“ฉันจะไปเอาหลักฐานมาจากไหน
ปีวราจนปัญญาจริงๆ
บุริศร์กลับยิ้มเย็นชา “ไม่มีหลักฐานก็ตาย เธอเลือกเอา”
“ฉัน……ฉันสามารถออกจากที่นี่ไปหาหลักฐานได้ไหม?”
ปีวรามองบุริศร์อย่างระมัดระวัง กระวนกระวายใจ
คิดไม่ถึงว่าบุริศร์จะพยักหน้า ตอบเบาๆ “ฉันให้สามวัน ถ้าสามวันไม่สามารถหาหลักฐานมาได้ ไม่ว่าเธอจะอยู่ไหน ฉันก็หาเธอเจอ อย่าสงสัยความสามารถของฉัน”
ปีวราอยากจะร้องไห้อีกรอบ
ทำไมเธอถึงได้ไปแหย่เทพสังหารเช่นนี้
“ตอนนี้สภาพร่างกายของฉัน คุณคิดว่าจะคล่องแคล่วภายในสามวันเหรอ? อย่าพูดถึงหาหลักฐานเลย ฉัน……”
“ลูกน้องของคริชณะไม่ได้เหยาะแหยะไร้ความสามารถ เธอจะบอกว่าเธอไม่ใช่คนของเขา?”
บุริศร์พูดแบบนี้ ปีวรายังจะพูดอะไรได้อีก
เธอรีบออกไปจากหมู่บ้านดารายนด้วยร่างกายที่บาดเจ็บ
กมลยืนมองท่าทางจนตรอกของปีวราอยู่ตรงหน้าต่าง พึมพำกับตัวเอง “ฉันจะยังได้กินของอร่อยอยู่ไหมเนี่ย?ทำไมถึงรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ไว้ใจไม่ได้?”
พูดจบก็ส่ายหน้าเดินเข้าไปในห้อง
บุริศร์เก็บคราบเลือดจากผ้าปูบนเตียง และนำไปให้กับกิจจา
“ตรวจ DNA ว่ามีลงทะเบียนบันทึกเอาไว้ไหม สามารถหาตัวตนของเธอเจอหรือเปล่า”
กิจจางุนงงเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าทันที
หลังจากออกมาจากศาลบรรพบุรุษ ดูเหมือนบุริศร์จะไม่สนใจคำพูดของเขาในตอนนั้น และยิ่งส่งเรื่องทุกอย่างให้เขาโดยไม่ลังเล
กิจจาไม่รู้ว่าตนเองควรพูดว่าดีใจหรือเปล่า ในใจยุ่งเหยิงอย่างยิ่ง
เขาชอบบุริศร์ และรู้ว่าบุริศร์ก็ดีกับเขามา แต่เรื่องของพ่อแม่ก็ส่งผลกระทบต่อเขาจริงๆ
แต่ก่อนปกปิดไว้อย่างดี หลังจากถูกควันสลบในศาลบรรพบุรุษ ทุกสิ่งทุกอย่างถูกเปิดเผย กิจจาคิดว่าบุริศร์จะเนรเทศตนเองออกไปไกลๆ ไม่ปล่อยให้เขาแตะต้องสิ่งสำคัญ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าบุริศร์จะทำอย่างตรงกันข้าม ทำให้เขาสับสนอย่างยิ่ง
“เป็นอะไรไป? มีปัญหาอะไรเหรอ?”
เห็นแววตาสับสนของกิจจา บุริศร์ไถ่ถามเบาๆ
“ไม่มีปัญหาครับ แต่การตรวจ DNA ต้องใช้เวลาสามวัน เร็วที่สุดคือวันครึ่ง ที่นี่ผมไม่มีเครื่องมือ”
กิจจาวางความสับสนในก้นบึ้งของหัวใจลง สบตากับบุริศร์ด้วยแววตาไร้ความหวาดหวั่น พูดไปตามข้อเท็จจริง
บุริศร์ครุ่นคิดสักพักจึงกล่าวว่า “ต้องการเครื่องมืออะไร ทำรายการให้แด๊ดดี้ เดี๋ยวจะให้คนไปเตรียมให้ อีกหนึ่งชั่วโมงเครื่องมือจะพร้อมใช้งาน”
“ครับ”
กิจจาพยักหน้า
บุริศร์พูดจบก็หันตัวเดินไป
“แด๊ดดี้!”
กิจจากลับเรียกเขาเอาไว้
“หือ?”
