สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – ตอนที่ 10.2

ตอนที่ 10.2

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – บทที่ 10.2 ชื่อเสียงป่นปี้ (2)
บทที่ 10 ชื่อเสียงป่นปี้ (2)
โดย
Ink Stone_Romance
หากไม่ใช่ว่าเกี่ยวข้องกับการตายของเจ้านาย อาศัยฐานะของพวกเขา อย่าพูดเลยว่าจะได้พบฮ่องเต้ เพียงแค่ประตูใหญ่หน้าวังก็ยังจะผลักเข้ามาไม่ได้ แต่ละคนล้วนแต่รวบรวมสติ ตื่นเต้นจนเหงื่อออกท่วมฝ่ามือ

“คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคนของจวนกระหม่อมที่คอยรับใช้เรือนตะวันตกของนัง…เอ่อ ท่านหญิงและเจี่ยนเอ๋อร์เพคะ”

ฮูหยินแซ่จางกล่าวพลางชี้ไปที่สาวใช้ที่ดูมีอายุคนหนึ่ง “เจ้าจงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานตอนเย็นจวบจนถึงวันนี้ แจกแจงให้ละเอียดถี่ยิบเดี๋ยวนี้”

“เจ้าค่ะ! คืนก่อนนั้นท่านหญิงออกจากจวนไป กลับมาก็กินเวลานานแล้วเจ้าค่ะ เวลานั้นใกล้จะถึงค่อนคืนแล้ว ท่านหญิงบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์ ไม่อยากให้พวกบ่าวอยู่ขวางหูขวางตา จึงไล่พวกบ่าวให้กลับไปนอนโดยเร็วเจ้าค่ะ” สาวใช้คนนั้นกล่าว ตัวสั่นไปทั่วทั้งร่าง ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาแม้แต่น้อย “หลังจากนั้นวันนี้ตอนเช้าตรู่ที่เพิ่งจะสว่างก็ได้ยินความเคลื่อนไหวจากทางเรือนตะวันตก ตอนที่พวกบ่าวรีบไปก็พบว่า…คุณชายรอง…คุณชายรองเสียแล้วเจ้าค่ะ!”

“เช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า? สุดท้ายแล้วก็เป็นเพราะบ่าวสกุลจางของเจ้ามากกว่าที่ดูแลได้ไม่ทั่วถึง” คนแซ่เจิ้งกล่าวเนื่องไม่เห็นด้วย ปรายสายตาเย็นเยียบมองผ่านไปทางอื่น

ฮูหยินแซ่จางถูกนางขัดจนพูดไม่ออกอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเชิดคอใส่กล่าวกลับไปอย่างไม่น้อยหน้า “อยู่ดีๆ หากไม่ใช่ว่าในใจนางมีแผนร้ายอะไร เหตุใดจะต้องใช้ข้ออ้างให้บ่าวพวกนั้นออกไปด้วยเล่า? ตอนเช้าตรู่ที่พวกเราไปถึงลูกชายของข้าก็ไปเสียแล้ว ยามนั้นมีเพียงนางที่อยู่ในที่เกิดเหตุ หากจะพูดว่านางจงใจผลักลูกชายข้าตกน้ำก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!”

“พูดให้ถึงที่สุดแล้ว ก็ยังไม่พ้นเป็นการคาดคะเนของเจ้าเพียงคนเดียวนั่นแหละ!” คนแซ่เจิ้งยิ้มเย็น “หากว่านี้ใช้เป็นหลักฐานได้ ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่ว่าเดินไปชี้ผู้หนึ่งตรงถนนข้าก็สามารถพูดได้แล้วว่าเขาเป็นคนเลวฆ่าผู้อื่นอย่างนั้นหรือ?”

