หรือว่าลูกของเขาจะมีปัญหาอะไร?
หากเป็นเช่นนี้ เขาจะมีความผิดอย่างใหญ่หลวง
“นรมน เธอว่า ลูกเป็นอะไรไปนะ?”
ทั้งคิมและชินทรต่างรู้สึกเป็นกังวล
พวกเขาแค่ได้ยินว่านรมนคลอดลูกแฝดเป็นเด็กผู้ชาย แต่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ใช่ว่าไม่อยากกลับไป แต่ว่าทำไม่ได้
หน้าที่ของพวกเขาคือเฝ้าอยู่ที่นี่ ในป่ามืดมีการกลายพันธุ์มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อไม่นานมานี้ก็มีคนถูกทำร้ายบาดเจ็บแล้ว ดังนั้นคิมและชินทรจึงออกไปจากป่ามืดไม่ได้อย่างเด็ดขาด
พวกเขาไม่เคยเห็นหลานๆ มาก่อน มันเป็นความรู้สึกเสียใจอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเด็ก ทั้งสองก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา
นรมนยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร เด็กๆ แข็งแรงมาก ดัชนีทุกด้านดีมาก แต่ดวงตาของลูกชายคนเล็กมีปัญหานิดหน่อย”
“ปัญหาอะไร?”
จณัตว์ ชินทร และคิมถามขึ้นพร้อมกัน
บุริศร์กล่าว “ดวงตาของเด็กเป็นสีฟ้าเพราะนภดล ก่อนหน้านี้นรมนดื่มเลือดของนภดลมาหนึ่งหยดไม่ใช่เหรอ? คุณท่านกลัวว่านี่จะเป็นกรรมพันธุ์ทางสายเลือดของนภดล เขาเลยจับตาดูลูกชายคนเล็กไว้”
จณัตว์โมโหทันที
“บ้าเอ๊ย! แค่เลือดหยดเดียวก็เป็นกรรมพันธุ์แล้ว? ทำไมเขาไม่บอกว่านภดลเป็นอาจารย์ปู่ของบ้านเรา แบบนี้มันยังฟังขึ้นมากกว่า”
นรมนอยากจะหัวเราะ แต่ก็กลั้นเอาไว้
จณัตว์ในเวลานี้น่ารักเป็นบ้าเลย
“พี่คะ แต่พวกเราไม่มีใครดวงตาสีฟ้าเลย ดังนั้นไม่น่าแปลกใจเลยที่เบื้องบนสงสัย อีกไม่กี่ปีถ้าเด็กๆ ไม่มีอะไรพิเศษก็ไม่เป็นไรแล้ว”
“ทำไมต้องคอยจับตาดูหลานชายของพวกเราไปอีกหลายปีด้วย? ว่าแต่ว่า ใครบอกเธอว่าครอบครัวเราไม่มีใครดวงตาสีฟ้า?”
“เอ๊ะ?”
นรมนอดแปลกใจไม่ได้
“ในครอบครัวเรามีคนดวงตาสีฟ้าด้วยเหรอ?”
“มีสิ”
จณัตว์มองไปที่คิมแล้วพูดว่า “แม่ของคุณป้ามีดวงตาสีฟ้า”
“เป็นไปไม่ได้!”
คิมเป็นคนแรกที่โต้แย้ง
เธอเคยเห็นแม่มาก่อน ดวงตาของแม่เป็นดวงตาสีดำอย่างแท้จริง จะเป็นดวงตาสีฟ้าได้อย่างไร?
จณัตว์ลูบจมูกพลางพูดว่า “คุณป้า คุณรู้จักตัวตนของแม่ของคุณไหม?”
“แม่ของฉันจะมีตัวตนอะไรได้? เธอก็เป็นแค่…”
“แม่คะ ตัวตนของคุณยายไม่ธรรมดานะคะ”
นรมนหยุดคิมเอาไว้ทันเวลา และเล่าเรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างนิวัฒน์กับคุณยายให้เธอฟัง เดิมทีคิดไว้ว่าให้ผ่านไปสักพักหนึ่งค่อยพูด แต่มีบางเรื่องที่เก็บเอาไว้ไม่อยู่แล้ว
เมื่อคิมได้ฟังที่นรมนเล่า ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเศร้าใจ
“แม่ของฉันเป็นองค์หญิง? แล้วพ่อของฉันรู้ไหม?”
