“ในประเทศFนี่คนมีความสามารถเยอะจริง ๆ และนี่ก็ไม่รู้ว่าเป็นการกระทำของยอดฝีมือคนไหน ถึงได้เอาความคิดมากมายอยู่บนหัวผมแล้ว”
จณัตว์หัวเราะเสียงเย็นทีหนึ่ง แล้วก็ออกคำสั่งออกไปโดยตรง
“เอาคนไปโยนไว้บนเสาที่ลานกล้างแจ้งตรงใจกลางเมือง ฉันจะดูสักหน่อยว่าในประเทศFนี้ใครกันที่อยากมีเรื่องกับตระกูลแหลมวิไลเรา”
“ครับ”
พวกลูกน้องรีบมายกคนออกไปเลยทันที
หัวคิ้วของบุริศร์ก็ขมวดเข้าด้วยกันแน่นขึ้นมาเหมือนกัน
สามารถเข้ามาในตระกูลแหลมวิไลอย่างไม่มีสุ้มเสียง และยังใช้บ่อน้ำร้อนมาเป็นที่กำบังกาย ตกลงอีกฝ่ายอยากจะทำอะไรกันแน่? หรือว่าแค่มาดูคนแช่น้ำเฉย ๆ เหรอ? นี่มันดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลไปหน่อยแล้วมั้ง
“จณัตว์ ห้องทดลองอะไรของคุณนั่นก็อยู่ในบ้านใหญ่นี่ใช่ไหม?”
“อืม”
จณัตว์พยักหน้าเล็กน้อย
“ที่นี่เป็นที่ที่ผมทำการทดลองมาตลอด ทำไมเหรอ? คุณรู้สึกว่าอีกฝ่ายจะมาเพื่อห้องทดลองของผมเหรอ?”
บุริศร์พยักหน้าแล้วก็พูดขึ้นว่า “ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้นี้ ทำไมสมชัยจะต้องชักชวนคุณล่ะ? ไม่ใช่เพราะว่ารหัสทางการวิจัยทางพันธุกรรมนั่นไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้เจ้านายที่อยู่เบื้องหลังของคนคนนี้ ก็คงจะมุ่งมาเพราะอันนี้ด้วยเหมือนกัน ตอนนั้นตระกูลโตเล็กเราก็มีเชษฐ์คนหนึ่งที่ชื่นชอบเรื่องแบบนี้เป็นอย่างมาก และตอนนี้ก็พูดได้ยากว่าจะไม่มีใครที่อยากได้การทดลองแบบนี้”
แน่นอนว่าจณัตว์นั้นรู้จักเชษฐ์อยู่ แต่ว่าเขากลับพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “ถึงผมจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับด้านนี้อยู่ แต่ว่าก็ไม่ได้คิดว่าจะเข้าไปวิจัยลึกซึ้งอะไร ของอย่างพันธุกรรมในร่างกายมนุษย์นี้ สมชัยอยากจะเอาไปใช้ในตัวคน แล้วกระตุ้นศักยภาพที่สูงที่สุดในตัวคนออกมาเพื่อให้กลายเป็นนักรบคงกระพัน ความคิดแบบนี้เชื่อถือไม่ได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ผมไม่มีเวลามาบ้าบอกับเขาด้วยหรอกนะ ตอนนี้ก็แค่มาเสแสร้งแกล้งทำกับเขาไปเท่านั้น แต่ว่าถ้าเป็นอย่างที่คุณเดามาจริง ๆ ละก็ ถ้าอีกฝ่ายมาเพื่อการวิจัยทางพันธุกรรมนั่นละก็ คุณไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก ไอ้ห้องทดลองนี่ถ้าไม่มีลายนิ้วมือของผมกับการสแกนม่านตาของผมก็ไม่มีทางเข้าไปได้หรอก นอกซะจากว่าพวกเขาจะตัดมือของผมไป และควักดวงตาของผมไปด้วย”
พอได้ยินจณัตว์พูดแบบนี้ บุริศร์กลับไม่ได้วางใจลง แต่กลับเป็นกังวลขึ้นเล็กน้อยแล้วก็พูดขึ้นว่า “ยังไงคุณก็ระวังตัวหน่อยดีกว่า หลักการที่ว่าชาวบ้านไม่มีความผิด แต่ชาวบ้านที่ซ่อนหยกนั้นมีความผิดเพราะชาวบ้านธรรมดาไม่มีทางที่จะมีหยกได้นั้นก็ไม่ได้ไม่มีเหตุผลเลยนะ”
“รู้แล้ว”
จณัตว์ฟังออกว่าบุริศร์นั้นเป็นห่วงตัวเองจริง ๆ จึงอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าขึ้น
และเพื่อไม่ให้นรมนคิดไม่เรื่อย บุริศร์ก็รีบเดินกลับไปเลย
“เป็นยังไงบ้างคะ? ตรวจเช็กเจออะไรบ้างคะ?”
