นี่เป็นโอกาสทอง ซูหังตายไปแล้ว ทหารสกุลซูย่อมกระสับกระส่าย แม้พวกนั้นจะเป็นแค่กลุ่มคนไร้ระเบียบ เป็นเพียงอุบายที่ล่อให้ซูอี้ออกจากเมืองหลวง แต่ถ้าซูอี้กำจัดพวกคนเหล่านั้นเสีย ฮ่องเต้ก็คงได้แต่ยอมกล้ำกลืนเหมือนคนเป็นใบ้ แล้วตบรางวัลให้เขาอย่างงาม
แล้วเรื่องนี้ก็จะดำเนินไปด้วยความสำเร็จราบรื่น
อิ้งจื่อพูดพลางจะเดินไปจูงม้า คิดไม่ถึงว่าซูอี้กลับชิงก้าวนำไปก่อน เขาพลิกตัวขึ้นหลังม้าแล้วบังคับม้าให้เปลี่ยนทิศทาง “โม่เสว่ไปรายงานเรื่องนี้กับผิงกั๋วกงที ให้เขารีบจบเรื่องนี้ได้แล้ว ข้ามีเรื่องด่วน ต้องรีบกลับเมืองหลวง!”
พูดจบก็ไม่รอให้ทั้งสองตั้งตัว กระตุกบังเหียนจากไปทันที
“นายท่าน!” โม่เสว่เพิ่งจะรู้ตัว กระทืบเท้าร้องเรียกเสียงดัง
แต่ซูอี้ทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ก่อนจะกลืนหายไปกับความมืดอย่างรวดเร็ว
อิ้งจื่อก็มึนงงสงสัย ย่นคิ้วครุ่นคิดอย่างหนัก พอมองเห็นม้าอีกตัวที่เหลือทิ้งไว้ข้างๆ ก็ยิ่งไม่เข้าใจกว่าเดิม…
มือสังหารทิ้งม้าตัวนั้นเอาไว้รึ? ในเมื่อมาตามฆ่าซูอี้ เหตุใดซูอี้จึงหนีมาที่ริมแม่น้ำเพื่อรอให้คนมาฆ่าเล่า?
ทางด้านซูอี้นั้นกลับไม่สนใจใครทั้งสิ้น เอาแต่ลงแส้เร่งม้าเพื่อเดินทางกลับเมืองหลวง ภายในใจก็ว้าวุ่นไปหมด
นางต้องไม่ตาย เขาเชื่อแบบนั้น!
เพราะ…
ตอนที่อิ้งจื่อกับโม่เสว่ปรากฏตัวขึ้น วินาทีนั้นเขาเพิ่งจะเข้าใจ…
นางเอาแต่ถ่วงเวลาไม่ยอมลงมือ ความจริงนางจงใจเหลือทางรอดไว้ให้เขา
หากนางคิดจะฆ่าเขาจริงๆ คงไม่ต้องรอให้อิ้งจื่อกับโม่เสว่ตามมาช่วย ทว่า…
พอถึงวินาทีสุดท้าย นางก็ยังเลือกจะปล่อยเขา!
