ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างตกใจจนงุนงง ไม่คิดว่าหลัวเยี่ยนจะลงมือตบหลัวเสียนเม่ย บรรยากาศที่ระเบิดออกมาทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจ ในตอนที่ผู้หญิงคนหนึ่งแสดงความโกรธออกมา ในตอนที่เธอมีความคิดที่จะสู้สุดชีวิตขึ้นมาจริงๆ ผู้ชายต่างก็ต้องหวาดกลัว
“แม่ครับ เจ๋งมาก…แม่เป็นความภาคภูมิใจของผม!” เย่เทียนเฉินที่รู้สึกว่าได้ระบายอามรมณ์พูดกับแม่เสียงเบาแล้วหัวเราะออกมา
หลัวเยี่ยนส่ายหน้า กวาดตามองไปยังทุกคนที่อยู่ที่นี่ จากนั้นจึงมองไปยังลุงหวังที่ก้มหน้าไม่พูดไม่จา พลันรู้สึกโศกเศร้าและผิดหวังในใจ สุดท้ายจึงมองไปยังหลัวฉีผู้เป็นพี่และหลัวเสียนเม่ยน้องสาวแล้วเอ่ยปากขึ้น “ลุงหวังทำงานให้ตระกูลหลัวทั้งตระกูลมาสี่สิบปีแล้ว พูดได้ว่าดีกับพวกเราทุกคน คุณลุงทุกคนที่อยู่ที่นี่ ตอนที่พวกคุณหลายคนยังอายุน้อยก็เติบโตมาพร้อมๆ กับลุงหวัง ลุงหวังปฏิบัติต่อคนอื่นยังไงเชื่อว่าพวกคุณก็คงรู้แก่ใจดี สำหรับผู้เฒ่าผู้แก่ที่อายุหกสิบกว่าปีคนหนึ่ง ทำงานรับใช้ตระกูลหลัวอย่างซื่อสัตย์มาสี่สิบปี สุดท้ายได้อะไรตอบแทน? ต้องมารองรับคำก่นด่าของพวกคุณแบบนี้เหรอ? กฏบ้านตระกูลหลัวของพวกเรา คุณธรรมตระกูลหลัวไปอยู่ที่ไหนหมดแล้ว?”
“แก…นี่เป็นเรื่องของตระกูลหลัวของพวกเรา เกี่ยวอะไรกับคนนอกอย่างแกด้วย?” มีคนพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
“คุณหนูครับช่างมันเถอะ ผมเป็นแค่คนรับใช้คนหนึ่ง นายท่านทั้งหลายด่าแค่ไม่กี่ประโยคก็สมควรแล้ว…” ลุงหวังไม่อยากให้หลัวเยี่ยนต้องลำบากใจ ไม่อยากให้หลัวเยี่ยนทะเลาะกับคนในตระกูลจนร้ายแรงมากเกินไป ตอนนี้พวกเขาสั่งให้ผู้คุมการออกมาเคลื่อนไหวแล้ว และคิดที่จะจับสองแม่ลูกหลัวเยี่ยน หากว่าเรื่องราวรุนแรงไปมากกว่านี้เพราะตน เกรงว่าจะเป็นการทำร้ายหลัวเยี่ยนเปล่าๆ