นรมนเห็นบุริศร์ออกมาแล้วก็รีบเข้าไปถามทันที หงส์ถึงจะไม่ได้เอ่ยถาม แต่ว่าแววตาก็เป็นห่วงอยู่บ้างเหมือนกัน
บุริศร์ลูบหัวของนรมนเล็กน้อย แล้วก็พูดเสียงอ่อนโยนขึ้นว่า “ไม่พบอะไรเลย ก็แค่คนพลีชีพคนหนึ่ง แต่ว่าบนตัวกลับมีรอยสักขององครักษ์ลับอยู่ เรื่องนี้อีกเดี๋ยวค่อยคุยกับคุณนะ”
“ได้ค่ะ”
นรมนกลับไม่ได้ถามต่ออีก
บุริศร์จ้องมองหงส์เล็กน้อย แล้วครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง แล้วก็พูดเสียงต่ำขึ้นว่า “หงส์ ปฏิบัติกับจณัตว์ดีหน่อยนะ”
สีหน้าของหงส์นิ่งค้างไปเล็กน้อยทันทีเลย
ถึงแม้ว่าเธอได้คิดว่าจะปล่อยวางความดื้อดึงที่มีต่อบุริศร์แล้ว แต่ว่าตอนนี้บุริศร์มาพูดแบบนี้มันทำให้คนเสียใจมากจริง ๆ นะรู้หรือเปล่า
“เฮียบุรศร์ เรื่องของฉันคุณอย่ามายุ่งเลย”
“เขาเคยช่วยชีวิตเธอมาก่อน ถึงแม้ว่าเธอจะลืมไปแล้ว แต่ว่าฉันรู้สึกว่ายังไงก็จะต้องบอกกับเธอสักหน่อย ตอนนั้นชีวิตเธอแขวนอยู่บนเส้นด้าย หมอสนามไปอยู่ด้านหน้ากันหมด จึงไม่มีคนมาผ่าตัดให้เธอ แล้วจณัตว์ก็เป็นคนมาผ่าตัดให้เธอโดยไม่ได้นอนเลยทั้งคืน ถ้าหากไม่มีเขาเธอไม่มีทางรอดมาได้หรอก”
บุริศร์พูดจบก็จูงมือนรมนแล้วก็หมุนตัวเดินจากไปเลย เหลือหงส์ทิ้งไว้ให้ว้าวุ่นอยู่ท่ามกลางสายลมคนเดียว
นี่เธอติดค้างชีวิตหนึ่งชีวิตกับผู้ชายอย่างจณัตว์นั่นเลยเหรอ?
เป็นไปได้ยังไงกัน?
แต่ว่าเฮียบุริศร์ไม่มีทางที่จะหลอกเธอแน่
หงส์รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย
นรมนหันไปมองหงส์ทีหนึ่งอยู่ไม่หยุด แล้วก็ดึกแขนของบุริศร์เบา ๆ แล้วถามขึ้นว่า “คุณกะว่าจะจับคู่ให้พวกเขาเหรอคะ?”
“พวกเขาต้องการให้ผมมาจับคู่ด้วยเหรอ?”
บุริศร์ยักคิ้วเล็กน้อย
“แต่ว่าที่คุณทำแบบนี้มันก็ชัดเจนมากเลยนี่คะ?”
