“ระวัง!”
กิจจาปกป้องณิตาเป็นอันดับแรก ถึงขนาดที่แขนของตนเองกระแทกไปที่กระจกหน้ารถ
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ไม่มีปฏิกิริยาอะไร ทว่าณิตากลับรีบม้วนแขนเสื้อเขาขึ้น เห็นตำแหน่งข้อมือมีรอยฟกช้ำ จึงอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง
“ทำไมถึงเข้ามาปกป้องฉันล่ะ?”
“ไม่เป็นไร พี่เป็นผู้ชาย แล้วมันก็อยู่ในเสื้อผ้าด้วย มองไม่เห็นอยู่แล้ว”
“มองไม่เห็นก็ไม่เจ็บแล้วงั้นเหรอ?”
ณิตารู้สึกว่าสมองของผู้ชายคนนี้มีปัญหานิดหน่อย
กิจจารู้สึกถึงมือเล็กๆของเธอที่กำลังทัศนาจรอยู่บนร่างกายของตนเอง ท่าทางลนลานเป็นกังวลนั้นกลับทำให้เขาเหม่อลอยไปชั่วครู่ แล้วความอบอุ่นก็ทะลักขึ้นมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หัวใจอ่อนยวบจนยุ่งเหยิงไปหมด
คนที่เกือบจะโดนชนเห็นว่าตั้งนานแล้วแต่ไม่มีใครลงมาสนใจตนเองสักที จึงอดไม่ได้ที่จะเดินเข้ามาตบๆกระจกรถ นี่ถึงเรียกร้องความสนใจจากกิจจาได้
อีกฝ่ายเป็นผู้หญิงที่ตัวค่อนข้างเล็ก ดูๆแล้วใบหน้าซีดขาว จัดอยู่ในประเภทที่ไม่แข็งแรง
กิจจาขมวดคิ้วเล็กน้อย หมุนกระจกรถลงเบาๆ
“ฉันไม่ได้ชนเธอ เธอต่างหากที่พุ่งเข้ามาเอง อย่าคิดจะพุ่งเข้ามาชนแล้วเรียกร้องค่าเสียหายนะ ที่ฉันมีกล้องติดรถอยู่”
ก่อนที่หญิงสาวจะได้เอ่ยปากกิจจาก็พูดขึ้นมาก่อน ทั้งยังท่าทีเย็นชา เทียบกับเมื่อกี้ที่เผชิญหน้ากับณิตาแล้วก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หญิงสาวชะงักเล็กน้อย แล้วน้ำตาเม็ดใหญ่ก็ร่วงลงมา ดูน่าสงสาร
“ฉันรู้ เป็นฉันเองที่พุ่งเข้ามา ไม่เกี่ยวกับคุณหรอก ฉันแค่อยากถามว่าคุณคือกิจจาใช่ไหม? ที่เป็นพี่ใหญ่ของกานต์?”
แค่พูดออกไป กิจจาก็ตะลึงงัน
หากานต์งั้นเหรอ?
ตอนนี้ความรักของกานต์กับไอรามีความสุขดี แต่จู่ๆผู้หญิงคนนี้ก็โผล่ออกมามันเกิดอะไรขึ้น?
“เธอเป็นใคร?”
เสียงของกิจจาเย็นยะเยือก ก็ไม่มีความหมายว่าจะลงจากรถเลย
ณิตามองผู้หญิงตรงหน้า ขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำไมถึงเอาแต่รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ดูร้ายๆอยู่ตลอดเลยล่ะ?
หญิงสาวเหมือนคิดไม่ถึงว่ากิจจาจะถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน ชะงักเล็กน้อย แล้วพูดขึ้น: “ฉันชื่อพริมรตา มาตามหากานต์ หลังจากเขาปลดประจำการแล้วก็โทรหาไม่ติดเลย ฉันรู้แค่ว่าเขาอยู่ที่เมืองชลธี คุณเป็นพี่ใหญ่ของเขา ขอร้องคุณล่ะพาฉันไปหาเขาหน่อยเถอะ”
คำพูดของพริมรตาทำให้กิจจาขมวดคิ้วแน่น
ไม่รู้เบอร์ส่วนตัวของกานต์ แสดงว่าเธอกับกานต์ไม่ได้สนิทกัน แต่กลับรู้ว่าตนเองเป็นพี่ใหญ่ของกานต์ ทั้งยังสามารถขวางอยู่ที่หน้ารถของเขาได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ถ้าบอกว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีความสามารถเลย กิจจาก็ไม่เชื่อหรอก
“ได้สิ”
กิจจาเอ่ยปากขึ้นทันที
พริมรตาเหมือนคิดไม่ถึงว่ากิจจาจะตอบตกลงอย่างตรงไปตรงมาขนาดนี้ แสดงความดีอกดีใจออกมาทันที
“ขึ้นรถ!”
