“เธอ เจอกับอะไร?”
ฟองน้ำรู้สึกว่าตัวเองมีบางคำที่พูดไม่ออก
ที่จริงแล้วเธอไม่ใช่ไม่เคยคิดว่าหลังจากที่เด็กสามขวบหายตัวไปจะต้องเจอกับอะไร เพียงแต่มองเห็นสมจิตที่ยืนอยู่ต่อหน้าตนเองในตอนนี้สมบูรณ์แบบไม่มีเสียหาย เธอถึงได้ปลอบใจตนเองว่าทุกสิ่งผ่านไปด้วยดี
บางทีอาจเป็นเพราะสมจิตโชคดีดวงแข็ง บางทีอาจเป็นเพราะบรรพบุรุษตระกูลนนท์สัจทัศน์คุ้มครองสมจิตกลับมาอย่างปลอดภัยแล้วไม่ใช่หรอ?
แต่สำหรับสมจิต เรื่องมากมายคำพูดมากมายที่จริงแล้วเธอไม่อยากจะพูด แต่ตอนนี้กลับไม่พูดไม่ได้แล้ว
สมจิตหัวเราะอย่างประชดประชันแล้วเอ่ย “ในปีนั้นหนูเพิ่งสามขวบ หนูจำได้ชัดเจนมาก ลุงมีหนวดร่างใหญ่คนหนึ่งบอกกับหนูว่า คุณน้าของหนูรอหนูอยู่ทางนั้น ให้หนูไปกับเขา หนูไม่ไป เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากหนูเอาไว้ในทันที กลิ่นที่ฉุนจมูกปะทะเข้ามา หนูก็หมดสติ รอจนกระทั่งหนูตื่นขึ้นมาอีกครั้ง หนูพบว่าตัวเองอยู่ในพื้นที่ราบระหว่างภูเขาแห่งหนึ่ง ครอบครัวนั้นจนมาก จนถึงขนาดสิ่งที่เรียกว่าบ้านยังเป็นกระท่อม แต่ว่าพวกเขาซื้อหนู
“หนูนึกว่าตนเองยังไงก็ถือว่ามีบ้านแล้ว แม้ว่าจะไม่ใช่พ่อแม่แท้ๆของตัวเอง แม้ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยก็ช่าง อย่างน้อยหนูก็ไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้ว คุณสามารถเข้าใจความรู้สึกของเด็กอายุสามขวบคนหนึ่งที่ตื่นขึ้นมาหลังจากถูกทำให้สลบทุกที่ล้วนเป็นคนที่แปลกหน้าสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นชินแบบนั้นไหม? หนูกลัว หนูหวาดผวา หนูตะโกนคุณน้าช่วยหนูด้วย แต่สิ่งที่หนูได้รับคือการทุบตี”
“ป้าคนนั้นหน้าตาดุมาก หวายในมือของเธอหวดลงบนร่างกายของหนู รอนเลือดเป็นเส้นๆ หนูถูกตีจนสลบไป กลับไม่มีใครสนใจความเป็นความตายของหนู ตอนที่ตื่นขึ้นมา หนูถูกทิ้งอยู่บนกองฟาง ข้างกายมีเพียงแค่ซาลาเปาที่เย็นแล้ว คุณคิดว่านี่เป็นสิ่งที่แย่ที่สุดแล้วใช่ไหม? ไม่ ไม่ใช่”
มือของสมจิตกุมเข้าหากันแน่น ดวงตาของเธอแดงก่ำ พูดขึ้นทีละคำทีละประโยค “ครอบครัวนั้นมีลูกชายคนหนึ่ง เป็นคนขี้โรค พวกเขาไม่มีเงินรักษาลูกชาย ทำได้เพียงไปเก็บสมุนไพรบนเขากลับมา แต่ว่าพวกเขาไม่ใช่หมอ ไม่รู้ว่าสมุนไพรอย่างไหนมีประโยชน์ต่ออาการป่วยของลูกชาย จุดประสงค์ที่พวกเขาซื้อหนูมานั้นง่ายมาก ก็คือเพื่อให้หนูทดลองยาให้กับลูกชายของเธอ!”
“สมุนไพรทุกชนิดที่ลูกชายของเธอกินต่างก็ต้องให้หนูกินลงไปก่อน ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองถึงจะให้ลูกชายของเธอกิน แต่หลายครั้งมากที่หนูปวดจนอาเจียนไม่หยุด ปวดจนแทบอยากจะตายไปตรงนั้น แต่ทุกครั้งหนูก็รอดมาได้ราวกับปาฏิหาริย์ก็ไม่ปาน ในตอนนั้นคุณเคยคิดไหมว่าหลานสาวของคุณจะเจอสิ่งเหล่านี้?”