บุริศร์มองกิจจาด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไรครับ”
กิจจารีบหันหน้าหนี
เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงเรียกบุริศร์เอาไว้ แต่ในขณะนั้นเอง มองดูแผ่นหลังที่โดดเดี่ยวของบุริศร์ กิจจาก็เศร้าใจเล็กน้อย
อยู่ดีๆ บุริศร์ก็ยิ้มขึ้นมา พูดเสียงเบา “พักผ่อนเยอะๆ พรุ่งนี้จะพาไปไหว้แด๊ดดี้ของลูก”
คำพูดนี้ทำให้นัยน์ตาของกิจจาร้อนผ่าวทันที
“ครับ”
ทั้งสองคนพูดกันแค่นี้
เมื่อบุริศร์ออกไปจากห้องของกิจจา เห็นนรมนมองเขาอยู่ตรงระเบียงทางเดิน อดไม่ได้รีบเดินเข้าไปหา
“ออกมาทำไม?บอกให้คุณพักผ่อนไม่ใช่เหรอ?”
“เกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณกับกิจจากันแน่?”
นรมนมีความรู้สึกที่ว่องไว ถึงแม้สองคนจะไม่ได้พูดอะไร แต่เธอสัมผัสได้ว่าเหมือนทั้งสองคนมีปัญหาบางอย่าง
บุริศร์หัวเราะ โอบไหล่ของนรมน ตอบอย่างอ่อนโยน “ไม่มีอะไร กิจจามีปมอยู่ในใจ ค่อยๆ คลายออก กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ความจริงเด็กคนนั้นรู้ดี”
“มีปมในใจ?ปมอะไร ทำไมฉันไม่รู้เลย?”
นรมนกังวลขึ้นมาทันที
บุริศร์ลูบศีรษะของเธอ “ไม่มีอะไรหรอก คุณไม่ต้องเป็นห่วง นี่เป็นเรื่องระหว่างผู้ชาย พวกเราสามารถจัดการเองได้ โอเคไหม?”
“ผู้ชายอะไรกัน? กิจจาเพิ่งจะห้าขวบ”
นัยน์ตาของบุริศร์ดูเคร่งขรึม
“คิดถึงตรินท์อีกแล้วเหรอ ที่นี่ห่างจากสถานที่ที่เขาพลีชีพไม่ไกล อยากจะหาเวลาไปดูไหม?”
ได้ยินนรมนพูดแบบนี้ บุริศร์ยิ้มทันที “รู้ใจผมจริงๆ ผมเพิ่งจะพูดแบบนี้กับกิจจา พรุ่งนี้ผมจะพาเขาไปปัดกวาดสุสานของตรินท์ คุณกับกมลรอพวกเราอยู่ที่นี่ก็ได้”
“พวกเราไปด้วยกันเถอะ ถึงยังไงก็เป็นน้องชายของคุณ อีกอย่างพวกเราอยู่ที่นี่ก็ไม่มีอะไรทำ”
นรมนรู้สึกว่าไม่อยากแยกกับบุริศร์
ที่นี่มีวิกฤตมากมาย ใครจะรู้ว่าหลังจากแยกกันจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาอีก ไม่สู้อยู่ด้วยกันดีกว่า หากเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ยังสามารถช่วยกันดูแลได้
“อืม”
ในระหว่างที่พูดทั้งสองก็กลับเข้าห้อง
“จริงสิ ลืมบอกคุณไป โพนี่คลอดแล้ว ได้ลูกผู้ชาย น้ำหนัก 3.9 กิโลกรัม ป้องดีใจสุดๆ ไปเลย”
นรมนรีบเล่าเรื่องนี้ให้บุริศร์ฟัง
ถ้าไม่ใช่เพราะโพนี่ส่งข่าวดีมาให้เธอ เธอคงไม่ออกไปหาบุริศร์ และคงไม่พบว่าบรรยากาศระหว่างบุริศร์กับกิจจาไม่เหมือนเดิม
บุริศร์นิ่งไป จากนั้นพูดอย่างปลื้มอกปลื้มใจ “ในที่สุดป้องก็ได้สิ่งที่ต้องการแล้ว”
“ใช่ พวกเขามีลูกแล้ว ก็นับว่าสมบูรณ์พร้อม”
นรมนนึกถึงร่างกายของตนเอง และนึกถึงว่าบุริศร์ทำหมันไปแล้ว จึงอดเสียใจไม่ได้
ความจริงเธออยากให้บุริศร์ได้สัมผัสความรู้สึกเป็นพ่อคนจริงๆ ในเมื่อตอนนั้นถูกเข้าใจผิดและต้องแยกจากกานต์และกมล เขาจึงไม่ได้เห็นตอนพวกเขาเกิดและการเติบโตช่วงสี่ปีแรก
