ไอราถูกเสียงใสของทั้งสองเรียกจนใบหน้าเริ่มแดงขึ้นมานิดๆ
“ไม่ต้องหรอก เรียกฉันว่าพี่ไอราก็พอแล้ว”
“ได้ยังไง? พี่คือผู้หญิงคนแรกที่พี่รองพามาบ้านเลยนะ ตอนแรกพี่ใหญ่เคยบอกพวกผมว่า ผู้หญิงที่ผู้ชายพามาบ้านแปลว่าจะต้องแต่งงานกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่พาเข้าบ้านหรอก ดังนั้นพี่สะใภ้รอง มีอั่งเปาไหม?”
ท่าทางเหมือนกุ๊ยข้างถนนของภาคิณทำให้กานต์หมดคำจะพูด
หลายปีที่ผ่านมาเขาอยู่ที่กองทหารตลอด กลับมาบ้านไม่บ่อยนัก พอกลับมาที่มีแต่ตามใจพวกเขา คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้จะพัฒนามาถึงขั้นขออั่งเปาคนอื่นแล้ว?
“จะมาอั่งปงอั่งเปาอะไร? มีแต่กำปั้นฉันนี่อยากได้ไหม?”
คำพูดของกานต์ทำให้ภาคิณฮึดฮัดขึ้นมาในทันที
ด้านไอราก็เอ่ยพูดยิ้มๆว่า “ไม่เป็นไร อย่าไปฟังพี่รองของแกเลย ฉันมาที่นี่ครั้งแรก แถมยังเป็นผู้ใหญ่ ก็ควรจะให้อั่งเปาพวกแกน่ะถูกแล้ว”
“งั้นมาแอดไลน์กันเถอะ พี่สะใภ้รอง”
ภาคิณยื่นคิวอาร์โค้ดในโทรศัพท์ของตัวเองออกมา
กานต์มองมาที่พวกเขาอย่างหมดคำจะพูด ในตอนนี้เองก็ได้ยินเสียงบุริศร์พูดว่า “กิจจา กานต์ พวกแกมานี่หน่อย”
ทั้งสองมองตากัน
กานต์กลับมาช้า จึงไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น เมื่อจู่ๆถูกบุริศร์เรียกเข้าไปแบบนี้ ก็อดที่จะใช้สายตาสอบถามกิจจาไม่ได้
กิจจาส่ายหน้า แสดงออกว่าตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
หลังจากที่ทั้งสองเดินเข้ามาในห้องหนังสือ บุริศร์ก็หยิบเอกสารออกมาจากตู้ยื่นให้พวกเขา
“ตอนนี้พวกแกอยู่ในวัยสร้างเนื้อสร้างตัว อีกหน่อยกิจจาก็จะหมั้น ส่วนกานต์ก็คงเร็วๆนี้เหมือนกันใช่หรือเปล่า? นี่คือหุ้นของบริษัท ฉันแบ่งเอาไว้ตั้งนานแล้วล่ะ สมบัติของตระกูลโตเล็กแกสองพี่น้องเอาไปแบ่งกันคนละครึ่ง”
คำพูดของบุริศร์ทำให้กิจจาและกานต์นิ่งไปเล็กน้อย เอ่ยถามอย่างพร้อมเพรียงว่า “คนละครึ่ง? แล้วภาคิณกับภาณล่ะ? ไหนจะกมลอีก?”
