“พี่สะใภ้ หน้าของพี่……”
ยังไงนรมนก็คิดไม่ถึงว่าขวัญตาจะเสียโฉม!
เธอตะลึงงัน และตอนนี้ท้องของขวัญตาก็ใหญ่มากแล้วด้วย
แต่ขวัญตากลับยิ้มพูดขึ้น: “ไม่เป็นไรหรอก ตอนออกทะเลเกิดอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บที่หน้าน่ะ จริงๆก็วางแผนจะผ่าตัดแก้ไข แต่ตอนนั้นฉันท้องแล้ว เพื่อลูกในท้องจึงไม่ได้ทำ รอให้คลอดลูกก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่ยังไงพี่เธอก็ไม่รังเกียจฉันนะ”
สำหรับวิธีการของขวัญตา นรมนเข้าใจมากๆ ตอนนั้นที่เธอโดนไฟลวกจนบาดเจ็บ ก็ไม่ได้อดทนเพื่อลูกไปตั้งปีกว่าถึงจะได้แก้ไขหรอกเหรอ?
นึกถึงตรงนี้ นรมนก็สงสารจับใจ
เธอก้าวเข้าไปกอดขวัญตาแน่น พูดขึ้น: “ฉันรู้ว่าพี่พูดอย่างไม่ใส่ใจ ความเจ็บปวดในใจมีแค่ตัวเองเท่านั้นที่รู้ แม้ฉันจะไม่รู้ว่าทำไมตอนนั้นพี่กับพี่ฉันถึงไม่บอกปัญหาของพวกพี่ให้ฉันกับ บุริศร์ได้รู้ แต่ฉันก็สงสารพี่ พี่สะใภ้ ฉันทนไม่ได้”
ดวงตาของนรมนแดงขึ้นเล็กน้อย
บุริศร์เห็นเธออย่างนี้ จึงขยิบตาให้เจตต์
เจตต์ตบๆไหล่ของขวัญตา กระซิบเบาๆ: “เดี๋ยวผมมานะ”
“อื้ม”
ขวัญตาพยักหน้า
นรมนกับขวัญตานั่งคุยเรื่องสัพเพเหระด้วยกันที่ด้านนี้ ส่วนบุริศร์กับเจตต์เดินไปที่ระเบียงด้านนั้น บุริศร์ส่งแก้วแชมเปญไปให้เจตต์ เห็นใบหน้าที่แดงระเรื่อของเขาตอนนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดหยอกล้อ: “ถ้าเป็นพ่อคนก็จะไม่เหมือนเดิมแล้วนะ”
“แหงสิ สำหรับพวกฉันลูกคนนี้มาช้ามากเลย”
บุริศร์ฝืนพูดแทงใจเขาไม่ได้ แต่ทว่ายังถามขึ้นด้วยความกังวล: “ที่ฉันจำได้ตอนแรกหมอบอกว่าไม่ให้พวกนายมีลูกภายในสามปี ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาไม่ใช่เหรอ?”
“ท้องโดยบังเอิญน่ะ เป็นตายยังไงขวัญตาก็จะเก็บเอาไว้ นายก็รู้ว่าสำหรับเธอการมีลูกมันโจมตีเธอหนักเกินไป ฉันทำได้เพียงตามใจเธอ อย่างมากที่สุดถ้ามีอันตรายอะไรจริงๆ ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนเธอ เธออยู่ฉันก็อยู่ เธอตายฉันจะตามไปด้วย”
เจตต์พูดอย่างสบายๆ แต่บุริศร์ฟังออกถึงความหมายที่แฝงอยู่ในท่าทีของเขาที่มีต่อขวัญตา
เขาตบๆไหล่ของเจตต์พูดขึ้น: “นายโตขึ้นเยอะเลยนะ”
“ฉันจะเป็นพ่อคนอยู่แล้วนะ ยังทำตัวเหมือนเด็กได้อีกเหรอ? ช่วงนี้พ่อตาเริ่มโอนกิจการมาให้ฉันแล้ว ฉันถึงได้เข้าใจเลยว่านายเก่งขนาดไหน ธุรกิจเยอะขนาดนั้นยังมีเวลาจู๋จี๋กับนรมนอีก นับถือเลย”
คำพูดของเจตต์ทำให้บุริศร์ฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ
“นี่นายชมฉันหรือว่าเหน็บแนมฉันกันแน่?”
“ชมนายสิ!”