“หงส์มีความทรงจำช่วงหนึ่งหลงลืมไป มันไม่ยุติธรรมต่อจณัตว์ และที่สำคัญจณัตว์เหมือนจะมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งต่อเธอมากด้วย เพราะฉะนั้นผมรู้สึกว่าบอกความจริงบางอย่างกับหงส์บ้าง บางทีสำหรับหงส์แล้วอาจจะเป็นเรื่องที่ดีก็ได้”
บุริศร์เล่าเรื่องสถานการณ์ของหงส์ให้นรมนฟังไปรอบหนึ่ง
นรมนฟังจบก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“เธอมีความทรงจำสองปีที่ขาดหายไปเหรอ? งั้นทำไมเรื่องที่ช่วยชีวิตคุณไว้ แล้วอยากจะให้คุณแต่งงานกับเธอถึงได้จำได้แม่นยำแบบนี้ละคะ? แต่กลับเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพี่ฉันกลับจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ? ไอ้ช่วงความทรงจำนี่มันยังเลือกได้ด้วยเหรอคะ? แล้วถึงจะเลือกได้ก็เถอะ ทำไมเธอถึงได้เลือกแต่ส่วนที่เกี่ยวข้องกับพี่ฉันมาลืมไปล่ะ? บุริศร์ คุณไม่รู้สึกว่ามันแปลก ๆ เหรอคะ?”
บุริศร์จ้องมองนรมนเล็กน้อย อยู่ ๆ ก็หัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า “สมแล้วที่เป็นพี่น้องกันจริง ๆ แม้แต่คำถามก็ยังเหมือนกันเปี๊ยบเลย เมื่อกี้จณัตว์เองก็พูดแบบนี้ สำหรับเหตุผลนั้นผมก็ไม่ชัดเจน”
“เป็นไปได้ไหมคะ ว่าหงส์จะตั้งใจแกล้งจำพี่ฉันไม่ได้?”
นรมนถามขึ้นอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
บุริศร์พูดเสียงต่ำขึ้นว่า “ผมไม่รู้ เธอจะคิดยังไงนั้นไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องไปคิด ผมก็แค่ทำเรื่องที่ผมรู้สึกว่าควรจะทำไปเท่านั้น สำหรับอนาคตพวกจะพัฒนาไปทางไหนนั้น ผมก็ควบคุมไม่ได้แล้ว ไปเถอะ พวกเรากลับห้องกันกว่า แช่บ่อน้ำร้อนสักหน่อยก็ยังทำให้เมียผมโดนคนเห็นไปจนหมด เมื่อกี้ผมควรจะควักลูกตาของเจ้าคนนั้นคนออกมาซะก่อนนะ”
พอคิดถึงเรื่องนี้บุริศร์ก็มีไฟโกรธอยู่เต็มอกเลย
นรมนรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “ใครจะไปคิดว่าใต้บ่อน้ำร้อนจะมีคนอยู่ ต่อไปฉันก็มีภาพฝังใจแล้ว จะไม่ออกไปอาบน้ำข้างนอกอีกแล้ว”
“คงไม่ต้องถึงขนาดนั้น เจ้าชั่วนั่นก็น่าจะมองไม่เห็นอะไรมากหรอก ตอนนั้นก็ได้ให้คุณคลุมชุดคลุมอาบน้ำอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
บุริศร์กลับว่าถ้านรมนแช่น้ำร้อนเสร็จแล้วออกมาจะหนาว ก็เลยให้เธอใส่ชุดคลุมอาบน้ำลงน้ำเลย เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็เลยได้แต่เอาข้ออ้างอันนี้มาปลอบใจตัวเองเท่านั้น
นรมนยังไงก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่เล็กน้อย
“เอาล่ะ ไม่คิดมากแล้ว คนคนนั้นก็ได้ตายไปแล้ว เดี๋ยวผมให้คนต้มน้ำขิงมาให้คุณสักหน่อยดีกว่า จะได้ไม่เป็นหวัด”
“ตกลงคนคนนั้นเป็นคนของใครคะ?”
