ไอรานิ่งอึ้ง เบิกตากว้างมองใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มตรงหน้า พลันรู้สึกถึงไอหมอกเหมือนในฝัน ทำให้แยกได้ยากว่าความจริงหรือว่าฝัน
ต่อให้กานต์จะจิตใจเข้มแข็งมากแค่ไหนพอถูกเธอจ้องแบบนี้ก็อดที่จะขัดเขินไม่ได้
“หลับตา”
เสียงของเขาแหบพร่า นัยน์ตาอาบย้อมไปด้วยความปรารถนา
ทันใดนั้นไอราก็รู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นแรงจนไม่อาจควบคุมได้ เธอจึงรีบหลับตาลง จากนั้นก็สัมผัสได้ถึงริมฝีปากเย็นชืดของกานต์ที่ประทับลงมาอีกครั้ง และไล่วนอยู่อย่างนั้น
อุณหภูมิในห้องพุ่งขึ้นสูง ไอราคิดว่าตัวเองกำลังจะตายเพราะจมอยู่กับความอุ่นร้อนนี้เสียแล้ว แต่ในตอนนี้เอง จู่ๆก็มีเสียงปืนดังมาจากด้านนอก
กานต์กับไอราสะดุ้ง เมื่อได้สติ ไอราก็กระโดดลงจากตักของกานต์ หมุนตัวไปหยิบเสื้อตัวนอกมาให้กานต์ใส่ เดินเข้ามาพลางเอ่ยพูดว่า “นายระวังตัวด้วยนะ ฉันจะรอนายอยู่ที่นี่”
เมื่อเห็นภาพนี้ กานต์ก็นิ่งไปในทันที
การกระทำของเธอเหมือนผ่านการฝึกฝนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน จนแทบจะกลายเป็นทักษะประจำตัว ราวกับว่าเธอสามารถเตรียมความพร้อมให้กานต์ออกไปปฏิบัติภารกิจได้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งการกระทำนี้มันเสียดแทงเข้ามาในหัวใจของกานต์อย่างลึก
กานต์รู้สึกฝาดเฝื่อน เขากุมมือของไอราเอาไว้ เอ่ยพูดเสียงเบาว่า “ไอรา ฉันปลดประจำการแล้ว ตอนนี้ฉันเป็นแค่นักธุรกิจธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น”
ในอดีต กานต์คิดว่าทหารเป็นอาชีพที่มีเกียรติ
เขาไม่เคยคิดว่าทุกครั้งที่ออกปฏิบัติภารกิจจะมีใครป็นห่วงเขา เพราะบุริศร์กับนรมนไม่เคยมาแสดงตัวต่อหน้าเขา ทุกคนในครอบครัวต่างก็เคารพอุดมคติของเขา และคอยสนับสนุนคอยให้กำลังใจอยู่ข้างหลัง
เขาไม่เคยเห็นคนในครอบครัวแสดงท่าทีเป็นห่วง แต่การกระทำที่ออกมาโดยอัตโนมัติของไอราเมื่อสักครู่นี้ ราวกับเขาได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่รักเขาและคอยกังวลคอยเป็นห่วงเขาตลอดเวลา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยึดความชอบของเขามาปรับใช้ในชีวิตประจำวันของตัวเอง
จู่ๆกานต์ก็รู้สึกแสบจมูก
เมื่อได้ยินที่กานต์พูดไอราถึงได้รู้ตัว จึงอดที่จะกระดากอายไม่ได้
เธอจำขึ้นใจมาตั้งแต่เด็กๆว่าความฝันของกานต์คือการได้เป็นทหาร และการปกป้องประเทศ ดังนั้นเธอจึงนำมาตรฐานความรับผิดชอบของภรรยาทหารมาปรับใช้กับตนเอง
แม้ว่าตอนนั้นจะไม่ได้เป็นอะไรกับกานต์ แต่ทุกครั้งที่ได้ยินว่ามีเหตุสุดวิสัยครั้งยิ่งใหญ่เกิดขึ้น เธอก็จะเอาตัวเองเข้าไปจำลองในสถานการณ์ แล้วจินตนาการว่าถ้ากานต์อยู่ตรงหน้าเธอต้องทำอะไรยังไงบ้าง ห้ามไหม? หรือว่าปล่อยไป?
