสบนี่เจ้าเล่ห์นักแหละ สังเกตการเคลื่อนไหวเงียบๆก่อน ผมจะให้คนคอยคุ้มกันอยู่รอบๆ”
บุริศร์ยิ้มบางๆ แสดงความภูมิใจออกมาเล็กน้อย
นรมนกลับค่อนข้างกังวลใจ
“ยัยเด็กคนนี้จะกล้าเกินไปแล้วนะ? บุริศร์ คุณแอบตามใจเธอน้อยๆหน่อย คุณดูสิเห็นๆอยู่ว่าอันตรายแต่ยังจะพุ่งเข้าไปอีก ถ้าพวกเราไม่อยู่ด้วย……”
“คุณคิดมากไปแล้ว ถ้าพวกเราไม่อยู่ด้วย กมลก็ไม่ทำอย่างนี้หรอก เชื่อผมหน่า ใจเย็นๆ”
บุริศร์ลูบๆผมของนรมน ราวกับกำลังลูบขนอย่างนั้น ทำให้นรมนหมดคำพูดเลย
กว่าจะนึกถึงปัญหานี้กิจจาก็ลงจากรถไปแล้ว
“กมล เธอกับกานต์แพ้มะม่วงไม่ใช่เหรอ? ทำไมเธอ……”
“ซื้อให้หม่ามี้ต่างหาก หม่ามี้ชอบกินไม่ใช่เหรอ? ผลไม้ที่นี่น่ากินขนาดนี้ สุกๆทั้งนั้นเลย คงจะอร่อยกว่าแบบเกือบๆสุกที่เราซื้อที่เมืองชลธีใช่ไหมล่ะคะ? เพราะหนูแพ้มะม่วงหม่ามี้เลยไม่ได้กินมะม่วงเท่าไหร่เลย”
กมลพูดซะจนกิจจารู้สึกหน้าชา
เขาไม่ได้สังเกตเลยว่านรมนไม่ได้กินมะม่วงมานานมากแล้ว
จิตใจของกมลละเอียดอ่อนอย่างที่คิดเลย
“งั้นพี่เลือกให้แล้วกัน เธอจะได้ไม่ต้องแพ้อีก”
กิจจาพูดเสนอตัวขึ้น
“ได้ค่ะ”
กมลก็ไม่ปฏิเสธ
ทั้งสองคนมาถึงด้านหน้าของคนขาย ท่าทางที่น่าดึงดูดทำให้อีกฝ่ายเหม่อลอยเล็กน้อย แล้วจึงยิ้มทักทายขึ้น “เด็กๆ กินผลไม้ไหม? พ่อแม่พวกเธอล่ะ?”
“คุณอามองไม่เห็นเหรอว่าพ่อแม่หนูอยู่บนรถข้างหลังนั่น? ก็แค่ซื้อผลไม้เอง ต้องให้พ่อแม่หนูลงมาด้วยเหรอ? คุณอา ดูถูกเด็กๆอย่างพวกเราใช่ไหมล่ะ?”
กมลกระพริบดวงตาโตๆ เสียงหวานๆของเด็กน้อยทำให้คนที่ได้ฟังรู้สึกสบายใจ ถึงจะพูดจาอย่างนี้ แต่ก็ยังไม่ทำให้อารมณ์เสีย
“จะเป็นไปได้ยังไง? พวกหนูอยากซื้ออะไรกันล่ะ?”
“มะม่วง เอาลูกใหญ่ๆลูกนั้น หนูเอาสามลูก นี่ใช่มะม่วงมังกรแดงไหม?”
กมลชี้ไปที่มะม่วงถามขึ้นด้วยท่าทีจริงจัง
อีกฝ่ายตะลึงเล็กน้อย แล้วยิ้มตอบทันที “นี่ไม่ใช่มะม่วงมังกรแดง นี่คือมะม่วงสายพันธุ์ออสเตรเลีย แต่ว่าอร่อยมากเหมือนกัน หนูลองชิมดูได้ ถ้าไม่ชอบอาให้ฟรีเลย”
พูดแล้วอีกฝ่ายก็กำลังจะปอกมะม่วง แต่กลับโดนกิจจาห้ามเอาไว้
“ไม่ต้องปอกครับ น้องผมแพ้มะม่วง”
คำพูดนี้ทำให้คนขายตะลึงอีกครั้ง
แพ้มะม่วงแต่ยังจะซื้ออีกงั้นเหรอ?
เขามองกมลเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
แต่กมลกลับยิ้ม “คุณอา ไม่ต้องให้หนูชิมหรอก หนูเชื่อ ใส่ถุงให้ด้วยค่ะ หม่ามี้ต้องชอบแน่ๆเลย พี่ หนูไม่ได้พกกระเป๋าสตางค์มาด้วย พี่ได้เอามาไหม?”
“อยู่บนรถ เธอไปหยิบมาแล้วกัน พี่จะรออยู่ตรงนี้”
กิจจาไม่กล้าทิ้งกมลไว้ตรงนี้คนเดียว จึงให้กมลไปเอากระเป๋าสตางค์บนรถ
กมลพยักหน้า แล้วก้าวเล็กๆไปที่รถ
บอดี้การ์ดลงมาจากรถทั้งหมด ห้อมล้อมคนขายกับกิจจาไว้ตรงกลาง ต่อให้คนขายคิดจะทำอะไร ตอนนี้ก็คงไม่กล้าแล้ว ยิ่งไม่สามารถทำได้ด้วย
กมลเดินถือกระเป๋าสตางค์มาอย่างใจเย็น
“คุณอา เท่าไหร่คะ?”
“ให้อาแค่ห้าหยวนก็พอ”
“ถูกขนาดนี้เลยเหรอ? พี่ ดูสิ หนูถึงบอกไง ที่นี่ขายผลไม้ถูกมาก”
กมลยิ้มอย่างสดใส เหมือนได้กำไรมากมาย กิจจาเห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้
“จ้าๆๆ เธอพูดถูกทั้งนั้นแหละ”
“งั้นพี่หยิบแก้วมังกรมาด้วย หนูอยากกิน”
กมลพูดไปก็เลียริมฝีปากไปด้วย ท่าทางอยากกินมากๆนั้นทำให้ทุกคนพากันยิ้มออกมา
“คุณอา นี่ ค่ามะม่วง”
กมลหยิบเงินห้าหยวนจากในกระเป๋าส่งไปให้คนขาย ตอนที่กิจจาก้มหน้าหยิบแก้วมังกร บุริศร์กับนรมนก็หรี่ตาลงเล็กน้อย
ทั้งสองคนรีบหยิบแก้วมังกรหลายๆลูก แล้ววิ่งไปหาบุริศร์กับนรมนอย่างร่าเริง
“หม่ามี้ หนูซื้อมะม่วงมาให้ อร่อยมากๆ หม่ามี้ชิมดูค่ะ”
กมลไม่กล้าถือมะม่วง เป็นกิจจาที่ส่งมาให้แทน
“น่ารักจริงๆ ขอบใจนะกมล”
นรมนซาบซึ้งใจ
ลูกสาวสมกับเป็นความเอาใจใส่ของหม่ามี้จริงๆเลย
ในตอนนี้เอง บุริศร์ก็ยิ้มบางๆพูดขึ้น “เอากระดาษในมือมาให้แด๊ดดี้”
“คะ?”
สีหน้าของกมลเปลี่ยนไปทันที
“แด๊ดดี้ พูดอะไร? หนูไม่เข้าใจ”
“ไม่เข้าใจใช่ไหม? จะให้แด๊ดดี้ไปจับตัวคนขายคนนั้นมาถามดูไหม?”
พูดอย่างนี้ กิจจาจึงลนลานขึ้นมาทันที
“เกิดอะไรขึ้น? กมลโดนอะไรเหรอ?”
“ไม่มีอะไรหรอก พี่กิจจา พี่ไม่ต้องเครียดนะ”
กมลเห็นกิจจาประหม่าเช่นนี้ จึงอดรู้สึกผิดไม่ได้
นรมนถอนหายใจ ส่ายหัว แต่กลับไม่พูดอะไร เห็นได้ชัดว่า ตัวตนของกมลใกล้จะโผล่ออกมาต่อหน้ากิจจาแล้ว
กิจจาก็ราวกับรู้สึกได้ถึงอะไร มองกมลด้วยความแปลกใจ
โดนคนในครอบครัวมองอย่างนี้ กมลก็ใจฝ่อ พูดไม่ออกแล้ว
ได้เจอกับพ่อแม่ที่ฉลาดหลักแหลมอย่างนี้ นี่เป็นความโชคดีหรือโชคร้ายของเธอกันแน่นะ?