นรมนโมโหจะตายอยู่แล้ว
บุริศร์ส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่รู้ อีกฝ่ายมีเจตนาจะใส่ร้ายไปให้พรินทร์ แต่ว่าคนจะต้องไม่ได้เป็นของเขาแน่”
“ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ เจตนาของอีกฝ่ายก็ชัดเจนมาก ก็คืออยากจะให้พรินทร์กับตระกูลแหลมวิไลเกิดความขัดแย้งกัน คนที่สามารถทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้ตอนนี้ดูแล้วมีแต่ลูกพี่ลูกน้องของฉันราเชนที่น่าสงสัยแล้ว”
“ผมรู้สึกว่าไม่ใช่นะ ถึงแม้ราเชนจะมีความน่าสงสัยอยู่ แต่ว่าเขาน่าจะไม่เอาคุณมาเสี่ยงหรอก ผมได้ส่งคนไปบอกเขาแล้วว่าพวกเราอยู่ที่จณัตว์นี่ และที่สำคัญก็ได้ยินมาว่าเขาได้ร่วมมือกับจณัตว์เป็นพวกเดียวกันแล้ว ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่รู้สถานะที่แท้จริงของจณัตว์ แต่ว่าจากความเป็นคนของราเชนนั้นยังไม่น่าจะทำแบบนี้ได้หรอก”
บุริศร์กลับมองได้อย่างชัดเจน
นรมนขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วก็พูดขึ้นว่า “งั้นจะเป็นใครไปได้ละคะ? สมชัยเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำอย่างนี้ ส่วนฉัตรพลก็ได้จิตใจร้อนรนเพราะว่าการตายของกล้าณรงค์ไปตั้งนานแล้ว ไม่มีอารมณ์มาต่อกรกับตระกูลแหลมวิไลแน่ และอีกอย่างถ้าเขาต้องการจะต่อกรกับสมชัยจริง ๆ ละก็ ขาดตัวช่วยอย่างตระกูลแหลมวิไลไปก็ไม่ได้ แน่นอนว่าต้องไม่มีทางทำแบบนี้แน่ งั้นฉันก็ไม่เข้าใจแล้วจริง ๆ ยังจะมีใครที่ทำแบบนี้ได้อีก ถึงแม้ดารัณจะน่าสงสัยอยู่บ้าง แต่ว่าอย่างน้อยพี่ชายของฉันก็ยังเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธออยู่ ฉันรู้สึกว่าเธอคงจะไม่มีทางคิดไม่ซื่อกับตระกูลแหลมวิไลหรอก”
พอเห็นว่าหัวคิ้วของนรมนขมวดกันคนเป็นสามขีดแล้ว บุริศร์ก็รีบยื่นมือออกไปนวดหัวคิ้วให้เธอ แล้วพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “ไม่ว่าจะเป็นใครยังไงสักวันหนึ่งก็คงจะต้องมีพิรุธโผล่ออกมาแน่ คุณอย่ามัวสูญเสียเซลล์สมองยู่เลย รีบไปอาบน้ำเถอะ แล้วก็ออกมาดื่มน้ำขิงซะ ผมได้ติดต่อกับกานต์แล้ว อีกเดี๋ยวเขาจะโทรวิดีโอคอลมาหาพวกเรา คุณคงจะไม่อยากเจอหน้าลูกชายด้วยสภาพแบบนี้หรอกนะ”
“ทำไมคุณไม่รีบพูดล่ะ”
พอนรมนได้ยินว่าจะวิดีโอคอลกับลูกชาย ก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำเลย
พอบุริศร์เห็นท่าทางแบบนี้ของเธอก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มออกเล็กน้อย
ช่วงระยะเวลาหลายวันมานี้ต้องระแวงอยู่ตลอด ก็เลยไม่ได้โทรวิดีโอคอลกับพวกลูก ๆ เลย นรมนเองก็คิดถึงเด็ก ๆ พวกนั้นตั้งนานแล้ว ถึงจะไม่พูด แต่ว่าบุริศร์เองก็รู้
ตอนนี้อยู่ในบ้านตระกูลแหลมวิไลก็สามารถใช้ดาวเทียมรบกวนสัญญาณมาพูดคุยกับพวกเด็ก ๆ ได้แล้ว
นรมนอาบน้ำอย่างรวดเร็วไปรอบหนึ่ง ตอนที่ออกมานั้นผมยังเป่าไม่แห้ง คนที่อยู่ข้างนอกก็ส่งน้ำขิงเข้ามา บุริศร์เฝ้ามองเธอดื่มจนหมด แล้วถึงไปหาไดร์เป่าผมมาเป่าผมให้เธอ
เธอส่งคำเชิญโทรวิดีโอคอลไปให้กานต์อย่างแทบจะอดทนไม่ไหว ทางด้านโน้นก็แทบจะรับสายในเวลาแรกเลย
“หม่ามี้ แด๊ดดี้ พวกคุณสบายดีไหมครับ?”