“ลุงหวัง ลุงทำงานรับใช้ตระกูลหลัวอย่างซื่อสัตย์มาสี่สิบปีแล้ว ไม่มีผลงานก็ต้องมีความลำบาก พวกเขาไม่ควรจะทำกับลุงแบบนี้ คนทุกคนในตระกูลหลัวมีใครบ้างที่ไม่ได้รับการดูแลจากคุณ วันนี้ในเมื่อพวกเขาทำแบบนี้ ฉันก็จะทวงความยุติธรรมให้คุณเอง!” หลัวเยี่ยนพูดขัดคำพูดของลุงหวัง มองเขาด้วยความเสียใจแล้วพูดขึ้น
“หลัวเยี่ยน แกกล้าตบฉันเพียงเพราะคนรับใช้คนเดียว แกเชื่อไหมว่าฉันจะฆ่าไอ้แก่นี่ซะ?” หลัวเสียนเม่ยลุกขึ้นมาจากพื้น จ้องมองหลัวเยี่ยนอย่าโกรธเคืองแล้วตะโกนออกมา
“ที่นี่มีที่ให้คนรับใช้พูดที่ไหนกัน จับเหล่าหวังมาก่อน แล้วค่อยจัดการทีหลัง!” หลัวฉีพูดขึ้นอย่างเย็นชา
“พี่คะ ฉันจำได้ว่าตอนเด็กมีครั้งหนึ่งที่พี่ตกลงไปในบ่อน้ำ วันนั้นอุณหภูมิ -10 กว่าองศา หนาวจนถึงขั้วกระดูก คนในบ้านไม่มีใครกล้ากระโดดลงไปช่วยพี่ มีแต่ลุงหวังที่กระโดดลงไปโดยไม่สนใจอะไรแล้วลากพี่ขึ้นมา ตอนหลังลุงหวังป่วยไปหนึ่งเดือนเต็มๆ …” หลัวเยี่ยนมองไปยังหลัวฉีผู้เป็นพี่ชายแล้วพูดขึ้นด้วยความผิดหวัง
“เรื่องมันนานขนาดนั้นแล้ว ฉันจำไม่ได้…” หลัวฉีพูดอย่างไร้ความรู้สึก
“หึ ก็แค่คนใช้คนเดียวเท่านั้น ใครจะมานั่งจำเรื่องพวกนี้กัน…” หลัวเสียนเม่ยเองก็พูดขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์
หลัวเยี่ยนมองหลัวเสียนเม่ยอย่างดุดัน เดินไปเบื้องหน้าหลัวเสียนเม่ยหลายก้าว ทำให้หลัวเสียนเม่ยตกใจจนรีบยกมือขึ้นบังหน้าของตนไว้ ตอนนี้เธอก็แค่ปากแข็งเท่านั้น แต่จริงๆ ถูกหลัวเยี่ยนที่กำลังโกรธทำให้ตกใจไปแล้ว
“แก…ทำอะไร…” หลัวเสียนเม่ยถามออกมาอย่างติดขัดด้วยความตกใจ
“คนที่สมควรจะหุบปากที่สุดก็คือเธอ ฉันจำได้ว่าตอนที่เธออายุ 10 ขวบ ไปปีนต้นไม้นอกประตูใหญ่เล่นคนเดียว แล้วตกลงมาโดยไม่ทันได้ระวัง เป็นลุงหวังที่พุ่งเข้าไปรับเธอโดยไม่สนใจอะไร ส่วนตัวเขาเองก็กระดูกหัก จนถึงตอนนี้ก็ยังมีอาการเรื้อรัง แต่เธอถึงกลับหักขาของเขา หักขาขวาของเขา ตอนนี้ฉันอยากจะถามเธอสักหน่อยว่า ทำไมเธอถึงใจคอโหดเหี้ยมได้ขนาดนี้? ทำไมถึงโหดร้ายได้ขนาดนี้? ทำไมไม่มีความเป็นคนเลยสักนิด?”