ต่อมาเธอถึงได้รู้ว่า เธอควรสนับสนุน เชื่อมั่นในศรัทธาของเขา และเคารพอุดมคติของเขา เตรียมพร้อมที่จะช่วยเหลือเขาตลอดเวลา
ซึ่งความรับผิดชอบและความคิดแบบนี้มันฝังรากลึกอยู่ในร่างกายของเธอแล้ว ทุกครั้งที่ประสบพบเจอสถานการณ์คับขัน จึงตระหนักได้โดยอัตโนมัติว่าสิ่งแรกที่ต้องทำคืออะไร พอนานวันเข้ามันก็กลายเป็นสัญชาตญาณหนึ่งของร่างกายไปแล้ว
ในตอนนี้เมื่อเธอแสดงสัญชาตญาณนี้ออกมา แต่กลับได้ยินว่ากานต์บอกว่าปลดประจำการแล้ว ชั่ววินาทีนั่นไอราก็รู้สึกไม่ชินแปลกๆ
และเธอก็คิดถึงความรู้สึกของกานต์เป็นอันดับแรก
นี่ขนาดเธอแค่ยึดความรับผิดชอบแบบฉบับแม่บ้านทหารมาปรับใช้ พอตอนนี้ไม่ได้ทำแล้วยังรู้สึกไม่ชินเลย แล้วกานต์ที่ยึดมั่นถือคติต้องปกป้องประเทศชาติมาตลอดจะเสียใจมากแค่ไหน? คงไม่ชินเหมือนกันใช่ไหม?
ไอรารีบเอ่ยพูดขึ้นมาว่า “ที่นี่คือโรงพยาบาลทหารของเมืองหลวง ชมพูยังอยู่ที่นี่ เสียงปืนก็ดังอยู่ใกล้ๆนี้ด้วย คาดว่าน่าจะอยู่แถวๆนี้แหละ นายจะไม่ไปดูหน่อยเหรอ?”
“ฉันกำลังบาดเจ็บ แถมยังเป็นแค่นักธุรกิจคนหนึ่ง ข้างนอกมีทหารและตำรวจอยู่ ฉันไม่จำเป็นต้องไปดู”
กานต์ดึงไอราเข้ามาในอ้อมกอด
ครั้งแรกที่ได้ยินเสียงปืนเขาไม่ได้พุ่งออกไปทันที และในครั้งนี้มันก็ทำให้เขาตระหนักความจริงบางอย่างได้ว่าเพราะความชอบและศรัทธาของเขา ถึงได้ทำให้คนรอบข้างยอมรับมากขึ้น
ซึ่งความกล้าหาญของเขาส่วนใหญ่ก็มาจากแรงสนับสนุนและความเข้าใจของคนใกล้ชิดทั้งนั้น ณ วินาทีนี้ ความรู้สึกวูบโหวงที่ต้องปลดประจำการถูกเติมเต็มและทดแทน ด้วยความรักที่มีต่อไอราจนหมดแล้ว
“ไอรา ฉันรักเธอ”
เมื่อคำนี้หลุดออกมา ไอราก็พลันนิ่งค้างทันที
เธอเบิกตากว้างมองมาที่กานต์ มองผู้ชายที่ตัวเองตามจีบมายี่สิบปี ทันใดนั้นจู่ๆก็ร้องไห้ออกมาด้วยความตื้นตัน
อันที่จริงแล้วความไม่สบายใจและความกระวนกระวายของผู้หญิงหลายๆคน ก็เพราะว่าคำคำนี้เท่านั้น
เธอรู้ว่ากานต์เป็นคนพูดจริงทำจริง เขาไม่ใช่ผู้ชายที่พูดคำว่ารักออกมาง่ายๆ การที่เขาพูดคำว่า “ฉันรักเธอ” ออกมาในขณะที่จ้องตาเธอ นั่นหมายความว่ามันคือคำสัญญาตลอดชีวิต
หัวใจที่ลอยเคว้งไปมาของไอราพลันสงบลงทันที มันมากกว่าคำว่าสบายใจไปมาก
เธอสลัดคำว่าบุญคุญทิ้งไป ตอนนี้เธอรู้แค่ว่าเธอได้ครอบครองกานต์คนนี้แล้ว แค่ได้กินพื้นที่ในหัวใจของเขาก็เพียงพอแล้ว
“กรี๊ด!”