เจตต์หัวเราะออกมา
ขวัญตาท้องแล้ว เจตต์จึงรู้สึกเหมือนมีพลัง ความรู้สึกนั้นให้ความหวังและแรงบันดาลใจแก่เขามากจริงๆ
“ครึ่งปีนี้พวกนายประสบเรื่องราวมาไม่น้อยเลยสินะ?”
“อืม ผ่านมามากมาย แต่ว่าพวกเราจัดการได้ นายไม่ต้องกังวลจนเกินไปหรอก”
แม้เจตต์จะยังยิ้มทะเล้น แต่บุริศร์มองออกว่าเขาสงบนิ่งมาก บางทีนี่อาจจะแยกออกมาจากการอบรมสั่งสอนของคุณท่านขันธ์ชัยไม่ได้สินะ
สำหรับบุริศร์ตอนนี้ก็หวังว่าจะได้เห็นความสำเร็จ
“ใช่สิ ฉันได้ยินว่านายย้ายชัยยศมาจัดการบริษัทที่ด้านนี้แล้ว?”
“ทำไมเหรอ? นายมีความเห็น?”
บุริศร์คิดไม่ถึงว่าเจตต์จะถามถึงชัยยศ จึงชะงักเล็กน้อย
เจตต์ยิ้มระรื่นพูดขึ้น: “แน่นอน ฉันอยากทำธุรกิจที่ด้านนี้ คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องติดต่อกับชัยยศ ตอนนี้ควรสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเขาหน่อย”
“ฉันย้ายกิจการไปแล้วนะ”
คำพูดของบุริศร์ทำให้เจตต์ตะลึงเล็กน้อย
“ตัดสินใจดีแล้วเหรอ? ถึงยังไงเมืองชลธีก็คือบ้านนาย นายจากบ้านไปไกลอย่างนี้มันดีแล้วจริงๆเหรอ?”
แต่บุริศร์กลับมองไปทางนรมน พูดขึ้นด้วยสายตาอ่อนโยน: “ที่ที่มีเธออยู่ถึงจะเป็นบ้าน อีกอย่างตอนนี้เมืองชลธีก็ไม่มีสี่คุณชายแห่งเมืองชลธีแล้ว ตระกูลพรรณโรจน์สูญสิ้นแล้ว ป้องไปเติบโตอยู่ที่เมืองหลวง ณพกลับประเทศแล้ว รับผิดชอบในสิ่งที่เขาควรจะรับผิดชอบ ตอนนี้ก็เหลือแค่พี่ คริชณะ ถ้าฉันยังอยู่เมืองชลธี กลัวว่าเบื้องบนจะค่อนข้างหวั่นใจน่ะสิ”
ได้ฟัง เจตต์ก็จนปัญญา
คนที่ยิ่งมีชื่อเสียงจะยิ่งตกเป็นเป้าโจมตีมันไม่ผิดเลยจริงๆ
เขาถามขึ้น: “ได้ยินว่าช่วงนี้ตระกูลธนเกียรติโกศลไม่ค่อยสงบ คุณชายธเนศพลที่ด้านนั้น……”
ถ้าจะพูดให้ถูกต้องจริงๆแล้วพวกเขาล้วนแต่เป็นเพื่อนสนิทของธเนศพล ถ้าจะเป็นห่วงก็เป็นห่วงแค่ธเนศพลเท่านั้นแหละ
บุริศร์ได้ยินเขาถามอย่างนี้ก็รู้แล้วว่าเขากำลังเป็นห่วงธเนศพล จึงพูดขึ้น: “วางใจเถอะ หลายปีนี้ธเนศพลกลายเป็นคนเจ้าเล่ห์แล้ว คนพวกนั้นอยากจะคิดบัญชีกับเขาก็ยังอ่อนหัดไปหน่อย เมื่อก่อนเขาไม่มีความสามารถที่จะปกป้องน้ำสองแม่ลูกให้ดี แต่ตอนนี้เขาไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายพวกเธอทั้งนั้น แค่เขาต้องการ ตำแหน่งนั้นช้าเร็วก็ต้องเป็นของเขา!”
“ได้ยินว่านายส่งกานต์หลานฉันเข้าไปด้วย?”