น้ำเสียงของกานต์ลอยมา นรมนแทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว
“หม่ามี้คิดถึงพวกหนูจังเลย”
ข้างหลังกานต์นั้นคือกมลและกิจจาทั้งสองคน พวกเขาสามคนนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเป็นเด็กดีมาก แล้วก็จ้องมองนรมนผ่านวิดีโอคอล
บุริศร์เพียงแต่แค่มองพวกเขาอย่างเรียบเฉยทีหนึ่ง แล้วก็เป่าผมให้นรมนต่อไป
กมลพิงอยู่ในอกของกิจจา ยิ้มแล้วก็พูดขึ้นว่า “หม่ามี้ พวกคุณจะกลับมาเมื่อไหร่คะ? หนูก็คิดถึงพวกคุณแล้ว ตอนที่พวกคุณกลับมานั้นอย่าลืมเอาของขวัญมาให้พวกเราด้วยนะคะ”
“ได้จ้ะ พวกหนูอยู่ที่สหภาพQTเป็นเด็กดีกันหรือเปล่าจ๊ะ?”
นรมนรู้ว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่สหภาพQTกันทั้งหมด จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“พวกเราสบายดีค่ะ หม่ามี้ หม่ามี้วางใจเถอะ คุณอาวินเซนต์ดีกับพวกเรามากเลย อ๋อใช่แล้วหม่ามี้ หนูมีเรื่องอะไรจะบอกหม่ามี้ด้วยค่ะ”
กมลเปลี่ยนเป็นสอดรู้สอดเห็นมากและมองไปข้างนอก จากนั้นก็พูดเสียงต่ำขึ้นว่า “เหมือนว่าคุณอาวินเซนต์จะมีความรักแล้วค่ะ และนอนห้องเดียวกับคุณน้าเกวลินทุกวันเลยค่ะ น่าอายจริง ๆ หนูยังเห็นเขาจูบคุณน้าเกวลินตั้งหลายครั้งแล้วค่ะ”
“กมล ทำไมเธอถึงไปแอบดูผู้ใหญ่เขาจูบกันได้เนี่ย?”
กานต์รู้สึกหมดคำพูดเล็กน้อยแล้ว
ตั้งแต่ที่มาถึงสหภาพQTแล้ว กลมก็ตัวของตัวเองเต็มที่เลย และก็ไม่เสแสร้งแล้วด้วย นอกจากกินแล้วก็ออกไปก่อเรื่องไปทั่ว ตัวเขาเองก็ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว
ตอนนี้กานต์คิดถึงกมลคนนั้นที่แกล้งแสดงเป็นผู้อ่อนแอมากเลย น้องสาวที่เชื่อฟังขนาดนั้นได้หายไปไหนแล้วนะ?
กิจจาแค่เม้นปากไว้แอบขำเล็กน้อย แล้วก็ไม่พูดอะไร
กมลพูดอย่างเป็นผู้บริสุทธิ์มากว่า “หนูไปแอบดูที่ไหน? พวกเขาสองคนไม่รู้จักหลบต่างหาก โดนหนูเห็นเข้า น่าจะหนูเป็นฝ่ายร้องเรียนมากกว่ามั้ง? หนูยังเป็นเด็กคนหนึ่งอยู่นะ”
“เธอเลิกพูดไปเถอะ”
กานต์ไม่ไว้หน้ากมลเลยแม้แต่น้อย
จ้องมองท่าทางของเด็กทั้งสามคนในตอนนี้ นรมนก็ยิ้มขึ้นมาทันที ความคิดถึงในใจก็ยิ่งหนักหน่วงมากยิ่งขึ้นแล้ว
“เอาล่ะ กานต์ หนูเป็นพี่ จะต้องดูแลกมลให้มาก ยังมีกิจจา วัน ๆ อย่าเอาแต่อ่านหนังสือนะ จะต้องพูดคุยกับคนอื่นให้มาก ๆ หน่อยนะรู้ไหม? ฉันหาพี่ชายของฉันเจอที่นี่แล้ว เดี๋ยวกลับไปจะแนะนำให้เธอรู้จักสักหน่อย เขาเป็นดอกเตอร์ทางการแพทย์เลยนะ เก่งมากด้วย”
คำพูดของนรมนทำให้กิจจารู้สึกดีใจขึ้นมาทันที
“หม่ามี้พูดจริงเหรอครับ?”
“ต้องจริงอยู่แล้วซิ”
กิจจาดีใจมาก แต่กลับลังเลไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองไปที่บุริศร์ที่ไม่รู้ว่าเป่าผมให้นรมนเสร็จไปตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วมานั่งอยู่ข้าง ๆ ทีหนึ่ง แล้วถึงพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “แด๊ดดี้ หม่ามี้ อาจารย์ของมิลินมาหาผมแล้วครับ”