ในเมื่อนางคิดจะจากไปเพียงลำพัง ก็ชัดเจนว่านางต้องกลับไปรายงานฮ่องเต้ทางนั้นแน่
ด้วยนิสัยของฮ่องเต้ เมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้ย่อมทรงพิโรธหนัก ผลลัพธ์สุดท้าย…
เขาไม่กล้าคิดเลยจริงๆ
———————————–
เหยียนหลิงจวินควบม้าไม่หยุด เร่งเดินทางตลอดไม่ยอมพัก สองวันสองคืนถึงกลับมาถึงเมืองหลวง เขาไม่ได้กลับจวนสกุลเฉิน และไม่ได้เข้าไปรายงานตัวกับฮ่องเต้ในวัง แต่กลับมุ่งหน้าไปที่วังบูรพาทันที
เจิงจีออกเดินทางไกลไม่อยู่จวน สองสามวันนี้เพื่อรอคอยเขา เฉี่ยนลวี่กับเจี๋๋ยหงมักจะหมุนเวียนกันมาคอยเฝ้าที่ประตู พอเห็นเขามาถึง ก็รีบพาไปตรวจอาการของฉู่สวินหยางทันที
“ท่านหญิงมีไข้สูงไม่ยอมลด สองสามวันนี้เอาแต่สะลึมสะลือไม่ได้สติ นายท่านกลับมาได้เสียทีนะเจ้าคะ” เฉี่ยนลวี่นำทางเขาเข้าไปด้านใน พลางเล่าไประหว่างทาง
สีหน้าของเหยียนหลิงจวินนิ่งเรียบ เม้มปากแน่นไม่ยอมส่งเสียง เขาเดินตามนางไปถึงเรือนจิ่นฮว่า พอได้ตรวจอาการฉู่สวินหยางเสร็จก็เป็นไปตามที่คิดไว้…
ฉู่สวินหยางถูกเล่นงาน เพราะมีคนขโมยยาที่เขาเหลือทิ้งไว้ที่จวนสกุลเฉินจริงๆ
ถึงแม้มันจะไม่ใช่ยาพิษ แต่ก็ใช่ว่าจะแก้ได้ง่ายๆ เหยียนหลิงจวินจึงหมกตัวอยู่ที่วังบูรพา ปรุงยา ลองยา และดูแลนางด้วยตัวเองทั้งหมด ผ่านไปสองวันไข้ของฉู่สวินหยางถึงได้ลดลง คนพอมีสติขึ้นมาบ้าง
สองวันนี้ฉู่อี้อันก็วิ่งเข้าวิ่งออกวันละหลายรอบ การที่เหยียนหลิงจวินรั้งตัวอยู่ดูแลฉู่สวินหยางได้รับการอนุญาตอย่างไร้เสียงจากเขา ทว่าทุกครั้งที่เขามาก็เอาแต่ตีหน้านิ่ง สองคนไม่เคยมีบทสนทนาใดใดต่อกัน
เจี๋ยหงกับเฉี่ยนลวี่ได้แต่หวาดผวา เพราะทุกครั้งที่บุรุษสองคนอยู่ในห้องเดียวกัน อากาศคล้ายเย็นเยือกผิดปกติ แม้แต่หายใจแรงๆ ก็ยังไม่กล้า
ในที่สุดฉู่สวินหยางก็ฟื้น ทุกคนล้วนถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ทำไมเจ้า…” ฉู่สวินหยางลืมตาขึ้น วินาทีแรกที่เห็นคนเฝ้ากรอบตาพลันแดงก่ำจนเหยียนหลิงจวินก็ตะลึงไป ในสมองมึนงงนึกอะไรไม่ออกสักอย่าง คล้ายว่าเป็นฝันที่ยาวนานเหลือเกิน
“ดีขึ้นบ้างไหม? รู้สึกไม่สบายตรงไหนอีกหรือเปล่า?” เหยียนหลิงจวินถาม แม้จะพยายามอย่างสุดความสามารถ แต่น้ำเสียงก็แหบพร่าด้วยความเหนื่อยอ่อน
“ข้า…” ฉู่สวินหยางอ้าปากกำลังจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น กลับเห็นดวงหน้าดำมืดของฉู่อี้อันที่ยืนมือไพล่หลังอยู่ข้างๆ
“ท่านพ่อ?” วินาทีนั้นนางยิ่งสับสน พยายามจะยันตัวลุกนั่ง
ฉู่อี้อันเดินเข้ามาหา เอื้อมมือมาห้ามนางไว้ พลางพูดกับเหยียนหลิงจวินว่า “ฟื้นขึ้นมาแล้วก็ไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?”
“ขอรับ!” เหยียนหลิงจวินตอบ แม้ท่าทีจะฟังดูให้ความเคารพ แต่กลับให้ความรู้สึกแปลกๆ “แต่เพราะนอนอยู่หลายวัน ทำให้สูญเสียกำลังไปมาก เดี๋ยวข้าจะสั่งยาบำรุงให้สองขนาน พักผ่อนอีกไม่กี่วันก็จะหายดี”
ตอนนั้นเองฉู่สวินหยางเพิ่งจะได้กลิ่นยาที่อบอวลไปทั่วห้อง ถึงได้เข้าใจ…
นางคงจะป่วยหนัก และคงทำให้เป็นเรื่องใหญไม่น้อย เพราะแม้กระทั่งเหยียนหลิงจวินกลับมาเมื่อไรนางยังไม่รู้เลย
พอสมองเริ่มทำงาน นางก็นึกเรื่องที่เหยียนหลิงจวินออกไปจากเมืองหลวงได้ กำลังจะอ้าปากถามถึงสถานการณ์ของฉู่ฉีเฟิง ฉู่อี้อันก็เอ่ยเสียงเย็นขึ้นมาก่อน “ช่วงนี้ยังไม่ต้องไปไหน พักผ่อนไปก่อน!”