“ไม่มีอะไรสักหน่อย ก็แค่แผนที่เส้นทางเอง”
กมลพึมพำ ยื่นฝ่ามือออกไปอย่างไม่เต็มใจ
บุริศร์หยิบมาดูทันที
สายตาที่กิจจามองกมลราวกับมองคนที่ไม่รู้จักอย่างนั้น ทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
นี่คือน้องสาวตัวน้อยของเขาที่เอาแต่กินๆดื่มๆงั้นเหรอ?
“กมล เธอ……”
“อั๊ยหยา หนูก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แค่ช่วยพี่ดนัยส่งข่าวเอง”
กมลโดนกิจจามองจนทำตัวไม่ถูก รีบพูดขึ้น “พี่ดนัยเป็นห่วงแด๊ดดี้ของเขา อยากให้หนูช่วยส่งข่าวให้ หวังว่าแด๊ดดี้ของเขาจะได้กลับบ้านเร็วขึ้น นี่ไม่เกินไปใช่ไหม? มองหนูกันทำไมอะ? ที่ไม่ได้บอกทุกคนหนูผิดเอง แต่หนูรับปากพี่ดนัยไปแล้วว่าจะไม่บอกใคร จริงๆนี่เป็นวิธีการติดต่อของครอบครัวพี่ดนัย พวกเรารู้กันหลายคนเกินไปมันไม่ดีนะ”
พูดจนจบ เสียงของกมลก็เบาลงไปเยอะเลย
นรมนดูแผนที่ในมือของบุริศร์ ขมวดคิ้วเล็กน้อยพูดขึ้น “นี่เป็นเส้นทางไปสิบสองปันนาโดยตรงนี่นา”
“อื้ม งั้นที่บางคนบอกว่าจะไปกินของอร่อยที่สิบสองปันนา ก็ไม่ใช่ความจริงทั้งหมดสินะ”
คำพูดของบุริศร์ทำให้ปากเล็กๆของกมลมุ่ยขึ้นมาทันที
“แด๊ดดี้ สนุกไหม? ทุกๆการเคลื่อนไหวของหนูอยู่ในสายตาของแด๊ดดี้หมดเลยใช่ไหมล่ะ? แด๊ดดี้น่ากลัวไปแล้วนะ หนูไม่ได้พูดอะไรเลยก็รู้แล้วว่าหนูมาทำอะไร แด๊ดดี้เป็นปีศาจหรือเปล่าเนี่ย?”
“กมล ทำไมพูดกับแด๊ดดี้อย่างนี้ล่ะ?”
แค่นรมนได้ยิน ก็อยากจะขำขึ้นมาทันที รีบเอ่ยปากท้วงเธอ
“แด๊ดดี้เป็นปีศาจ แล้วลูกเป็นอะไรล่ะ?”
“ปีศาจน้อยละกัน”
บุริศร์หัวเราะไปพูดไป กมลรู้สึกว่าโดนแด๊ดดี้กับหม่ามี้หยอกเย้าแล้ว จึงพ่ายแพ้ไปโดยปริยาย
“แด๊ดดี้ ไม่พูดไม่ได้เหรอ?”
“ขึ้นรถ ต่อไปภารกิจการติดต่อทั้งหมดให้แด๊ดดี้เป็นคนจัดการ แด๊ดดี้ก็หวังให้คุณลุงคริชณะได้กลับมาเร็วๆเหมือนกัน ดังนั้นเรื่องนี้ เป้าหมายของพวกเราเหมือนกันนะ”
บุริศร์ออกคำสั่งที่ปฏิเสธไม่ได้
มีเพียงกิจจาคนเดียวเท่านั้นที่กำลังยุ่งเหยิงอยู่ท่ามกลางสายลม
ฮือๆ!
น้องสาวตัวน้อยที่น่ารักน่าเอ็นดูของเขาหายไปไหนแล้ว?
คนตรงหน้าเปลี่ยนเป็นปีศาจจริงๆใช่ไหม?