ไอราดีใจจนส่งเสียงกรีดร้องออกมา
คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจความรู้สึกดีใจและตื่นเต้นของเธอในตอนนี้ แต่กานต์เข้าใจเป็นอย่างดี
เขายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย รู้สึกว่าปฏิบัติภารกิจสำเร็จเป็นสิบครั้งก็ไม่น่าพึงพอใจเท่าการได้เห็นรอยยิ้มของไอราในขณะนี้
เขานี่มันสมกับเป็นผู้ชายตระกูลโตเล็กจริงๆ
เห็นผู้หญิงดีกว่าประเทศชาติ
กานต์หัวเราะเบาๆ แล้วจับมือของไอราไว้ “ไปหยิบกล่องยามาหน่อย”
“ห๊ะ?”
ไอรายังคงจมอยู่กับคำสารภาพรักของกานต์ จึงงุนงงกับคำพูดไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของเขา มองมาที่กานต์อย่างบ๊องแบ๊ว
กานต์จิ้มหน้าผากเธอ แล้วเอ่ยพูดเสียงนุ่มว่า “ข้างนอกมีเสียงปืน ทุกคนต้องเตรียมตัวระวังภัยอยู่แล้ว และที่เธอกรี๊ดเมื่อกี้ยังไงก็ต้องกลายเป็นจุดสนใจแน่ๆ คนอื่นคงคิดว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเราที่นี่ เธอคงไม่คิดจะบอกพวกเขาว่าเธอกรี๊ดเพราะฉันสารภาพรักหรอกใช่ไหม? ไปเอากล่องยามา ฉันจะถอดเสื้อ แล้วเธอก็ทายาให้ฉัน ถ้ามีคนมาฉันจะบอกพวกเขาว่าเธอตกใจที่เห็นแผลฉัน แบบนี้ค่อยไม่น่าอายเกินไป”
เมื่อได้ยินกานต์อธิบาย ไอราก็ได้สติ ใบหน้าพลันแดงขึ้นมาในทันที
เธอลืมสถานการณ์ไปเลย
ถ้าให้คนอื่นรู้ว่าเธอกรี๊ดเพราะกานต์สารภาพรักล่ะก็ เธอคงถูกหัวเราะจนไม่กล้าออกไปไหนแน่ๆ
ไอรารีบวิ่งไปหยิบกล่องยา และกานต์ก็ให้ความร่วมมือโดยการถอดเสื้อออก
แม้ว่ากิจจาจะทำแผลให้เขาแล้ว แต่ในตอนที่ไอราได้เห็นแผลของเขา ดวงตาก็เริ่มร้อนวาบในทันที
“เจ็บมากเลยใช่ไหม? พ่อฉันนี่ก็ไม่เบามือเลย ไว้คราวหลังฉันจะพูดกับเขาให้รู้เรื่อง”
“พ่อเธอทำไปเพราะสงสารเธอ เขาไม่ได้ทำผิดอะไรเลย อีกอย่างวิธีเคลียร์ปัญหาของผู้ชายกับผู้หญิงไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เธออย่าสอดมือเข้ามายุ่งเลย พวกนี้มันก็แค่แผลภายนอกเท่านั้น โชคดีที่พ่อเธอยอมอ่อนข้อให้ ฉันเลยได้แต่งงานกับเธอตามที่หวัง เห็นไหมว่าฉันไม่ได้เจ็บตัวฟรีๆ”
กานต์พูดออกมาอย่างชิลๆ ทว่าในใจของไอรากับหนักอึ้ง รู้สึกสงสารเขาเป็นอย่างมาก
เธอทายาล้างแผลให้เขาเบาๆ ในตอนนี้เองเสียงฝีเท้าก็ดังมาจากข้างนอก ตามมาด้วยเสียงเคาะประตูอย่างร้อนใจ
“คุณกานต์ อยู่ไหมครับ? พวกเราขอเข้าไปได้ไหม คุณสะดวกหรือเปล่า?”
“ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่”
ไอรากำลังจะเอ่ยตอบ แต่กลับได้ยินกานต์พูดออกมาอย่างนี้เสียก่อน จึงนิ่งไป
หมายความว่ายังไง?
กานต์จะทำอะไร?