“นี่แหละเป็นเรื่องแรกที่ฉันกำลังจะพูดกับพวกแก”
บุริศร์นั่งลง ส่งสัญญาณให้พวกเขานั่งลงด้วย จากนั้นก็พูดว่า “พวกแกเป็นลูกคนโตของฉัน ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุหรือเหตุผลอะไร สมบัติของตระกูลก็ต้องตกเป็นของพวกแกทั้งนั้น ส่วนกมล เธอเป็นผู้หญิง ไม่ช้าก็เร็วต้องแต่งออกเรือนในสักวัน เรื่องสินเดิมพวกแกตระเตรียมไว้ได้เลย ฉันกับแม่พวกแกจะไม่เข้าไปมีส่วนร่วม”
เรื่องนี้กานต์กับกิจจาไม่ได้คัดค้านอะไร
เมื่อลูกชายทั้งสองไม่มีความเห็นต่าง บุริศร์ก็พูดต่อว่า “ส่วนภาคิณกับภาณ พวกแกก็น่าจะรู้ ในอนาคตพวกเขาต้องสืบทอดตระกูลพรโสภณ เหล่าอาๆของพวกแกก็ไม่ค่อยสนใจสมบัติของตระกูลพรโสภณเท่าไหร่นัก ก่อนที่คุณตาของพวกแกจะเสียก็ยังทิ้งท้ายเอาไว้ว่าทุกอย่างของตระกูลพรโสภณต้องให้เด็กทั้งสองคนนี้สืบทอด แม้ว่าทรัพย์สินของตระกูลพรโสภณจะมีไม่เท่าตระกูลโตเล็ก แต่ก็ต้องดูแลจัดการให้ดีต่อไป ดังนั้นพวกแกต้องคอยประคองน้องๆอยู่ข้างหลัง เข้าใจไหม”
“เข้าใจครับ”
กานต์ไม่ได้คิดอะไรมาก ยังไงก็เป็นพี่น้องกันทั้งนั้น อะไรที่ช่วยได้ก็จะช่วยแน่นอน
ทว่ากิจจากลับพูดเสียงเบาออกมาว่า “ผมค่อนข้างยุ่งเรื่องที่คณะ ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องธุรกิจหรอกครับ ในเมื่อกานต์รับช่วงต่อกิจการและตำแหน่งผู้นำของตระกูลโตเล็กแล้ว งั้นก็ให้กานต์ดูแลจัดการคนเดียวเถอะครับ”
“พี่ใหญ่ ผมเองก็ไม่ต่างจากพี่เท่าไหร่หรอก ผมกับไอรายังต้องกลับไปที่บ้านเธอเหมือนกันนะ”
กานต์รีบคัดค้าน
กิจจากลับดันกรอบแว่นขึ้นแล้วพูดว่า “ตอนนี้ฉันมีสถาบันวิจัยสามแห่งและโปรเจ็คอีกยี่สิบกว่าโปรเจ็คอยู่ในมือ เวลา24ชั่วโมงในหนึ่งวันฉันใช้มันจนแทบจะกลายเป็น48ชั่วโมง ขนาดนี้โปรเจ็ควิจัยของฉันก็ยังไม่เสร็จเลย อีกอย่างพ่อก็มอบหมายให้ฉันวิจัยหมู่บ้านดารายนด้วย ฉันอยากช่วยแกอยู่นะน้องชาย แต่น่าเสียดายที่พี่ชายคนนี้ไม่มีเวลา”
กานต์ดึงปาก
“ได้ ผมรับช่วงต่อเองก็ได้ ผมพอจะดูออก รู้งี้ไม่น่ากลับมาเลย”
“แกกลับมาช้า ถ้าแกกลับมาเร็วกว่านี้สักปีสองปี ฉันกับแม่แกคงได้เที่ยวรอบโลกไปหลายเมืองละ”
บุริศร์พูดออกมาเหมือนไม่ใช่เรื่องของตัวเอง พลันทำให้กานต์รู้สึกอยากต่อยหน้าคน
แต่ไม่รู้ว่าต่อยพ่อตัวเองแล้วจะบาปหรือเปล่า
กิจจาเม้มริมฝีปากขำออกมานิดๆ
กานต์เอ่ยถามอย่างฮึดฮัดว่า “พี่ใหญ่ พี่กำลังจะหมั้นนี่ แล้วพี่สะใภ้รองคือใครล่ะ?”