ฟองน้ำนิ่งอึ้งไปทั้งตัว
เธอไม่เคยคิดถึงสิ่งเหล่านี้!
ไม่เคยคิดจริงๆ!
เธอคิดว่าที่แย่ที่สุดก็คือสมจิตถูกพวกค้ามนุษย์ตัดขาเท้าทิ้งไปเป็นขอทานที่ข้างถนน ดังนั้นหลายปีมานี้ทิศทางในการตามหาของเธอล้วนเป็นเด็กเหล่านั้นที่นั่งขอทานอยู่ริมถนนมาโดยตลอด แต่กลับไม่มีข่าวคราวมาโดยตลอด
เธอไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ!คิดไม่ถึงว่าสมจิตยังจะแย่กว่าเด็กเหล่านั้นเสียอีก!
รอบดวงตาของฟองน้ำเปียกชื้นขึ้นมาในทันที
สมจิตกลับหัวเราะ หัวเราะอย่างสดใสมาก นัยน์ตามีแสงสะท้อนจากน้ำปรากฏ
“คุณรู้ไหม? วันเวลาแบบนี้หนูใช้ไปสี่ปี!หนึ่งพันกว่าวันคืน หนูไม่ได้หวังให้ตัวเองรีบโต แต่หวังให้ตัวเองสามารถรีบตายเร็วหน่อย เช่นนี้หนูก็สามารถหลุดพ้นแล้ว พื้นที่ราบกลางภูเขานั้นอยู่ห่างไกลจากชานเมืองมาก หนูเคยพยายามหลบหนี สุดท้ายไม่สำเร็จ หลังจากถูกจับกลับมาก็ถูกตีจนเนื้อตัวแตก ต่อมาในปีนั้นที่หนูอายุเจ็ดขวบ พ่อเลี้ยงของหนูอาศัยจังหวะที่แม่เลี้ยงไม่อยู่บ้าน มัดหนูขึ้น มือปลาหมึกข้างนั้นลูบหนูทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ถึงขั้นยังจูบหนู คุณรู้ความรู้สึกของหนูในตอนนั้นไหม?”
“หยุดพูดได้แล้ว!หยุดพูดได้แล้ว!”
ฟองน้ำรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถฟังต่อไปได้อีก ฟังต่อไปเธอจะกลายเป็นบ้า
สมจิตยังคงพูดด้วยเสียงหัวเราะ “ในตอนนั้นหนูคิดว่าชาติก่อนหนูจะต้องไปขุดหลุมศพบรรพบุรุษบ้านใครเอาไว้แน่ ไม่อย่างนั้นทำไมพระเจ้าถึงทำแบบนี้กับหนูล่ะ? แต่ว่าแม่เลี้ยงกลับเห็นสิ่งที่พ่อเลี้ยงทำกับหนูทั้งหมด เธอไม่เพียงแต่ไม่ตำหนิพ่อเลี้ยง กลับมาลงโทษ ตำหนิหนูแทน บอกว่าหนูอ่อยพ่อเลี้ยง เด็กที่อายุเจ็ดขวบคนหนึ่ง รู้ว่าอะไรเรียกว่าอ่อยไหม? อ่อยต้องถูกมัดมือเท้าหรอ?”
“สมจิต หยุดพูดได้แล้ว”
“ทำไมไม่พูด? นี่ก็ฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว? งั้นหากหนูบอกกับคุณว่า ตอนที่หนูอายุแปดขวบหนูฆ่าพ่อเลี้ยงตายกับมือ แทงแม่เลี้ยงบาดเจ็บ นำเงินทั้งหมดที่มีในบ้านของพวกเขาไป วิ่งคนเดียวในภูเขาใหญ่สามวันสามคืนถึงมองเห็นรถเมล์ นั่งรถไปที่ชานเมือง หิวจนเป็นลมอยู่ที่หน้าประตูสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า คุณจะคิดไหมว่าฉันสมกับที่เป็นคนตระกูลนนท์สัจทัศน์?”
สมจิตพูดทีละคำทีละประโยค “คนตระกูลนนท์สัจทัศน์โหดเหี้ยม ตัดสัมพันธ์เด็ดขาด จุดนี้หนูสืบทอดมาได้ดีมากเลยนะ พ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงของหนูเลี้ยงหนูมาสี่ปี หนูก็ยังลงมือโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยได้ ฉะนั้นทำไมคุณถึงได้คิดว่าหนูไม่ใช่คนตระกูลนนท์สัจทัศน์ล่ะ? หืม?”
