“ไม่งั้นจะอธิบายเรื่องการกระทำบ้า ๆ กะทันหันแบบนี้ของพฤกษ์ยังไงคะ?”
หน้าผากของนรมนเจ็บปวดเล็กน้อย แล้วก็มองเขาอย่างไม่พึงพอใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอย่างอื่นอีก
บุริศร์เอาคำพูดที่พูดกับพฤกษ์เล่าให้นรมนฟังไปรอบหนึ่ง
แล้วนรมนก็เข้าใจขึ้นมาทันที
“ในใจของพฤกษ์นั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นคมทิพย์อยู่ ในขณะที่ยังไม่เจอกับด่านความเป็นความตายนั้น เขาสามารถลุ่มหลงอยู่กับเรื่องลูกมาก แต่พอต้องเลือกระหว่างลูกกับความเป็นความตายของคมทิพย์นั้น เขาก็เลือกคมทิพย์อย่างไม่ลังเลอะไรเลย นี่สามารถพูดได้ว่าในใจของเขานั้น คมทิพย์ก็ยังเป็นคนที่เขารักที่สุดอยู่”
นรมนพูดจบแล้วก็รู้สึกทุกข์ใจขึ้นมาเล็กน้อย
“แต่ว่าเขาเป็นแบบนี้จะทำให้คมทิพย์ทำตัวลำบากมากเลยนะคะ ทั้ง ๆ ที่เขาทำเรื่องที่เกินเลยไปมากขนาดนั้น ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาชั่วมากจนทำให้คนอยากจะตีเขาให้ตายไปเลย แล้วตอนนี้การกระทำถอนรากถอนโคนแบบนี้ของเขา ถ้าคมทิพย์ไม่ให้อภัยเขา ก็จะดูเหมือนกับว่าคมทิพย์ไม่เป็นผู้ใหญ่เลยละคะ? หรือคนอื่นก็จะพูดได้ว่าความรักที่คมทิพย์มีต่อเขาไม่ได้ลึกซึ้งเท่าที่พฤกษ์มีต่อคมทิพย์ใช่ไหมละคะ?”
พอบุริศร์เห็นท่าทางที่โกรธเคืองของนรมน ก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาว่า “ก็บอกแล้วไงว่านี่เป็นเรื่องของพวกเขาสองคน ให้พวกเขาสองคนจัดการกันเองก็พอแล้ว คุณจะไปกังวลทำไมอีก?”
“ฉันจะไม่กังวลได้ยังไงล่ะคะ?”
นรมนมองตาขวางใส่บุริศร์ทีหนึ่ง
บุริศร์โอบกอดนรมนเอาไว้ ยิ้มแล้วก็พูดขึ้นว่า “เรื่องแบบนี้เป็นใครก็ตัดสินใจอยากทั้งนั้น พวกเขาสองคนมีความรักต่อกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และก็ไม่มีมือที่สามเข้ามาแทรกด้วย ที่เกิดปัญหาขึ้นมาก็เพราะว่าทั้งสองคนไม่รู้จักสื่อสารกันเท่านั้น ไม่รู้จักดูแลชีวิตหลังแต่งงาน แต่ว่าใครจะดูแลชีวิตหลังแต่งงานเป็นตั้งแต่เกิดล่ะ? พวกเขาสองคนก็ต้องผ่านอะไรมามากมายถึงได้มาเจอกับความสุขในตอนนี้ไม่ใช่เหรอ? เรื่องนี้พฤกษ์รู้สึกถึงความผิดพลาดของเขาแล้ว แต่ว่าทำผิดไปแล้วก็ต้องมีท่าทีของคนที่ทำผิด ผมคิดว่าตอนที่เขาตัดสินใจเอาเด็กออก และลงโทษบุลินนั้น ก็ไม่ได้คิดว่าจะปล่อยตัวเองไปแน่ ในเมื่อระหว่างที่คมทิพย์โดนทำร้ายนั้น เขาเห็นแต่กลับทำเป็นมองไม่เห็น ปล่อยให้คนร้ายลอยหน้าลอยตาไป ก็ถือได้ว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดแล้ว ที่เขาทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะว่าต้องการให้คมทิพย์ทำตัวลำบาก แต่เพื่อให้การอธิบายอันหนึ่งกับคมทิพย์ ถ้าหากผมเดาไม่ผิดละก็ บางทีเขาอาจจะขอหย่า แล้วปล่อยคมทิพย์เป็นอิสระ”
“หย่าเหรอคะ?”