หลัวเยี่ยนพูดพลางเดินเข้าไปหาหลัวเสียนเม่ย ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ เรียกได้ว่าลุงหวังนั้นทำเพื่อตระกูลหลัวมาชั่วชีวิต ทำงานอย่างซื่อสัตย์อดทน คอยดูแลทุกคนตลอด สุดท้ายแล้วกลับต้องมาเจอกับสถานการณ์แบบนี้ จะไม่ทำให้เธอผิดหวังได้อย่างไร? จะไม่ทำให้เธอเสียใจได้อย่างไร? ไม่ต้องพูดถึงว่าถ้าคนนอกได้ยินเรื่องแบบนี้คงรู้สึกอยากร้องไห้ ต่อให้เป็นคนของตระกูลหลัวตัวเองก็ควรจะรู้สึกอับอายถึงจะถูก แต่พวกเขาไม่ได้รู้สึกเลยสักนิด พวกเขาเห็นลุงหวังเป็นแค่คนรับใช้ เป็นแค่สุนัขตัวหนึ่งก็เท่านั้น นี่ทำให้หลัวเยี่ยนโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว
“แก…แกมีคุณสมบัติอะไรมาสั่งสอนฉัน แกถูกไล่ออกไปจากตระกูลหลัวนานแล้ว ไม่ใช่คนของตระกูลอีกแล้ว อีกอย่างเหล่าหวังก็เป็นแค่คนรับใช้ของตระกูลหลัวของพวกเรา เป็นแค่สุนัขตัวหนึ่งของตระกูลหลัวก็เท่านั้น ต่อให้ฉันฆ่ามันก็ไม่มีใครพูดอะไร…” หลัวเสียนเม่ยเอ่ยปากพูดด้วยใบหน้าไม่พอใจ
“ท่าทางเธอจะเกินเยียวยาแล้วจริงๆ โชคดีที่เธอเกิดในตระกูลหลัว ไม่งั้นคงถูกปล่อยให้หิวตายไปแล้ว!” หลัวเยี่ยนส่ายหน้า เธอรู้ว่าน้องสาวคนนี้มีชีวิตอยู่ในตระกูลหลัวมาตั้งแต่เด็ก และในตระกูลใหญ่อย่างตระกูลหลัวก็เรียกได้ว่าต้องการอะไรก็ได้อย่างนั้น กลายเป็นการบ่มเพาะความยโสโอหังให้เธอโดยปริยยาย ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ไม่รู้จักบุญคุณคน
“หึ นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับคนนอกอย่างแก!” หลัวเสียนเม่ยต้องการที่จะยั่วยุหลัวเยี่ยนจึงเน้นว่าเธอเป็นคนนอก
หลัวเยี่ยนไม่สนใจหลัวเสียนเม่ยอีก น้องสาวคนนี้ไม่มีทางช่วยเหลือแล้ว พูดอะไรมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ทำเพียงมองไปยังทุกคนที่อยู่ที่นี่แล้วพูดขึ้นว่า “ตระกูลหลัวของพวกเรา สามารถเรียกได้ว่าเป็นตระกูลใหญ่อันดับต้นๆ ของเมืองหลวงหรือกระทั่งทั่วทั้งประเทศก็ยังได้ ต่อให้ไม่ได้โด่งดังเท่ากับตระกูลอื่นๆ ไม่ได้โดดเด่นขนาดนั้น แต่ในใจของพวกคุณก็โอหังมาก หากไม่มีกฏบ้านและคำสั่งสอนของบรรพบุรุษมาคอยควบคุม ไม่รู้ว่าพวกคุณจะกลายเป็นยังไง ต่อให้เป็นคนแก่ธรรมดาๆ คนหนึ่งก็ควรจะได้รับความเคารพ แล้วลุงหวังล่ะ? พวกคุณจะไร้ความเป็นมนุษย์แบบนี้จริงๆ หรือ? คิดดูเถอะ คิดดูว่าสี่สิบปีมานี้ลุงหวังสร้างผลงานอะไรให้ตระกูลหลัวบ้าง…”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวเยี่ยน คุณลุงหลายคนก็เงียบลง ในตอนที่พวกเขายังเด็กต่างก็เติบโตมาด้วยกันกับลุงหวัง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ตระกูลหลัวยิ่งใหญ่ หรือจะเป็นตอนที่ตกต่ำ ลุงหวังก็ยังอยู่ เรียกได้ว่าพวกเขาใกล้ชิดกับลุงหวังมาสี่สิบปี เมื่อคิดถึงทุกสิ่งที่ผ่านไป ลุงหวังก็รับใช้ตระกูลหลัวของพวกเขาอย่างสุดความสามารถจริงๆ ชายชราคนนี้ฝ่าฟันอุปสรรคมากมายมาด้วยกันกับตระกูลหลัว ทำงานอย่างซื่อสัตย์อดทนโดยไม่บ่นว่า ไม่ควรจะทำแบบนี้กับเขาจริงๆ
“เหล่าหวัง แกออกไปก่อนเถอะ เอากล่องหยกหงส์มังกรมาให้พวกเรา!”