“แกไม่รู้จักหรอก เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ไว้เดี๋ยวฉันจะพาเข้าบ้านมาให้แกรู้จักแล้วกัน”
“ได้”
พี่น้องทั้งสองคนหันมาคุยกันปล่อยให้บุริศร์เป็นมนุษย์ล่องหน
“นี่ พี่ใหญ่ ผมจำได้ในครอบครัวเราพี่พาผู้หญิงมาบ้านเร็วที่สุดนี่? แถมยังเป็นคนแอฟริกาอีก ตอนนั้นทำเอาพ่อกับแม่ตกใจแทบแย่”
กานต์นึกถึงเรื่องราวในอดีต ก็อดที่จะขำออกมาไม่ได้
การได้กลับบ้านเป็นอะไรที่ดีมากจริงๆ
ในตอนที่อยู่กองทัพ ต้องรักษากฎวินัย คอยตื่นตัวระวังภัย และเตรียมพร้อมออกรบตลอดเวลา อารมณ์ก็มักจะเครียดเกร็งตามไปด้วย แต่พอได้กลับบ้าน ได้มาอยู่กับพี่น้องและคนในครอบครัว เขาก็รู้สึกผ่อนคลายแปลกๆ
ความรู้สึกนี้มันยากที่จะจากจริงๆ
เมื่อกิจจาได้ยินคำพูดนี้ ก็หน้าแดงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
“ตอนนั้นที่พาผู้หญิงคนนั้นมาด้วยเพราะไม่มีทางเลือก พวกแกคิดไปไกลเอง”
“โอ๊ะๆๆ ตอนนั้นใครไม่รู้เป็นคนพูดว่าถ้ามีความรักก็ไม่ต้องรีบพาใครกลับมาบ้าน นอกเสียจากว่าจะแต่งงานกัน”
กิจจาโดนกานต์แซวจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน จึงใช้เท้าถีบเขาไปที จากนั้นก็เหลือบตามองบนราวกับรอบข้างไม่มีใคร แล้วหันหลังเดินออกไป
กานต์หัวเราะเหอะๆ เมื่อเห็นบุริศร์มองมาที่เขากับกิจจาอย่างฮึดฮัด กานต์ก็หุบยิ้มฉับ เอ่ยพูดขึ้นมาว่า “คุณบุริศร์ ในฐานะที่คุณต้องกลายมาเป็นคนยื่นขออนุมัติเงินเกษียณกับผมนับตั้งแต่นี้ มีอะไรอยากพูดไหม?”
“ฉันอยากพูดว่าเมื่อไหร่แกจะเชื่อมสมุดบัญชี”
เมื่อบุริศร์พูดคำนี้ออกมา มุมปากของกานต์ก็พลันหุบฉับ
เขารีบเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ได้ยินเสียงลิงโลดของภาคิณกับภาณดังขึ้นมาว่า
“พี่สะใภ้รอง ใจดีมากๆ!เชร้ด ให้อั่งเปาตั้งหกแสนหกแหนะ รวยโคตร!”
“ผมดูตั้งหลายรอบ ยังนึกว่าตัวเองดูผิดอยู่เลย พี่ภาคิณ เราได้หกแสนหกจริงๆเหรอ?”
ภาณมองมาที่พี่ชายท้องเดียวกันอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ด้านกานต์ก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
ถึงยังไงสองแสบนี้ก็เป็นคุณชายตระกูลโตเล็ก ต้องดีใจเว่อร์เหมือนชีวิตนี้ไม่เคยเห็นเงินขนาดนี้เลยเหรอ?”
“พวกแกสองคนเอาเงินไปคืนให้แฟนของฉันเลยนะ”
ภาคิณกับภาณนิ่งไปทันที ในขณะเดียวกันก็พากันจับโทรศัพท์เอาไว้แน่นอย่างพร้อมเพรียง
“พี่รองไม่เอาอย่างนี้สิ นี่คืออั่งเปาที่พี่สะใภ้รองให้พวกผมมานะ พี่จะมาขโมยไปไม่ได้!”
“ใช่ๆ ผมกับพี่ภาคิณใกล้จะเข้ามหาลัยแล้ว อีกหน่อยเดี๋ยวก็มีแฟน มีเรื่องจำเป็นต้องใช้เงินอีกมากมาย เงินค่าขนมแสนหนึ่งที่พ่อแม่ให้พวกผมแต่ละเดือนมันไม่พอหรอกนะ”
ภาคิณกับภาณเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ทันใดนั้นกานต์ก็ยิ้มออกมาอย่างแปลกๆ “ที่แท้พวกแกก็ได้ค่าขนมเดือนละตั้งเป็นแสน!ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ค่าขนมในทุกๆเดือน จะไม่มีไปมากกว่านี้ วันๆพวกแกเอาแต่กินไม่ทำอะไร ยังได้ค่าขนมมากว่าเงินเดือนตอนฉันอยู่กองหทารอีก มันน่าหัวร้อนนัก ไม่รับความเห็นต่างอะไรทั้งนั้น!”
เมื่อกานต์พูดคำเหล่านี้ออกมา สองพี่น้องก็โหยหวนออกมาในทันที ส่วนไอราก็หัวเราะขำ
เธอพบว่านับวันตัวเองก็ยิ่งชอบตระกูลโตเล็กขึ้นเรื่อยๆ