เห็นใบหน้าที่กลัดกลุ้มของกิจจา นรมนจึงพูดขึ้นอย่างปวดใจ “กิจจา ขึ้นรถสิลูก”
“ครับ”
กิจจาไม่คึกคักเท่าไหร่เลย
เดิมทีวางแผนจะปกป้องคุ้มครองอย่างสุดชีวิต แต่ผลลัพธ์กลับพบว่าเธอเป็นถึงทองคำ ตนเองต่างหากที่เป็นแค่ทองสัมฤทธิ์ ความรู้สึกนี้แย่มากจริงๆ
กมลก็รู้สึกได้ถึงความหดหู่ของกิจจา พูดขึ้นอย่างอึดอัด “พี่กิจจา พี่อย่าโกรธเลยนะ หนูไม่ได้ตั้งใจ”
“พี่ไม่ได้โกรธ แค่รู้สึกว่าตัวเองโง่ใช้ได้เลย”
“ไม่ใช่ซะหน่อย พี่กิจจาเก่งที่สุด พวกเราทุกคนบาดเจ็บไม่สบาย ก็ต้องการความช่วยเหลือจากพี่กิจจากันทั้งนั้น พี่เป็นหมอ ถ้าไม่มีพี่พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้หรอก อีกอย่างยิ่งเดินทางไปเรื่อยๆ สภาพอากาศก็ยิ่งร้อนอบอ้าว อาจจะเจอแมลงมากมาย พี่ต้องปกป้องพวกเราทุกคนนะ”
กมลกอดแขนกิจจาพูดออดอ้อน
นี่เองกิจจาถึงได้รู้จักกมลอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว
ปกติยัยตัวแสบนี่เอาแต่กินๆดื่มๆ แต่เธอเข้าใจทุกอย่างเลย ถึงกับก่อนมาที่นี่ก็เตรียมตัวทำการบ้านมาก่อนแล้ว
ไม่นึกว่าเธอจะยังรู้ว่ายิ่งเดินทางไปที่ด้านนั้นสภาพอากาศก็จะยิ่งร้อนอบอ้าว นั่นก็แสดงว่าเธอตั้งใจจะมาตั้งแต่แรกแล้ว
กิจจาส่ายหน้า แม้จะยังสะเทือนใจอยู่ แต่ก็เลือกที่จะให้อภัยและเอาอกเอาใจเหมือนเดิม
เธอเป็นน้องสาวของกิจจานี่นา
ต่อให้เป็นผีแล้วจะยังไงล่ะ?
สุดท้ายแล้วเธอก็ยังเป็นน้องสาวตัวเล็กๆที่ชอบกอดแขนของเขาออดอ้อนไม่ใช่เหรอ?
“ได้ แต่บอกไว้ก่อน ไปที่นั่นเธอต้องเชื่อฟังพี่ทุกอย่าง อีกทั้งห้ามมีเรื่องปิดบังพี่อีก แด๊ดดี้พูดถูก เรื่องของคุณลุงคริชณะพวกเราก็เป็นห่วง แล้วก็ต้องช่วยเหลืออยู่แล้ว เขาไม่ใช่เรื่องของเธอคนเดียว เธอเป็นเจ้าหญิงน้อยของครอบครัวเรา ถ้าเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้นเพียงเล็กน้อย เธอจะให้พวกเราทำยังไง? ถ้าเธอรับปากพี่จะให้อภัยเรื่องที่เธอโกหกพี่ ถ้าเธอไม่รับปาก ตอนนี้เราจะกลับรถทันที”
คำพูดของกิจจาทำให้กมลตะลึงงันไปเลย
“ไม่สิ ถ้ากลับไปตอนนี้ คุณลุงคริชณะจะทำยังไง?”
“ควรทำยังไงก็ทำยังงั้นแหละ คุณลุงคริชณะเป็นผู้ใหญ่นะ ต้องมีวิธีจัดการปัญหากับเรื่องของตนเองอยู่แล้ว ไม่ต้องฝากความหวังทั้งหมดไว้บนร่างของเด็กตัวเล็กๆอย่างเธอหรอก ดังนั้นต่อให้เธอทำภารกิจไม่สำเร็จ คุณลุงคริชณะก็คงไม่มีอันตรายขนาดนั้นหรอก แต่เธอไม่เหมือนกัน การทำโดยพลการของเธอจะทำให้ตนเองตกอยู่ในอันตราย นี่เป็นเรื่องที่พี่แด๊ดดี้หม่ามี้ไม่อยากเห็นเลย”
ตอนที่ได้ยินกิจจาพูดอย่างนี้ นรมนค่อนข้างประหลาดใจ แต่ว่าในทันที แววตาก็ปรากฏความสบายใจออกมา
วิธีการครุ่นคิดปัญหาของกิจจารอบคอบกว่ากมลมาก
แม้กมลจะมีทักษะเอาตัวรอดได้ แต่ความคิดยังใสซื่อเกินไป การมีกิจจาอยู่ข้างกายเธอ ทำให้ นรมนสบายใจมาก
และตอนนี้เอง โทรศัพท์ของบุริศร์ก็ดังขึ้น
เขาหยิบขึ้นมาดู หรี่ตาเล็กน้อย แล้วกดรับวีดีโอคอลต่อหน้าทุกคน