“อย่าพูดเหลวไหล ฉันไม่ได้ส่ง กานต์อยากเดินเส้นทางนี้เอง ฉันห้ามไม่ได้”
พูดถึงลูกชาย บุริศร์กลับค่อนข้างภูมิใจ แต่มองเจตต์แล้วอยากจะทุบสักที
“สรุปก็คือตอนนี้ฉันจะไม่ได้เจอกานต์แล้ว”
“ช้าเร็วก็ได้เจอหน่า”
สำหรับเรื่องนี้บุริศร์กลับไม่ได้รู้สึกอะไร
ผู้ชายควรมีปณิธานที่กว้างไกลไม่จำกัดอยู่แค่ที่เดียว เขาจะไม่บังคับลูกเด็ดขาด
ทั้งสองคนคุยกันสักพัก พูดๆถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ เข้ากันได้ดีกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย แม้เจตต์จะยังคงต่อปากต่อคำกับเขาอยู่บ้าง แต่ทว่ากลับทำให้รู้สึกสนิทสนมกันมากขึ้น
เจตต์มองซ้ายมองขวา แล้วพูดกับบุริศร์: “ช่วงนี้นายไม่ได้สนใจเรื่องทหารที่ด้านนั้นเลยใช่ไหม?”
“อืม สนใจแต่จะอยู่กับลูกกับเมีย หาเงินให้เมียใช้ ทำไมเหรอ?”
คำพูดของบุริศร์ ถ้าย้อนกลับไป7-8ปีก่อน ใครจะเชื่อว่าเขาไม่มีอุดมการณ์ไม่มีความมุ่งมั่นเช่นนี้?
แต่ทว่าตอนนี้เจตต์กลับเข้าใจการกระทำของบุริศร์แล้ว เขาลังเลเล็กน้อย อยากจะพูดแต่ไม่พูด
“เป็นอะไร? นายพูดมาสิ”
บุริศร์ทนเห็นท่าทีที่อยากจะพูดแต่ไม่พูดออกมาไม่ได้ที่สุดเลย จึงอดไม่ได้ที่จะใช้ข้อศอกกระแทกไปที่เจตต์
เจตต์กลัดกลุ้ม สุดท้ายก็ทนไม่ได้ต้องพูดออกมา: “สนามรบต่างประเทศเกิดเรื่องแล้ว”
“นายว่าอะไรนะ?”
บุริศร์ประหม่าขึ้นมาทันที
สนามรบต่างประเทศคำนี้หมายถึงพฤกษ์ ครึ่งปีกว่าแล้ว ที่ไม่มีข่าวคราวของพฤกษ์เลย จู่ๆวันนี้ก็ได้ยินพฤกษ์พูดอย่างนี้ บุริศร์จึงอดไม่ได้ที่จะประหม่าขึ้นมา
เจตต์ก็รู้เรื่องนั้นของพฤกษ์อยู่แล้ว เขาพูดขึ้นเบาๆ: “ในฐานะที่พฤกษ์พวกเขาเป็นกลุ่มจู่โจมขนาดเล็ก ครึ่งปีกว่าก่อนจะเข้าไปในสนามรบต่างประเทศ ก็เหมือนเป็นกองกำลังทหารที่อยู่แสนไกล จู่ๆก็พลิกกลับมาในสถานการณ์สนามรบของพวกเรา ครึ่งปีกว่ามานี้ได้ยินแต่ข่าวคราวที่ได้รับชัยชนะครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่นานนี้ ตามที่เล่ากันว่าประเทศRมีหน่วยจู่โจมออกมา หลังจากสร้างความไม่สงบให้พวกเราต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนอยู่หลายครั้ง ทั้งยังพาตัวประกันจำนวนมากไปด้วย หน่วยจู่โจมของพวกพฤกษ์จึงไล่ตามพวกเขาไปเพื่อพยายามช่วยเหลือตัวประกัน ทำให้โดนล่อเข้าไปในป่าดั้งเดิม จนถึงวันนี้ยังไม่มีข่าวเล็ดลอดออกมาเลย คนมากมายคาดเดาว่าพวกเขาอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีแล้ว”
หัวใจของบุริศร์บีบรัดขึ้นมาทันที
“หน่วยจู่โจม? ไม่คิดว่าพฤกษ์จะสร้างหน่วยจู่โจมขึ้นมา?”
คนของหน่วยจู่โจมจำนวนไม่มาก แต่เลือกจากบทบาทของแต่ละคนจากจำนวนทั้งหมด แต่ทำไมภารกิจช่วยเหลือตัวประกันถึงใช้หน่วยจู่โจมได้ล่ะ?
ภายในเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?