ฮูหยินแซ่จางนั้นปักใจเชื่อไปแล้วว่าอย่างไรฉู่หลิงอวิ้นก็เป็นฆาตรกร จึงพยายามทุ่มอย่างสุดตัว ประกายแววตาดุดัน “นางเป็นลูกสาวของท่าน เจ้าย่อมพูดแก้ตัวแทนนางอยู่แล้ว อย่างไรเรื่องที่นางลอบสังหารลูกชายของข้าก็เป็นเรื่องจริง ต่อหน้าฝ่าบาทและฮองเฮาในวันนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็อย่าได้คิดจะดิ้นออกไปจากกฎบ้านกฎเมืองง่ายๆ!”

คนแซ่เจิ้งก็ไม่ยอมแพ้ ใช้มือเช็ดน้ำตาก่อนจะมองไปทางฮูหยินแซ่จางกล่าวถามกลับไป

“พวกเจ้าสกุลจางคิดว่าสูญเสียลูกชายแล้วจึงสามารถใส่ร้ายผู้อื่นมั่วซั่วได้อย่างนั้นรึ? เจ้าพูดนักพูดหนาว่าอวิ้นเอ๋อร์ฆ่าลูกชายของเจ้า เช่นนั้นข้าขอถามหน่อย การตายของลูกเจ้า มีประโยชน์อันใดกับอวิ้นเอ๋อร์? ตอนนี้เจ้าไม่มีลูกชาย นางก็ไม่มีสามีเช่นกัน ที่พึ่งของชีวิตหลังจากนี้ก็ไม่มีแล้ว จะว่านางบ้าหรือโง่อย่างนั้นหรือถึงจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ลงไป?”

ฮูหยินแซ่จางกล่าวอย่างเรียบเย็น “เช่นนั้นก็ต้องถามลูกสาวสุดที่รักของเจ้าแล้ว เจ้าถามนางสิว่าเมื่อวานยามดึกนางออกไปทำอะไรลับลมคมใน! พระชายาท่านก็ใช่ว่าจะไม่มีหูมีตา ไม่มีลมไหนเลยจะมีคลื่น* ข่าวลือหนาหูขณะนี้อย่าพูดเลยว่าท่านไม่ทราบ ลูกสาวที่เจ้าเลี้ยงดูมากับมือมีนิสัยอย่างไรเจ้าจะไม่รู้เลยงั้นรึ? ก่อนหน้านั้นก็มีเรื่องซุบซิบนินทาให้ทั่วกันว่านางกับใต้เท้าเหยียนหลินหมอหลวงผู้นั้นแอบติดต่อกันอย่างลับๆ แต่ข้าก็ทำเป็นหูหนวกตาบอด ยังคิดว่านางเป็นคนดี ให้นางแต่งกับเจี่ยนเอ๋อร์มาเป็นลูกสะใภ้ ไหนเลยจะคาดคิดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นนังแพศยา แท้จริงแล้ว แท้จริงแล้ว…กลับทำร้ายลูกข้าอย่างไร้ยางอายเช่นนี้!”

“เจ้าพูดอะไรไร้สาระ?” คนแซ่เจิ้งเมื่อได้ฟังคำกล่าวหยาบคายพวกนั้นจึงโกรธหน้าแดงขึ้นมา ตอนกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง เย่าสุ่ยกลับเข้ามาจากด้านนอกเสียก่อน กล่าวรายงานว่า “ฝ่าบาท ซื่อจื่อติ้งเป่ยโหวและภรรยามาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”

ฮูหยินแซ่จางที่คิดไปเองว่ากำลังเสริมมาถึงแล้ว ดวงตาจึงเป็นประกายทันที

หลังจากฉู่หลิงอวิ้นเข้าประตูมาก็ไม่ได้โต้แย้งให้ตัวเองสักคำ เวลานี้นางก้มหน้า ทว่าสายตากลับประกายวาบ ดีใจอย่างเห็นได้ชัด