กิจจาพยักหน้า
พริมรตารีบปล่อยกระจกรถออก แล้วเดินไปข้างหลังไม่กี่ก้าว ตอนที่คิดจะเปิดประตูรถด้านหลัง รถก็ค่อยๆพุ่งทะยานออกไปราวกับลูกธนูที่พุ่งออกไปจากคันธนู ทิ้งควันท้ายรถเอาไว้ให้เธอเท่านั้น พริมรตาถึงขั้นสำลักจนไอออกมาไม่หยุด
“พี่กิจ พี่นี่ไม่น่าเชื่อถือเลยนะ!”
“ผู้หญิงคนนี้แค่ดูก็รู้แล้วว่ามีแผนการในใจ ถ้าพี่พาเธอกลับบ้านจริงๆ ตระกูลโตเล็กของพี่ต้องเกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่โตแน่ๆ”
ความเร็วของรถกิจจาไม่ลดลงเลยสักนิด
ณิตากำลังมองพริมรตาที่ตัวเล็กลงเรื่อยๆจากหลังรถ พูดขึ้นราวกับคิดอะไรอยู่: “ในเมื่อเธอตามมาถึงเมืองชลธีได้ ก็ต้องตามไปที่บ้านของตระกูลโตเล็กได้ ถึงตอนนั้นคงจะมีเรื่องวุ่นวายแน่ๆ ไอราควรจะได้รู้การมีตัวตนของผู้หญิงคนนี้นะ เราบอกกานต์กับไอราคงดีกว่า”
“เธอกับไอราสนิทกันมากเลยใช่ไหม?”
กิจจานึกถึงไอรา จึงอดไม่ได้ที่จะถาม
ณิตาพยักหน้า แล้วก็ไม่คิดจะพูดอะไรเพิ่มเติม ถึงยังไงมิตรภาพของผู้หญิงบางครั้งผู้ชายก็ไม่เข้าใจหรอก
กิจจาขับรถมาถึงร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆแห่งหนึ่ง ลงจากรถไปกับณิตาเขาสั่งกับข้าวจานเล็กๆหลายอย่าง ล้วนแต่ให้ความรู้สึกสดชื่นอร่อยถูกปาก ต่างเป็นอาหารที่ณิตาชอบกินทั้งนั้น
มองกับข้าวที่อยู่เต็มโต๊ะ ในใจของณิตาก็เบิกบานมาก แต่ตอนที่นึกถึงการตัดสินใจของกิจจากลับค่อนข้างเสียใจ
“กินเยอะๆหน่อย ดูเธอสิไปอยู่ต่างประเทศไม่กี่ปีทำไมถึงผอมนักล่ะ”
กิจจาบ่นๆ
ณิตากินอยู่เงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก
อาหารมื้อนี้ผ่านไปอย่างสงบ ใครก็ไม่กล้าพูดเรื่องที่เกี่ยวกับสิชาขึ้นมาแม้แต่ประโยคเดียว
หลังจากกินข้าวเสร็จ ณิตาอ้างว่ามีธุระขอกลับไปก่อน เดิมทีกิจจาอยากจะไปส่งเธอ แต่ก็โดนณิตาปฏิเสธ
หลังจากกิจจากลับมาถึงตระกูลโตเล็กเห็นว่ากานต์ยังคงทำงานอยู่ในห้องหนังสือ ไม่รู้กำลังยุ่งอะไรอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปเคาะๆประตูห้อง
“เข้ามา!”
กานต์พูดโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมา
กิจจารู้สึกว่าฉากนี้ค่อนข้างคุ้นตา เหมือนไม่นานก่อนหน้านี้กานต์ก็เข้ามาในห้องหนังสือของเขาอย่างนี้
เขายิ้มๆ แล้วเดินเข้าไป
“นายรู้จักพริมรตาไหม?”
กิจจาถามตรงประเด็นทันที กานต์จึงชะงักเล็กน้อย แล้วเงยหน้ามองไปทางกิจจา
“พี่รู้จักคนๆนี้ได้ยังไง?”