“เรื่องเหล่าหวังพวกเราจัดการได้ ทิ้งกล่องหยกหงส์มังกรไว้ซะ แล้วจะปล่อยพวกแกแม่ลูกไป!”
มีคุณลุงสองคนเอ่ยปากขึ้น ในใจของพวกเขารู้สึกนับถือหลัวเยี่ยนที่เป็นชนรุ่นหลังคนนี้มาก เมื่อปีนั้นก็เกือบจะได้เป็นผู้นำตระกูลหลัวแล้ว หลัวเยี่ยนเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถโดดเด่นครบครันจริงๆ มีทั้งความกล้า แผนการ และความเด็ดเดี่ยว
“ไม่ได้ สองแม่ลูกคู่นี้กล้ามาก่อเรื่องที่ตระกูลหลัวของพวกเรา จำเป็นจะต้องสั่งสอน เหล่าหวังกินข้าวตระกูลหลัวแต่กลับช่วยคนนอก หักขาสุนัขของมันซะ แล้วค่อยไล่มันออกจากตระกูลหลัวไป!” หลัวเสียนเม่ยพูดขึ้นอย่างไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิง
“แกรีบคุกเข่าขอโทษเหล่าหวังเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นคนที่จะถูกหักขาแล้วไล่ออกจากตระกูลหลัวก็คือแก!”
ในตอนนี้เอง นอกห้องโถงมีเสียงอันทรงอำนาจดังขึ้น ทุกคนพากันชะงักไป หลัวเสียนเม่ยตกใจจนสั่นไปทั้งร่าง เธอรู้ดีว่าเป็นใครที่กลับมา ส่วนหลัวเยี่ยนเดินไปด้านข้างโดยไม่พูดอะไร ผู้พูดก็คือคนที่เธอไม่ต้องการเผชิญหน้ามากที่สุด หากไม่ใช่เพราะคนของตระกูลหลัวรั้งพวกเธอแม่ลูกเอาไว้เพื่อจะแย่งชิงกล่องหยกหงส์มังกร เธอจะต้องรีบจากไปในทันทีอย่างแน่นอน ในตอนที่คุณย่าจะจากโลกนี้ไปก็ได้บอกกับเธอแล้วว่าไม่ต้องมาร่วมงานศพของคุณย่า เพราะไม่อยากให้หลัวเยี่ยนได้พบกับหลัวเหยียนซงผู้เป็นพ่อ ด้วยเกรงว่าสองพ่อลูกจะทะเลาะกัน
ไม่ผิด คนที่พูดอยู่นอกประตูด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจจนทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะพากันไปยืนด้านข้าง คนที่ทำให้หลัวเสียนเม่ยตกใจจนต้องสั่นไปทั้งร่าง กระทั่งหลัวฉีก็ยังรีบลงมาจากที่นั่งตรงกลางแล้วไปยืนอยู่ด้านข้าง คนคนนี้ก็คือหลัวเหยียนซง ผู้นำตระกูลหลัว พ่อของหลัวเยี่ยน และเป็นตาของเย่เทียนเฉิน
ตอนนี้เองชายชราอายุประมาณหกสิบปีคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอกห้องโถง มองทุกคนที่อยู่ด้านในด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ในดวงตาแม้จะมีความเสียใจอยู่บ้างแต่ก็มีความโกรธมากกว่า เพราะเมื่อครู่นี้หลัวเหยียนซงที่อยู่ด้านนอกได้ยินบทสนทนาของคนพวกนี้หมดแล้ว ลุงหวังนั้นเรียกได้ว่ามีอายุพอๆ กับเขา รู้จักกันมาหลายสิบปี ในตอนที่เขายังหนุ่มจนกระทั่งได้เป็นผู้ถือหางเสือแห่งตระกูลหลัว ก็มีลุงหวังที่เป็นพยานในเส้นทางของเขามาโดยตลอด