“ให้เข้ามาได้!” ฮ่องเต้เผยใบหน้าราบเรียบเปล่งออกมาเพียงหนึ่งคำ

เย่าสุ่ยรับคำสั่งเดินออกไป จากนั้นสักพักจางอวิ๋นอี้และคนแซ่เฉียนภรรยาของเขา ก็ก้มหัวเดินอย่างอ่อนน้อมเข้ามา

“กระหม่อมจางอวิ๋นอี้ ถวายพระพรฝ่าบาท ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ!” หลังจากเดินเข้าประตูมาเขาก็รีบพาภรรยาคุกเข่าคำนับ

ฮ่องเต้เพียงแต่ตอบรับ “อืม” อย่างเย็นชา ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

ฮูหยินแซ่จางราวกับคว้าฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายได้ก็มิปาน รีบหมุนกายคว้าเสื้อคลุมเขาเอาไว้ “อี้เอ๋อร์ เจ้ามาได้เวลาพอดี เรื่องราวตอนเช้าเป็นเจ้าที่เห็นกับตาตนเอง เจ้าลองคิดดูให้ดีๆ เรือนทางตะวันตกในตอนนั้นมีอะไรน่าสงสัยอีกหรือไม่?”

ในขณะที่นางพูดก็บิดหน้า จ้องตาเขม็งไปยังสองแม่ลูกคู่นั้น กัดฟันกล่าวว่า “ใช่นังแพศยาคนนี้หรือไม่ที่เป็นคนฆ่าน้องของเจ้า?”

“ท่านแม่ ท่านเสียใจจนเลอะเลือนไปแล้วล่ะ!” ใจของจางอวิ๋นอี้นั้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ทว่าใบหน้ายังพยายามรักษาท่าทีอาการความโศกเศร้าเอาไว้ จับมือฮูหยินแซ่จางก่อนปลอบ “เวลานั้น…”

หากฮูหยินแซ่จางจะกัดฉู่หลิงอวิ้นไม่ปล่อย ผู้หญิงคนนั้นถ้าถูกต้อนนักเข้า คงไม่มิวายที่จะต้องลากเขาไปรับโทษด้วย

จางอวิ๋นอี้รีบร้อนเข้าวังมา เพราะต้องการเกลี้ยกล่อมให้แม่ยกเลิกความคิดนี้ซะ

ฉู่หลิงอวิ้นก็คาดคะเนถึงจุดนี้เหมือนกัน ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ล้วนแต่มีแผนการอยู่ในใจอยู่แล้ว จึงไม่ได้โต้แย้งแทนตัวเองออกไปสักคำ…

เพียงแค่จางอวิ๋นอี้ออกหน้ายืนยัน ฮูหยินแซ่จางคนนั้นก็จะรู้สึกเหมือนตบหน้าตัวเองเช่นกัน

ฮูหยินแซ่จางใบหน้าเปลี่ยนสี

จางอวิ๋นอี้ยังพูดไม่ทันจบ กลับเป็นคนแซ่เฉียน ผู้ที่ตามเขาเข้ามา จู่ๆ ก็กัดฟันกล่าวขึ้นอย่างชัดเจน “ฝ่าบาท ฮองเฮา

เพคะ กระหม่อมเพิ่งจะได้ตัวพยานมาอีกสองคน สามารถพิสูจน์เรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบได้ ขอฝ่าบาทและฮองเฮาอนุญาตให้พาตัวคนพวกนั้นเข้ามาด้วยเพคะ!”