ระหว่างนั้นก็หันไปมองเหยียนหลิงจวิน เอ่ยว่า “เจ้าตามข้ามา!”
พูดจบก็ไม่รอให้เหยียนหลิงจวินตอบรับ พลันหมุนกายก้าวยาวๆ จากไปทันที
ในที่สุดก็ถึงเวลาเปิดไพ่พูดจากันแล้ว แต่เพิ่งผ่านเรื่องเช่นนี้มา…
คล้ายว่าจะเป็นการเลือกเวลาได้แย่ที่สุด
เหยียนหลิงจวินยิ้มขื่นในใจ แล้วพ่อตาในอนาคตจะเหลือที่ให้เขาได้เจรจาต่อรองอยู่ไหมหนอ?
“เจ้าไม่ใช่ออกจากเมืองหลวงไปแล้วรึ? กลับมาแต่เมื่อไร? ข้าป่วยหรอ? นานเท่าไรแล้ว?” ฉู่สวินหยางเค้นเสียงถาม
“เจ้าพักผ่อนก่อน เดี๋ยวข้ากลับมาเล่าให้ฟัง!” เหยียนหลิงจวินยิ้ม ดึงมือของนางมาลูบที่แก้มของตัวเองเบาๆ
แม้ฉู่สวินหยางจะไม่ได้ป่วยจนถึงชีวิต แต่อย่างไรเขาก็เป็นต้นเหตุ หลายวันนี้ใจเขาเองก็ไม่เป็นสุข เอาแต่เฝ้าอยู่ข้างกายนาง ไม่ยอมสนใจเสื้อผ้าหน้าผม ใต้คางจึงมีหนวดเครารางๆ ให้เห็น มันทิ่มฝ่ามือนางจนรู้สึกคันยุบยิบในใจ
ฉู่สวินหยางดึงมือออก มองดวงหน้าที่ซูบลงอย่างเห็นได้ชัด สายตาก็พลันอ่อนลง
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่? มีพวกเจี๋ยหงอยู่แล้ว!”
เหยียนหลิงจวินไม่ได้ตอบคำถาม เขาเอาแต่ส่งยิ้มให้นาง แล้วบอกว่า “รอข้านะ เดี๋ยวข้ากลับมา!”
คอยจนฉู่สวินหยางพยักหน้ารับ เขาก็ยืดตัวแล้วจับเสื้อผ้าให้เข้าที่ ก่อนจะไปหาฉู่อี้อันที่ห้องหนังสือ
เมื่อผลักประตูห้องหนังสือเข้าไป ก็เห็นฉู่อี้อันยืนมือไพล่หลังรออยู่แล้ว
“องค์รัชทายาท!” เหยียนหลิงจวินค้อมกายคารวะ
“เจ้านั่งเถอะ พวกเรามาคุยกันหน่อย!” ฉู่อี้อันมองเขาทีหนึ่ง สายตาทั้งเข้มและลึก มองไม่เห็นถึงอารมณ์ใดใด
เหยียนหลิงจวินแอบหัวเราะขมขื่นในอก เลือกเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วนั่งลงอย่างเชื่อฟัง
ฉู่อี้อันสูดหายใจลึก เดินอ้อมผ่านโต๊ะหนังสือ สายตาสำรวจจดจ้องเขาอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนคลาย
“ท่านมีเรื่องใดจะพูด ก็เชิญพูดได้เลย!” เมื่อสงบสติได้ เหยียนหลิงจวินก็เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง ต่อให้วันนี้ฉู่อี้อันไม่เรียกเขามาคุย เขาก็จะเป็นคนมาหาเอง
ฉู่อี้อันกำลังจะเปิดปาก ด้านนอกกลับมีเสียงฝีเท้ารีบร้อนของชิงเถิงดังขึ้น ลู่หยวนที่ยืนเฝ้าประตูอยู่จึงแจ้งว่า “นายท่านอยู่หรือไม่ขอรับ? เร็วเข้าเถิด ท่านหญิงออกจากจวนไปแล้วขอรับ!”
————————————————-