นี่เป็นความเสียดายตลอดชีวิตของบุริศร์
สัมผัสได้ว่านรมนเริ่มเศร้า แน่นอนบุริศร์รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น บอกว่าไม่เสียดายก็เสแสร้ง แต่ตราบใดที่ดีต่อสุขภาพของนรมน เขาเสียดายไปก็เท่านั้น
เวลาไม่สามารถย้อนกลับได้ เขาไม่อาจปล่อยให้นรมนเสี่ยงชีวิตตั้งครรภ์อีกครั้งเพื่อให้ตนเองไม่รู้สึกเสียดาย
“จริงสิ คุณภรรยา ผมคิดว่าคุณมาที่นี่แล้วดูสวยขึ้นนะ”
จู่ๆ บุริศร์ก็เอ่ยชมทำให้นรมนงุนงงเล็กน้อย ใบหน้าค่อยๆ แดงขึ้น
“แต่งงานกันมานานแล้ว คุณเหลวไหลอะไรเนี่ย”
“ไม่ได้พูดเหลวไหล สวยจริงๆ ไม่เชื่อเข้าไปในห้องสิ ผมจะดูให้ดีเลย”
บุริศร์หยอกล้อ อุ้มนรมนขึ้นทันที เดินตรงไปห้องนอน
นรมนคิดจะดิ้น กลับถูกร่างกายอันแข็งแรงของบุริศร์กดทับเอาไว้ ตามมาด้วยจูบรุนแรงและอ่อนละมุนปะทะเข้าใส่
เธอถูกบุริศร์จับถอดเสื้อผ้าอย่างมึนๆ จากนั้นก็ไม่สามารถควบคุมตนเองได้
เช้าวันต่อมา นรมนยังไม่ตื่น บุริศร์ก็ลืมตาขึ้น
เห็นใบหน้านอนหลับที่เงียบสงบของนรมน บุริศร์ค่อนข้างอิ่มเอมใจ
ชีวิตนี้เขาไม่ต้องการเสาะหาอะไร ความหวังเพียงอย่างเดียวคือทุกวันที่ลืมตาสามารถเห็นท่าทางเงียบสงบของนรมนแบบนี้ก็พอ
บุริศร์จูบหน้าผากของนรมน จากนั้นพลิกผ้าห่มออกลงจากเตียง
เขาไปทำอาหารเล็กน้อยในครัว กิจจาเดินออกมาจากห้อง เมื่อเจอกับบุริศร์ก็นิ่งไปสักพัก จากนั้นพูดว่า “แด๊ดดี้ อรุณสวัสดิ์ครับ”
“อรุณสวัสดิ์ รอแด๊ดดี้ทำอาหารเช้าเสร็จ ออกไปวิ่งกันสักสองรอบ”
นี่ไม่ใช่น้ำเสียงปรึกษาหารือของบุริศร์ โชคดีที่กิจจาก็เคยชิน
เขาพยักหน้า กลับมาที่ห้องล้างหน้าแปรงฟัน เปลี่ยนเป็นชุดออกกำลังกาย
หลังจากบุริศร์ทำอาหารเสร็จก็ไปอาบน้ำ จากนั้นสวมชุดออกกำลังกาย เมื่อออกมากิจจาก็รออยู่ที่ประตูแล้ว
“ไปเถอะ”
บุริศร์ก้าวนำ
กิจจารีบก้าวตาม
ผ่านไปไม่นานกิจจารู้สึกเหนื่อย แต่มองไปที่บุริศร์อีกครั้ง เขาหายใจปกติ ไม่มีท่าทางเหนื่อยล้าสักนิดเดียว
กิจจาขมวดคิ้ว กลับไม่พูดอะไร และกัดฟันตามไป เหงื่อบนศีรษะยิ่งไหลเยอะมากขึ้น
บุริศร์เห็นสภาพของกิจจา จู่ๆ พูดขึ้นว่า “ตอนแด๊ดดี้ของลูกเป็นเด็กก็เหมือนกับลูกเลย วิ่งตามตูดแด๊ดดี้ ทุกครั้งเหนื่อยจนทนไม่ไหว วิ่งไปสักพักก็ไม่วิ่งแล้ว ตอนนั้นจำได้ว่านายทหารครูฝึกโหดมาก แต่เขายอมถูกลงโทษไม่วิ่งต่อ ตอนนั้นพ่อของแด๊ดดี้คิดว่าเขาไม่มีความสามารถพอ จึงค่อยเป็นค่อยไปไม่ทำให้เขาลำบากใจ ต่อมาแด๊ดดี้เพิ่งจะรู้ว่า เขาไม่อยากแข่งกับแด๊ดดี้”
กิจจาฟังเงียบๆ
เขาคิดว่าตนเองจะรู้สึกแย่ จนแม้แต่โมโหด้วยซ้ำ แต่กลับไม่มีความรู้สึกแบบนั้นเลย
จิตใจของเขาสงบมาก ชัดเจนว่ากำลังฟังเรื่องของพ่อผู้ให้กำเนิดตนเอง แต่กลับเหมือนฟังเรื่องของคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก ไม่สามารถทำให้ในใจเขาเกิดระลอกคลื่นใดๆ
ทำไมถึงเป็นแบบนี้?