“พ่อ…” หลัวเสียนเม่ยเห็นหลัวเหยียนซงผู้เป็นพ่อมองตนเองด้วยท่าทางเคร่งขรึมก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงเรียกเบาๆ
“คุกเข่าลง ขอโทษลุงหวังซะ!” หลัวเหยียนซงมองหลัวเสียนเม่ยผู้เป็นลูกอย่างเรียบเฉยแล้วพูดขึ้น
“พ่อคะ…หนู…” หลัวเสียนเม่ยคิดไม่ถึงว่าพ่อจะให้เธอคุกเข่าขอโทษลุงหวังต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้จริงๆ จะเป็นไปได้อย่างไร? ยิ่งเป็นหลัวเสียนเม่ยที่ในใจของเธอเห็นลุงหวังเป็นเพียงคนรับใช้ของตระกูลหลัวมาโดยตลอด เธอต้องการอะไรก็ได้อย่างนั้น จะยอมคุกเข่าขอโทษให้คนรับใช้คนหนึ่งได้อย่างไร? ตนเองยโสโอหังและใช้อำนาจบาตรใหญ่อยู่ในตระกูลหลัวมาโดยตลอด วันหน้ายังจะมีที่ยืนในตระกูลหลัวอีกหรือ?
“ฉันจะพูดอีกครั้งเดียว คุกเข่าลง ขอโทษลุงหวังซะ!” หลัวเหยียนซงไม่พูดอะไรให้มากความ มองไปยังหลัวเสียนเม่ยอย่างเคร่งขรึม
คนที่อยู่ที่นี่ต่างก็ตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าหลัวเหยียนซงจะให้ลูกสาวของตนคุกเข่าขอโทษลุงหวัง มีแค่คุณลุงบางคนเท่านั้นที่เข้าใจได้ หลัวเหยียนซงมีฐานะเป็นหัวเรือใหญ่แห่งตระกูลหลัว มีความสามารถ มีความกตัญญู และจดจำคุณธรรมของตระกูลหลัวมาโดยตลอด เป็นผู้นำตระกูลที่ไม่เลวคนหนึ่ง
ในตอนที่หลัวเหยียนซงกำลังพูดนั้นไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมาแม้แต่คนเดียว นี่คือบารมีของผู้นำตระกูล เป็นบารมีที่ปรากฏโดยตัวมันเอง หลัวเสียนเม่ยที่โอหังและขี้ฉุนเฉียวขนาดนั้นก็ต้องสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
“ช่างเถอะครับ ช่างเถอะ คุณหนูรองไม่ได้ตั้งใจ ไม่ต้องหรอกครับ!” ลุงหวังรีบเอ่ยปากพูด
หลัวเสียนเม่ยกวาดตามองทุกคนที่อยู่ที่นี่ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าพูดจาช่วยเหลือเธอ กระทั่งหลัวฉีที่ร่วมมือกันทำชั่วมาโดยตลอดก็ยังรีบหลบไปด้านข้างไม่กล้าพูดอะไร เธอพยายามฝืนยิ้มยินดีมองไปยังหลัวเหยียนซงผู้เป็นพ่อแล้วพูดขึ้น “พ่อคะ…หละ เหล่าหวัง…เอ้อ ลุงหวังบอกว่าไม่ต้องแล้ว หนู…”
เพี๊ยะ!
หลัวเสียนเม่ยถูกตบอีกครั้ง การตบครั้งนี้รุนแรงมาก หลัวเหยียนซงเป็นผู้ลงมือด้วยตัวเอง ตบจนหลัวเสียนเม่ยทรุดลงไปนั่งกับพื้น ร่างกายสั่นเทา ในดวงตาปรากฏความหวาดผวาออกมาอย่างแท้จริง นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อลงมือกับเธอ จะอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึงว่า พ่อจะโกรธเพราะลุงหวังที่เป็นเพียงคนรับใช้คนหนึ่ง และยังลงมือตบตนด้วยตัวของเขาเองแบบนี้
……………………….