นรมนอึ้งไปครู่หนึ่ง
อยู่ ๆ เธอก็นึกถึงสถานะในอดีตของพฤกษ์
พฤกษ์ก็เป็นเหมือนกับบุริศร์ พวกเขาเป็นทหาร อาชีพทหารนี้ได้สอนเรื่องราวมากมายให้แก่พวกเขา รวมทั้งการจะเป็นคนที่มีความรับผิดชอบและรู้จักหน้าที่ยังไงด้วย
ก่อนหน้านี้พฤกษ์ช่างสารเลวจริง ๆ ในตอนนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกถึงความผิดของตัวเองด้วย แถมยังคิดว่าคมทิพย์ไม่เข้าใจเขา มาวันนี้เขารู้ว่าทำผิดแล้ว ก็จะต้องแบกรับผลของความผิดพลาดทุกอย่าง
เพราะฉะนั้นในตอนที่พฤกษ์กลับมาจัดการบุลินนั้น จริง ๆ แล้วเขาก็ได้ตัดสินใจทุกอย่างไว้นานแล้ว
พอคิดมาถึงตรงนี้ อยู่ ๆ นรมนก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“ยังมีเรื่องอื่นของพฤกษ์ที่คุณยังไม่ได้บอกกับคมทิพย์ใช่ไหมคะ?”
“อืม”
บุริศร์พยักหน้า
เขาล้วงโทรศัพท์ออกมา แล้วเลือกรูปถ่ายส่วนหนึ่งออกมาให้นรมนดู
นรมนรับมา แล้วก็เห็นในแกลลอรี่ภาพของโทรศัพท์มีแต่เอกสารส่วนหนึ่ง พอดูอย่างละเอียดแล้ว ก็เป็นหนังสือสัญญาถ่ายโอนทรัพย์สิน
พฤกษ์เอาทรัพย์สินและบริษัททุกอย่างที่อยู่ภายใต้ชื่อของตัวเอง โอนให้เป็นของคมทิพย์หมดเลย
“นี่เขากะว่าจะไปตัวเหล่าเหรอคะ?”
“ใช่”
“คมทิพย์ไม่มีทางยอมรับแน่! ตั้งแต่แรกที่คมทิพย์คบกับเขาก็ไม่ได้เพราะเงินอยู่แล้ว!”
คำพูดของนรมนแน่นอนว่าบุริศร์ต้องเข้าใจอยู่แล้ว เขาถอนหายใจทีหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “แต่ว่านี่เป็นของทั้งหมดที่เขาสามารถให้คมทิพย์ได้นี่”
“สิ่งที่คมทิพย์ต้องการนั้นไม่ใช่พวกนี้ ยังไงเขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี”
นรมนเอาโทรศัพท์คืนให้กับบุริศร์ อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าในใจนั้นเป็นทุกข์อย่างมาก
เมื่อหลายปีก่อน ในตอนที่เธอโดนบุริศร์เข้าใจผิด ในตอนที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นระหว่างทางที่ไปต่างประเทศนั้น ความรู้สึกของคมทิพย์ก็น่าจะเหมือนกับเธอในตอนนั้นแหละมั้ง?
พอคิดถึงห้าปีนั้นที่ตัวเองหายไปไม่มีข่าวคราวอะไรเลย แต่คมทิพย์ที่ถึงแม้ว่าจะเป็นคนไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรแต่ก็ยังมาเผชิญหน้ากับบุริศร์แล้ว ในใจของนรมนก็รู้สึกอยู่ไม่สุขเอามาก ๆ เลย
ในที่สุดเธอก็รู้แล้วว่าโลกของความรักนั้นไม่มีคำว่าเพื่อนสนิทจะสามารถแทรกแซงได้เลย
นั่นเป็นสงครามของพวกเขาสองคน ก็เหมือนกับเธอและบุริศร์เมื่อก่อนหน้านี้
ไม่ว่าผลจะปรากฏออกมายังไง คนนอกจะมองยังไง แต่ที่สุดแล้วคนที่ทำการตัดสินใจก็ยังคือพวกเขาสองคน
ความรู้สึกของนรมนยิ่งอัดอั้นจนไม่สบายใจ แล้วก็จับมือบุริศร์ไว้แล้วพูดว่า “ใจของฉันทรมานมากเลยค่ะ”
“ผมรู้ เพราะฉะนั้นผมกะว่าจะพาคุณออกไปเที่ยวเล่นสักหน่อย”
นรมนส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “ฉันจำได้ว่าคุณมีโรงงานผลิตรถยนต์อยู่ที่นี่แห่งหนึ่ง”
“อืม คุณอยากไปเหรอ?”
“ไปดูสักหน่อยเถอะค่ะ ฉันรับปากชญตว์ไว้ว่าจะออกแบบรถแข่งให้ชญตว์สักคัน ไม่ได้จับชิ้นส่วนรถยนต์มาตั้งนานแล้ว รู้สึกว่าในสมองเป็นสนิมไปแล้วไม่ว่า แม้แต่มือก็ยังลืมความรู้สึกนั้นไปแล้ว พวกเราลองไปหาความรู้สึกนั้นกันดูหน่อยดีกว่า”
คำพูดของนรมนทำให้บุริศร์รู้สึกตกใจเล็กน้อย
นี่ก็คือนรมนกะว่าจะวางมือลงแล้วจริง ๆ จะไม่ยุ่งเรื่องของคมทิพย์กับพฤกษ์แล้วเหรอ?