เสียงของเธอเบามาก เบาจนราวกับขนนกเส้นหนึ่งร่วงบนพื้นผิวของทะเลสาบเบาๆ แต่กลับทำให้คนรู้สึกอึดอัด รู้สึกหนักเป็นพันกิโล
“สมจิต!”
จันทราในที่สุดก็ทนไม่ไหววิ่งออกมาจากด้านหลังกำแพง คว้าลูกสาวของตัวเองมากอดเอาไว้แน่นร้องไห้จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
“ทำไมถึงไม่บอกกับแม่? ทำไม? ลูกกลับมานานขนาดนี้ ทำไมถึงไม่บอกกับแม่ว่าตอนเด็กลูกได้รับความทุกข์ทรมานมากมายขนาดนี้? คือแม่ที่ทำผิดต่อลูก คือแม่ที่ไม่ควรส่งลูกให้กับคนอื่น!คือแม่ที่ผิดไปแล้ว!”
จันทรากอดสมจิตเอาไว้แน่น กลัวว่าพอตนเองคลายมือออกสมจิตก็จะหายไป
นี่คือลูกสาวของเธอนะ!
เจ้าหญิงน้อยที่เธอตั้งครรภ์มาสิบเดือน ประคบประหงมเอาไว้ในมือ
ใครสามารถคิดได้ว่าเธอจะเจอสิ่งเหล่านี้ล่ะ?
ฟองน้ำค่อนข้างตกใจต่อการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของจันทรา
“พี่สะใภ้ใหญ่ ฉัน…”
“เธอไป!ฟองน้ำ หลายปีมานี้ฉันกับพายุสนับสนุนเธอ ปกป้องเธอมาโดยตลอด คิดว่าเธอเพื่อตระกูลนนท์สัจทัศน์สูญเสียไปตั้งมากมายขนาดนั้น พวกเราในฐานะที่เป็นพี่ชายพี่สะใภ้ต้องรักและเอ็นดูเธอให้มาก แต่จนกระทั่งวันนี้ฉันถึงได้รู้ว่า คือเธอที่ทิ้งลูกสาวของฉันกับมือ!คือเธอ!เธอทำให้ลูกสาวของฉันสามขวบก็กลายเป็นเด็กทดลองพิษ!เธอทำให้ลูกสาวของฉันเจ็ดแปดขวบก็ถูกชายแก่ทำอนาจาร!เธอทำแบบนี้ได้ยังไงกัน? ในปีนั้นเพราะว่าเธอสูญเสียลูกชาย เธอรักและเอ็นดูสมจิตเป็นอย่างยิ่ง พวกเราถึงได้วางใจฝากฝังลูกให้กับเธอ เธอรับปากพวกเราว่าจะพาสมจิตกลับมาอย่างดี แต่สุดท้ายล่ะ? คือเธอที่ทิ้งลูกสาวของฉันกับมือ!หลายปีมานี้เธอมองดูฉันกับพี่ใหญ่ของเธอเจ็บปวดทุกข์ทรมานทุกวันคืนเพราะสมจิต เธอก็ยังไม่บอกความจริงกับพวกเรา!ขอแค่เธอพูดเกี่ยวกับรายละเอียดการหายตัวไปของสมจิตแม้เพียงเล็กน้อย พวกเราก็ไม่มีทางตามหาผิดทาง ให้ลูกสาวของฉันได้รับความลำบากมากมายขนาดนี้อย่างไม่มีเหตุผล!ตอนนี้เธอยังมาสงสัยว่าลูกสาวของฉันไม่ใช่คนตระกูลนนท์สัจทัศน์ เธอมีสิทธิ์อะไร? มีสิทธิ์อะไร?”
จันทราถามฟองน้ำด้วยเสียงเคล้าน้ำตา ชั่วขณะทำให้ฟองน้ำไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากแก้ตัวอย่างไร
พายุก็อยู่ในห้องได้ยินทั้งหมดเช่นเดียวกัน ชายชาตรีในเวลานี้ได้น้ำตาไหลนองท่วมเต็มใบหน้า
น้องสาวที่เขาคิดไปเองว่าน่าสงสาร น้องสาวที่หลายปีมานี้ปกป้องและสนับสนุนโดยไม่คำนึกถึงสิ่งตอบแทนใดๆ กลับเป็นคนที่ทิ้งลูกสาวของเขา!
ช่างน่าขันจริงๆ!
ราวกับการกระทำหลายปีมานี้ล้วนน่าเสียดสีขนาดนั้น เหมือนฝ่ามือที่ก้องกังวานตบลงมาบนใบหน้าของพายุอย่างรุนแรง
ตระกูลนนท์สัจทัศน์!
นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของตระกูลนนท์สัจทัศน์งั้นหรอ?