“ไม่นานนี้เธอขวางรถพี่เอาไว้ จะให้พี่พาเธอกลับมาหานาย”
กิจจาเพิ่งพูดจบ แววตาของกานต์ก็เย็นชาขึ้นเล็กน้อย
เห็นท่าทางนี้ของเขา กิจจาจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย: “ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร?”
“ตัวประกันที่ผมพลาดทำให้บาดเจ็บ”
แค่พูดออกไปกิจจาก็ตะลึงเล็กน้อย
“ก็คือผู้หญิงคนนั้นที่นายพลาดทำให้บาดเจ็บจนท้องไม่ได้อีกเลยตลอดชีวิตน่ะเหรอ?”
“อืม”
“ทำไมเธอตามมาจนถึงที่นี่? อีกอย่างนายปลดประจำการแล้ว ก็ถือว่าได้รับโทษไปแล้ว ค่าชดเชยที่ควรให้ก็ให้ไปแล้ว เธอยังคิดจะทำอะไรอีก?”
กานต์ยิ้มเยาะพูดขึ้น: “เธออยากเป็นภรรยาของผม”
“เสียสติหรือไง?”
กิจจารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้สมองมีปัญหา
ตำแหน่งลูกสะใภ้ของตระกูลโตเล็กใครๆก็จะเป็นได้หรือไง?
แต่กานต์กลับยิ้มๆ: “เธอไม่ได้เสียสติหรอก แต่เธอจำเป็นต้องทำอย่างนี้”
“เพราอะไร?”
“เพราะผมเป็นคนที่สายฟ้าอยากจัดการน่ะสิ”
สายฟ้าที่กานต์พูดถึงเป็นใคร กิจจาไม่รู้หรอก แต่คนที่สามารถทำให้กานต์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ได้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ
“อยากให้ช่วยไหม?”
“ไม่เป็นไร ผมจัดการเองได้”
กานต์ตอบกลับไปเช่นนี้
กิจจาจึงพยักหน้า ลุกขึ้นจะออกไป ก็ได้ยินกานต์ถามขึ้น: “คิดจะแต่งงานกับสิชาจริงๆเหรอ? ผมได้ยินว่าณิตากลับมาแล้ว และตามที่ได้ยินมาเธอไปอยู่ต่างประเทศสามปีคนที่เข้ามาจีบเธอก็ไม่น้อยเลยนะ ช่วงนี้มีคนที่จีบเธอคนหนึ่งตามเธอกลับมาด้วย เหมือนจะมีอาการทางจิตอยู่หน่อยๆ”
ได้ยินถึงตรงนี้ กิจจาจึงชะงักงัน แววตาเย็นชาเล็กน้อย
“อาการทางจิตที่มีความหวาดระแวงเหรอ?”
“ตามที่ได้ยินมาบอกว่างั้นนะ แล้วบุคลิกเฉพาะตัวดูไม่ค่อยสมบูรณ์ จะจีบณิตาให้ติดให้ได้ ผมไม่สนใจว่าทำไมพี่ต้องแต่งงานกับสิชาให้ได้ ผมแค่อยากบอกพี่ว่า อย่าให้เป็นเพราะการตัดสินใจและการเลือกที่ผิดพลาดถ่วงเวลาหรืออาจจะเป็นการทำร้ายคนที่พี่ใส่ใจที่สุด พวกเราคิดมาโดยตลอดว่าณิตานี่แหละที่จะเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของพวกเรา”
กานต์พูดมาถึงตรงนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก พวกเขาเป็นพี่น้องกัน แล้วก็เป็นคนที่มีอิสรเสรีเหมือนกัน แต่ละคนมีลักษณะกับหลักการในการจัดการของแต่ละคนเอง พวกเขาจนปัญญาที่จะก้าวก่ายชีวิตของคนอื่น ทำได้เพียงบอกทุกอย่างที่ตนเองรู้แก่พวกเขาเท่านั้น
“ขอบใจนะ”
กิจจาพูดจบก็หมุนตัวเดินออกไป ส่วนแววตาของกานต์หลังจากที่กิจจาออกไปแล้วก็เย็นยะเยือกจนถึงที่สุด
พริมรตา!
ไม่นึกว่าจะตามมาจนถึงเมืองชลธี?
บาดแผลของเธอยังไม่หายสนิทไม่ใช่เหรอ?
สงสัยว่าบางคนคงควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ซะแล้วสิ