กิจจาไม่รู้
บุริศร์เห็นเขาไม่พูดจา จึงหยุดทันที นำผ้าเช็ดตัวที่คอให้เขา เอ่ยถามเสียงเบา “ตอนนี้ให้โอกาสลูกกับกานต์แข่งขันกันอย่างยุติธรรม ลูกจะยอมแพ้ไม่แข่งเหมือนแด๊ดดี้ของลูกไหม?”
กิจจางุนงง
“หมายความว่าอะไรครับ?”
กิจจามองบุริศร์ด้วยความสงสัย
บุริศร์ยิ้ม “ตอนนี้สถานการณ์ของแด๊ดดี้แค่เพียงชั่วคราว จะต้องชะล้างความคับข้องใจที่สะสมไว้ออกไปได้อย่างแน่นอน เมื่อจัดการเรื่องของหมู่บ้านดารายนเสร็จ ลูกกับกานต์ต่างเป็นเด็กที่มีความโดดเด่นที่สุดของตระกูลโตเล็ก แด๊ดดี้รู้ว่าลูกอยากเรียนหมอ ไม่สนใจเรื่องทำธุรกิจ แต่ถ้าสามารถให้โอกาสลูกสอบแพทย์ทหารได้ล่ะ?กิจจา ลูกควรจะรู้ว่า จบการศึกษาจากโรงเรียนทหารและเกณฑ์ทหารเป็นสองแนวคิด โดยทั่วไปครอบครัวอย่างพวกเราจะส่งไปได้เพียงคนเดียว ดังนั้นลูกอยากจะยอมแพ้? หรือจะพยายามช่วงชิง?”
คิ้วของกิจจาขมวดเบาๆ
เขารู้สึกว่าบุริศร์ทำให้เขาลำบากใจ
เขาเพิ่งจะห้าขวบ
การพิจารณาเรื่องนี้ในตอนนี้จะไม่เร็วไปหน่อยเหรอ และถึงแม้จะมีเพียงโควตาเดียว ก็ยังมีเวลาอีกหลายปี ทุกอย่างมีความเป็นไปได้
“แด๊ดดี้ แด๊ดดี้กำลังทำให้ผมลำบากใจ”
นัยน์ตาของกิจจามีความไม่พอใจ
บุริศร์กลับมองเขาอย่างจริงจัง “แด๊ดดี้ไม่ได้กดดันลูก แค่จำสิ่งที่ลูกเคยพูดได้ ลูกบอกว่าตอนนี้ลูกรู้สึกเหมือนต้องพึ่งพาคนอื่น ในเมื่อต้องพึ่งพาคนอื่น ก็ควรวางอนาคตให้ตนเองล่วงหน้าไม่ใช่รึไง?ดังนั้นกิจจา แด๊ดดี้หวังว่าลูกจะสามารถตอบได้อย่างจริงจัง พยายามช่วงชิง? หรือว่ายอมแพ้?”
คิ้วของกิจจาขมวดแน่น
ยอมแพ้เหรอ?
เขาไม่คิดอย่างนั้น
เขารู้ ถึงแม้มิลินจะถูกเรียกว่ายมราช แต่ชีวิตของเธอล้มลุกคลุกคลานมากเกินไป วิชาทางการแพทย์ทั้งหมดที่เรียนมาไม่ได้ทำเพื่อให้บริการประชาชนทั่วไปทั้งหมด ถ้าให้เขาเลือก เขาไม่หวังเป็นเพียงคุณหมอธรรมดา เขาอยากสอบเข้าโรงเรียนทหาร อยากเป็นแพทย์ทหาร และกลายเป็นนายทหารคนหนึ่ง เพื่อเติมเต็มความฝันของพ่อผู้ให้กำเนิด
แต่ให้เขาแข่งขันกับกานต์ กิจจาสองจิตสองใจ
ในสมองของเขาปรากฏภาพทั้งหมดของกานต์ที่เคยทุ่มเทเพื่อเขาไม่หยุด ถ้าเขาแย่งโควตานี้ไป กานต์จะทำอย่างไร?
ชีวิตนี้กิจจาไม่ต้องการทอดทิ้งและผิดใจกับพี่น้อง!