คนแซ่เฉียนถึงแม้จะเป็นภรรยาของซื่อจื่อจวนติ้งเป่ยโหว แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางคนมากมาย ผู้คนกลับไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของนาง

จู่ๆ นางก็เอ่ยปากขึ้นมาอย่างกะทันหัน จึงทำให้ทุกคนล้วนก็แล้วแต่รู้สึกตกใจไปตามกัน

“ฮูหยิน…” จางอวิ๋นอี้กลัวก็แต่ว่านางเป็นภรรยาที่มักจะคลุกตัวอยู่ในบ้านอาจจะใช้คำพูดผิดเพราะไม่ค่อยรู้กฎ จึงรีบดึงแขนเสื้อนางด้วยความกระวนกระวาย

คนแซ่เฉียนกลับยืดตัวตรงขึ้น มองไปทางฝ่าบาทที่อยู่ด้านหลังโต๊ะทรงอักษร สะบัดแขนออกจากมือเขาเงียบๆ

ฮ่องเต้มองพินิจไปที่นางชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้า “นำตัวเข้ามา!”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” คนแซ่เฉียนก้มหน้าขอบคุณ

แววตาของนางดูสงบเยือกเย็น ทว่าข้างในกลับรู้สึกมั่นใจอยู่ไม่กี่ส่วนเท่านั้น

ภรรยาของจางอวิ๋นอี้แต่ไหนแต่ไรก็มีนิสัยอ่อนโยนและนุ่มนวล นี่เป็นครั้งแรกที่เพิ่งจะเห็นนางแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา ในใจของนางจู่ๆ ก็เกิดสังหรณ์ใจที่ไม่ดีขึ้นมา อยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่กลับไม่สามารถพูดออกมาในสถานการณ์แบบนี้ได้

การกระทำของคนแซ่เฉียนดึงดูดความสนใจของผู้คนได้มากมาย สายตาของคนส่วนมากจึงจับจ้องไปที่นอกตำหนัก หลักจากนั้นไม่นานก็มองเห็นองค์รักษ์ผลักคนสองคนที่ถูกมัดอย่างแน่นหนาเข้ามาด้านใน

ฉู่หลิงอวิ้นนั้นใบหน้าซีดเผือด แทบจะกระโดดลุกขึ้นมาอยู่รอมร่อ

คนทั้งสองนั้นเห็นได้ชัดว่าถูกรุมทำร้ายมา ทั่วทั้งใบหน้านั้นปูดบวมราวกับหัวหมู เดิมทีก็ไม่มีคนมองออก ทว่าเพียงแค่ฉู่หลิงอวิ้นมองพริบตาเดียวก็มองออกแล้วว่าสองคนนี้…

เป็นองค์รักษ์คนสนิทข้างกายของนาง หลี่สิงและหลี่อี้

ฉู่หลิงอวิ้นกระวีกระวาดขึ้นมาอย่างทันใด ดันตัวเองขึ้น รีบวิ่งไปขวางด้านหน้าของสองคนนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก กล่าวว่า “เกิดเหตุอันใดกับพวกเจ้าทั้งสอง? ใครกันที่ทำร้ายพวกเจ้า?”

คนทั้งสองคนดูท้อแท้สิ้นหวัง ราวกับถูกทำให้หมดอาลัยตายอยากแทบไม่มีสติแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่ได้มองนางด้วยซ้ำ

“สองคนนี้เป็นองค์รักษ์ข้างกายของท่านหญิงอันเล่อ ในเมื่อท่านหญิงยอมรับว่ารู้จักพวกเขา เรื่องหลังจากนี้ก็ง่ายขึ้นมาแล้ว!” คนแซ่เฉียนกล่าวขึ้น “พวกเจ้าทำอะไรลงไป ก็พูดความจริงต่อหน้าฝ่าบาทด้วยตัวเองเถิด!”

พวกหลี่สิงเวลานี้นั้นใจเย็นเยียบจนไร้ความรู้สึก ฉู่หลิงอวิ้นก็ใจร้อนดั่งไฟ แม้นางจะไม่รู้ว่าสองคนนี้ตกไปอยู่ในมือของคนแซ่เฉียนได้อย่างไร แต่ตอนนี้ก็กระวนกระวายใจจำต้องแย่งสองคนนี้กลับมาให้ได้

นางอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่หลี่อี้กลับไม่รอให้นางได้เอ่ยปากก็คุกเข่าลงไปกล่าวกับฮ่องเต้ “สามีของท่านหญิงถูกพวกเราสองพี่น้องผลักตกน้ำพ่ะย่ะค่ะ พวกเราเองที่เป็นคนสังหาร ขอฝ่าบาทได้โปรดลงโทษ!”