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ในใจของบุริศร์ถึงได้โล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
“ได้ พวกเราไปกันเดี๋ยวนี้เลย ทางนั้นผมมีรถสปอร์ตอยู่คันหนึ่ง คุณสามารถเอาไปลองสักหน่อยได้”
“อือฮึ”
นรมนจูงมือบุริศร์แล้วเดินออกไปเลย
ทางด้านคมทิพย์ก็ไปที่สถานกักกันเป็นอันดับแรก ในระหว่างที่รอนั้นจิตใจทรมานเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าเดี๋ยวตอนเจอหน้าพฤกษ์นั้นเธอควรจะพูดอะไรดี
แต่ว่าพอรอไปสักครู่ ตำรวจห้องขังก็มาบอกเธอว่าพฤกษ์ไม่อยากเจอเธอ
คมทิพย์ก็โมโหขึ้นมาทันที
“ไม่อยากเจอฉัน? เขาก่อเรื่องขึ้นมาเยอะขนาดนี้ แต่ตอนนี้กลับมาเป็นไอ้ขี้ขลาดหลบอยู่ข้างในเหรอ ไม่กล้าเจอฉันใช่ไหม? คุณไปบอกเขานะ ถ้าวันนี้ถ้าเขาไม่มาเจอฉัน ฉันก็จะตายอยู่ที่นี่แหละ!”
ตำรวจห้องขังเห็นคมทิพย์อารมณ์ร้อนขนาดนี้ ก็รีบเดินเข้าไปรายงานพฤกษ์
พฤกษ์ยิ้มขมขื่นขึ้นเล็กน้อย
นี่ก็คือคมทิพย์ของเขานี่!
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เธอก็ยังทำให้คนวางใจไม่ลงเลย
พอนึกถึงสภาพที่เธอไอเป็นเลือด ในที่สุดพฤกษ์ก็ตกลงว่าเจอเธอ
ตอนที่คมทิพย์เห็นพฤกษ์นั้น ทั้งตัวก็นิ่งอึ้งไปเลย
แค่ไม่เจอกันกี่วัน พฤกษ์ก็ทำให้ตัวเองเปลี่ยนไปจนไม่มีสภาพความเป็นคนแล้ว
ไรหนวดของเขาเขียวครึ้ม แต่ก็ไม่โผล่ออกมา ส่วนตาของเขาโบ๋ลึกลงไป แถมที่มุมปากและบนใบหน้ายังมีรอบเขียวช้ำด้วย
เขียวช้ำเหรอ?
“นี่คุณไปต่อยกับใครมา? อย่าบอกฉันนะว่าเป็นบุลิน! ผู้หญิงคนนั้นไม่มีแรงต่อสู้มากขนาดนี้!”
ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของคมทิพย์จะเคร่งขรึม แต่ว่าความห่วงใยในคำพูดก็ยังทำให้ใจของพฤกษ์อบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย
นี่ตกลงทำไมเขาถึงได้ลุ่มหลงไปได้นะ? ถึงได้นึกว่าความรู้สึกที่คมทิพย์มีต่อตัวเองจืดจางไปได้ ถึงได้นึกว่าจะใช้ลูกมาผูกมัดเธอเอาไว้
แววตาของคมทิพย์ของเขายังคงสะอาดบริสุทธิ์อยู่อย่างนั้น เป็นเขาเองที่โดนความมืดมนมาบดบังจิตใจไป
ดวงตาของพฤกษ์มีความฝืดเคียงขึ้นมาเล็กน้อย แดงขึ้นมาเล็กน้อย ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกเจ็บใจ
“ไม่มีเรื่องอะไรหรอก ผมหนังหา โดนต่อยทีสองทีไม่เป็นไรหรอก และที่สำคัญนี่ก็เป็นสิ่งที่ผมสมควรโดนด้วย!”
พอได้ยินเสียงแหบแห้งของพฤกษ์ ใจของคมทิพย์ก็รู้สึกเป็นทุกข์มากเลย
ส่วนใหญ่เธอสามารถเดาออกมาได้แล้ว พฤกษ์น่าจะโดนพวกนักโทษที่อยู่ในสถานกักกันพวกนั้นตีแน่ แต่ว่าด้วยฝีมือของเขาถ้าอยากจะหลบหลีกมันก็ง่ายมาก แต่กลับโดนต่อยจนเป็นถึงขนาดนี้ พูดได้แต่เพียงว่าตัวเขาหาเรื่องให้โดนต่อยเอง
“คุณนึกว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะสงสารคุณเหรอ? พฤกษ์ คุณกลายเป็นคนปัญญาอ่อนขนาดนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย? ความเจ็บปวดที่คุณทำกับฉันมันเป็นอะไรที่แค่ใช้หมัดไม่กี่หมัด แค่คุณอยู่ในนี้สิบกว่าวันหรือครึ่งเดือนก็จะสามารถมาลบล้างไปได้เหรอ?”
คมทิพย์ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกน้อยใจ ตอนแรกไม่ได้กะว่าจะร้องไห้นะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร น้ำตามันก็ไหลลงมาอย่างควบคุมไม่ได้เอง และยิ่งอยู่ก็ยิ่งเยอะ……