“ไม่รู้ค่ะ ฉันคิดว่าคุณยายคงไม่อยากให้คุณตารู้ตัวตนที่แท้จริงของเธอ เธอจึงเก็บเป็นความลับมาโดยตลอด หลังจากที่เธอถูกนิวัฒน์กลั่นแกล้งลับหลัง เธอจึงพาคุณน้าออกไปจากบ้าน เพราะกลัวว่าคุณตาจะเข้ามาพัวพันด้วย”
นรมนคาดเดาอย่างนี้ แต่เธอคิดว่ามันควรจะเป็นความจริง
เมื่อนึกถึงอดีต คิมก็อดสะอื้นไห้ไม่ได้
“ไม่แปลกใจเลยที่แม่ร้ายกับสรชาขนาดนี้ แล้วยังไม่อนุญาตให้ฉันติดต่อกับเธอด้วย บางทีแม่อาจจะไม่ชอบสรชาอยู่ในใจก็ได้? แต่ถึงอย่างไรก็เป็นลูกสาวแท้ๆ เธอตัดใจไม่ลง แต่ก็เผชิญหน้าไม่ได้เช่นกัน ตอนที่แม่จากไปเพิ่งอายุห้าสิบกว่า ต้องมีชีวิตที่ยากลำบากมาโดยตลอด เธอควรจะมีชีวิตที่หรูหรา แต่กลับต้องล้มลุกคลุกคลานแบบนี้ จนกระทั่งตายก็ไม่ยอมให้พวกเรารู้ตัวตนของเธอ และไม่ได้กลับไปที่ประเทศของตัวเอง พวกเราเป็นลูกที่อกตัญญูจริงๆ”
ชินทรตบไหล่คิมเบาๆ ปลอบเธอด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “อีกไม่กี่วันผมจะยื่นคำร้อง นำเถ้ากระดูกของแม่กลับไปกับคุณด้วย”
“ได้เหรอ? แล้วเรื่องทางนี้…”
คิมต้องการส่งมารดากลับบ้านเกิด แต่หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบทางนี้ก็หนีไม่พ้นพวกเขาอยู่ดี
ชินทรพูดเบาๆ “ทุกคนล้วนมีอารมณ์ความรู้สึกและความปรารถนาแบบปุถุชนทั่วไป แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะจงรักภักดีและกตัญญูทั้งสองฝ่ายตั้งแต่สมัยโบราณ แต่ตระกูลทวีทรัพย์ธาดาของเราได้ทำเพื่อประเทศมามากเกินไปแล้ว พวกเราแค่ต้องการโอกาสที่จะได้กตัญญู ผมคิดว่าเบื้องบนน่าจะอนุญาต ส่วนเรื่องทางนี้ ยังไงก็ต้องมีคนมาทำหน้าที่แทนพวกเรา”
อันที่จริงชินทรต้องการเกษียณอายุแล้ว
เขาเป็นทหารมาทั้งชีวิต เห็นประเทศนี้เป็นบ้านของเขามาโดยตลอด นี่คือความเสียใจชั่วชีวิตที่เขาไม่สามารถกลับมาหาแม่ได้ตอนที่เธอจากไป ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว ควรจะทิ้งโอกาสให้คนหนุ่มสาว ดังนั้นเขาจึงต้องการถอย
คิมไม่รู้ว่าตอนนี้ชินทรกำลังคิดอะไรอยู่ เพียงแค่พยักหน้าเมื่อได้ยินชินทรพูดแบบนี้
นรมนเห็นพ่อปลอบใจแม่แล้ว จึงหันไปหาจณัตว์แล้วถามว่า “พี่คะ พี่ยังไม่ได้บอกฉันว่ารู้ได้ยังไงว่าคุณยายมีดวงตาสีฟ้า?”
“เพราะหลังจากที่คุณยายมาที่ประเทศของเราก็ได้พบกับคนคนหนึ่ง ซึ่งก็คืออาจารย์ที่ปรึกษาของฉัน กรณ์”
จณัตว์ค่อยๆ เล่าอดีตที่บอกใครไม่ได้ออกมา
กรณ์มีชื่อเสียงในด้านการวิจัยทางการแพทย์มาโดยตลอด และมีความสนใจในการศึกษาเรื่องพันธุกรรมด้วย แต่ก็ยังไม่มีความสำเร็จมากนัก เขาบังเอิญได้พบกับพันวรินที่เพิ่งมาที่ประเทศของเรา
ในเวลานั้นพันวรินถูกคนรอบข้างรังแกและบีบคั้นเพราะดวงตาที่ผิดปกติ มีหลายสิ่งหลายอย่างในยุคนั้นที่ไม่สามารถยอมรับได้โดยง่าย
ผู้หญิงอ่อนแอคนเดียวอย่างพันวรินถูกรังแกไปทุกที่ แต่เธอก็ไม่ตอบโต้ ได้แต่หลบหลีก เลือดออกก็แบกไว้เพียงลำพัง เก็บไว้ในใจไม่ยอมพูดจนทำให้กรณ์ทนดูไม่ไหวอีกต่อไป
เขาพาพันวรินกลับมาถึงบ้าน เปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านให้เธอ และดูแลบาดแผลของเธอ
ภรรยาของกรณ์เป็นคนใจดี แม้จะรู้สึกว่าไม่สมควรที่สามีกลับมากับผู้หญิงตามลำพัง แต่เธอก็ยังเก็บพันวรินไว้เพราะพันวรินไม่มีที่พึ่งพิง
ไม่รู้ว่ากรณ์ไปได้ขวดยามาจากไหน บอกว่ามันสามารถเปลี่ยนสีดวงตาและเส้นผมของคนได้ แต่ยาชนิดนี้มีข้อเสีย คือไม่สามารถเปลี่ยนสีเส้นผมและดวงตาของคนได้ตลอดชีวิต แต่จะเปลี่ยนได้นานแค่ไหน ไม่มีใครรับประกันได้
แต่ถึงอย่างนั้น พันวรินก็ยังคงดื่มเข้าไปด้วยความกตัญญู
หลังจากดื่มเข้าไปแล้ว พันวรินก็เปลี่ยนสภาพไปในวันถัดมา เส้นผมและดวงตาของเธอกลายเป็นสีดำ เธอยิ้มอย่างมีความสุข
อาจเป็นเพราะรอยยิ้มของเธอช่างสวยงามเสียจนกรณ์ลุ่มหลงไป เมื่อภรรยาของเขาเห็นภาพนี้ก็รู้สึกไม่พอใจ เมื่อกรณ์ออกไปข้างนอก ภรรยาของเขาจึงให้เงินพันวรินจำนวนหนึ่ง และขับไล่เธอออกไป
จนถึงตอนนี้พันวรินก็ไม่เคยติดต่อกรณ์อีกเลย
ต่อมากรณ์ในวัยชราก็ได้รับคนจองหองอย่างจณัตว์เข้ามาเป็นลูกศิษย์ ครั้งหนึ่งได้พูดเรื่องนี้ออกมาหลังจากที่เขาเมา เขารู้สึกว่ามันคือความเสียใจชั่วชีวิต และไม่รู้ว่าต่อมาสีเส้นผมของพันวรินได้เปลี่ยนกลับไปเป็นเหมือนเดิมหรือไม่ มันคือสิ่งที่ค้างคาใจมาโดยตลอด
ในเวลานั้นจณัตว์ได้ศึกษาคนของตระกูลพรโสภณและตระกูลทวีทรัพย์ธาดา ถึงอย่างไรคุณยายของเขาก็มีชื่อว่าพันวรินเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงอาศัยคอนเนคชั่นมากมายจนสืบหาเรื่องราวของพันวรินได้ในที่สุด ตอนนั้นเขาตกใจมาก แต่ก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องบอกแม่และคนอื่นๆ ถ้าเรื่องนี้มีการเปิดเผยออกไป ก็ต้องดึงเบื้องบนเข้ามาเกี่ยวข้องและต้องตรวจสอบอีก ไม่มีใครรู้ว่าจะทำให้เกิดเรื่องอะไรอีก ดังนั้นเขาจึงแกล้งทำเป็นไม่รู้และเก็บเรื่องนี้ไว้ แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะดึงให้ลูกชายคนเล็กของนรมนเข้ามาพัวพันด้วย
ทุกคนตกตะลึงเมื่อได้ยินเรื่องนี้ แต่หัวหน้าองครักษ์ก็เข้ามาในเวลานี้