น้ำเสียงของเขาเด็ดเดี่ยว เห็นได้ชัดว่าเตรียมใจตายเอาไว้แล้ว

หลี่สิงก็คุกเข่าลงไปไม่พูดขัดเช่นกัน

พวกเขาถูกจับมาจนถึงที่นี่ก็รู้อยู่แล้วว่าคงไม่มีทางหนี อีกฝ่ายให้เขารับผิดแทนการกระทำของฉู่หลิงอวิ้น แต่ว่าคนทั้งสองก็ไม่ใช่ว่าเพิ่งมาอยู่จวนอ๋องหนานเหอแค่วันสองวัน ดังนั้นจึงรู้ดีแก่ใจ หากพวกเขาถูกลากเข้ามาเกี่ยวกับฉู่หลิงอวิ้นแล้วภายหลังก็คงหมดหนทางที่จะถอยหนี แต่หากรับความผิดเอง แล้วปกป้องฉู่หลิงอวิ้น…

วันนี้พวกเขาหลบอยู่ในจวนอ๋องหนานเหอ คุ้มกันเรือนด้านหลังอย่างเข้มงวดก็ยังถูกคนใช้กำลังบังคับให้ออกมา ทั้งอีกฝ่ายยังรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของสกุลพวกเขาอย่างชัดเจน หากพวกเขากล้าทำเรื่องไม่ดี เมื่ออีกฝ่ายตามหาพวกเขาเจอครั้งที่หนึ่งแล้ว ก็ย่อมหนีไม่พ้นครั้งที่สองเป็นแน่

อย่างไรก็ดูเหมือนทางตายทั้งขึ้นทั้งล่อง เช่นนั้นมิสู้เลือกเส้นทางที่พบกันคนละครึ่งทางเช่นนี้

ร่างของฮูหยินแซ่จางนั้นโงนเงน น้ำตาหลั่งไหลออกจากขอบตา ถลาเข้าไปอาละวาดกับสองคนนั้น “พวกเจ้าฆ่าลูกชายของข้า พวกเจ้าคืนลูกข้ามาเดี๋ยวนี้! คืนลูกข้ามา!”

จางอวิ๋นเจี่ยนและคนแซ่เฉียนรีบเร่งเข้าไปดึงนาง

คนแซ่จางร้องไห้จนทั่วทั้งร่างอ่อนแรง มองไปทางฉู่หลินอวิ้นที่มึนงงอยู่ ก่อนจะพ่นน้ำลายกล่าวออกไป “เจ้ายังจะพูดอะไรอีกหรือไม่? คนมันคนหน้าไม่อาย นังอสรพิษ!”

ฉู่หลิงอวิ้นถูกนางพ่นคำพูดออกมาเต็มหน้า อดไม่ได้ที่จะรู้สึกลำบากใจ ยืนงงหน้าซีดอยู่ตรงนั้น

คนแซ่เจิ้งเมื่อเห็นเช่นนั้นก็กระวนกระวายใจ รีบร้อนเข้าไปหยิบผ้ามาเช็ดให้นาง กล่าวกับฮูหยินแซ่จางไปพลางว่า

“แค่เพียงบ่าวสองคน คำพูดของพวกเขาเป็นจริงหรือไม่ยังต้องตรวจสอบให้ชัดเจนก่อน อีกทั้งถ้าหากพวกเขาเป็นคนทำ แล้วเกี่ยวข้องอันใดกับอวิ้นเอ๋อร์เล่า?”

“ได้ เช่นนั้นพวกเจ้าบอกมา ว่าใครเป็นคนบงการพวกเจ้า? เป็นนังสารเลวนั่นใช่หรือไม่?” ฮูหยินแซ่จางกล่าวพลางเช็ดน้ำตา “อยู่ต่อหน้าฮ่องเต้และฮองเฮาแล้วพวกเจ้าก็พูดออกมา พูดออกมาให้ชัดเจน!”

“ไม่มีคนบงการขอรับ!” หลี่สิงกล่าว ใบหน้าราวกับเห็นความตายใกล้เข้ามา “พวกเราสองพี่น้องสูญเงินพนันจึงไปกู้เงินประทับตรา อยากจะขอสามีของท่านหญิงนำเงินออมส่วนตัวออกมาให้ใช้ฉุกเฉิน ทว่าเขากลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เดิมทีพวกข้าก็แค่โกรธเขาเท่านั้น อยากจะเพียงข่มขู่ แต่นึกไม่ถึงว่าจะพลั้งมือไป!”

น้ำเสียงของคนทั้งสองดูจริงจัง

ฮูหยินแซ่จางโกรธจนอกรัดแน่น

คนแซ่เจิ้งที่เห็นเหตุการณ์ ในใจรู้ดีว่าอย่างไรสองคนนี้ก็ไม่อาจลากลูกสาวไปติดร่างแหได้ ในอกพลันสว่างวาบขึ้นมา ดีอกดีใจอย่างเห็นได้ชัด ยกคิ้วมองไปทางจางอวิ๋นอี้ “ในเมื่อเป็นการกระทำของบ่าวสองคนนี้ แต่ข้ากลับจำได้ว่า ก่อนหน้านี้จางซื่อจื่อเหมือนจะบอกว่า ตนเองเห็นน้องชายพลัดตกน้ำไปกับตามิใช่หรอกหรือ?”

จางอวิ๋นอี้ตกตะลึง ศีรษะเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นทันที

ฉู่หลิงอวิ้นกลับตกใจยิ่งเสียกว่า อยากจะหยุดปากนางไว้แต่ก็เกรงว่าหากทำเช่นนั้นคนอื่นจะต้องสงสัย ในใจร้อนรนทว่าก็กัดฟันข่มเอาไว้

——————————————–

*ไม่มีลมไหนเลยจะมีคลื่น อุปมาว่าหากไม่มีมูลเหตุ เรื่องจะเกิดขึ้นได้อย่างไร

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

Status: Ongoing

วังหลวงโรยแสงกับสุราพิษหนึ่งจอก พี่ชายฝาแฝดสละชีพ สีเลือดชโลมลาน ตระกูลรัชทายาทถูกประหารยกครัว

โลหิตย้อมคม เทียนแดงร่ำไห้ เขาว่า จะไม่มีใครบนโลกนี้ล่วงรู้ฐานะแท้จริงของเจ้า เจ้าก็รั้งอยู่ข้างกายข้าอย่างสบายใจเถอะ

นางเป็นกากเดนในราชวงศ์ก่อน ฉากนองเลือดครั้งนี้ ก็แค่อุบายสวยหรูที่อ้างชื่อของความรัก!

นางฟื้นตื่นจากฝันร้าย ลืมตาอีกครั้ง…

นางยังเป็นองค์หญิงสวินหยางผู้ไร้เทียมทานคนเก่า

บิดาผู้ชุบเลี้ยงยังมี ชายผู้เป็นพี่ยังอยู่เคียงข้าง ทุกสิ่งทุกอย่าง ยังไม่สายเกินแก้

นางรวบรวมไพร่พล สวมชุดนักรบกรุยทางแห่งอำนาจ นางจะพลิกบัลลังก์ด้วยคมดาบเปื้อนเลือดในมือ

ของของนาง นางจะปกป้อง

ของที่อยากได้ นางก็จะแย่งมา!

กบฏแห่งใต้หล้า นางมารล่มเมือง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท