ต้องสู้
เมื่อกลุ่มคนเห็นหานเซิ่น พวกเขาก็เดินเข้ามา หนึ่งในพวกเขาเป็นบุดด้า และในหมู่ของพวกเขายังมีคนหนึ่งที่มีเขาสีม่วง ซึ่งบอกว่าเขาเป็นคนของเผ่าพันธุ์เดม่อน
มันยังมีเผ่าพันธุ์อื่นๆที่หานเซิ่นไม่รู้จักอยู่อีกด้วย รวมทั้งหมดแล้วพวกเขามีกันอยู่ 6 คน
“อมิตาพุต! หานเซิ่น ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าพวกเราจะได้พบกันอีกครั้งที่นี่” เมื่อบุดด้าคนนั้นเห็นหานเซิ่น เขาก็ดูอาฆาต
“ข้าเองก็ไม่คิดว่าจะได้พบกับพวกเจ้าที่นี่เช่นกัน”
หานเซิ่นยังคงนั่งอยู่กับที่ เขาอยากจะพักอีกสักหน่อย
“เจ้าคือหานเซิ่น?” ชายชาวเดม่อนมองหานเซิ่นด้วยความสนใจ
หานเซิ่นมองกลับไปที่ชายคนนั้นและคาดเดาว่าเขาคือชารอนที่ไห่เอ๋อร์พูดถึง ชารอนนั้นเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ต่างจากไผ่เดียวดาย เขาดูเหมือนกับคนที่ไม่เคยประสบกับความล้มเหลวในเรื่องใดๆ
เขาสามารถเรียนรู้วิชาจีโนต่างๆได้อย่างรวดเร็ว และเขาก็ยังรู้วิธีที่จะพัฒนาเทคนิคและวิชาต่างๆของตัวเอง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเก่งกาจ
ชารอนฝึกวิชาจีโน 2 อย่างพร้อมๆกัน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่หาได้ยาก เขาได้เรียนรู้ศาสตร์มารนภา ซึ่งเป็นวิชาประจำของเผ่าเดม่อน และเขาก็ยังมีวิชาจีโนลับอีกอย่างหนึ่ง ด้วยเหตุนั้นร่างกายของเขาจึงได้รับการเสริมพลังถึง 2 ครั้ง ซึ่งทำให้เขาแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ
จากคำพูดของไห่เอ๋อร์ ชารอนยังไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับคู่ต่อสู้คนไหนที่อยู่ในระดับเดียวกันเลยสักครั้ง และเขาก็ถูกคาดหวังว่าจะได้กลายเป็นเทพเจ้าในสักวันหนึ่ง
“ใช่แล้ว ข้าก็คือหานเซิ่น เจ้าล่ะเป็นใครกัน?”
หานเซิ่นถามขณะที่มองไปที่ชารอน เขาไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะใช่ชารอนจริงๆหรือไม่ เขาแค่ต้องการจะพูดคุยไปเรื่อยๆเพื่อได้หยุดพัก
“ข้าคือชารอนจากเผ่าเดม่อน” ชารอนตอบ
หลังจากนั้นบุดด้าก็พูดต่อ “หานเซิ่น ดูเหมือนว่าเจ้าเพิ่งจะผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่มา มันมีรูปปั้นเทพโบราณอยู่ใกล้ๆนี่อย่างนั้นหรอ?”
“ถ้ามีแล้วจะทำไม?” หานเซิ่นตอบ
“นี่เจ้าได้จุดเริ่มต้นแห่งเทพโบราณมาหรือเปล่า?”
เมื่อบุดด้าพูดขึ้นมาอย่างนั้น ดวงตาของคนอื่นๆก็เป็นประกายขึ้นมา
“ถ้าข้าได้มันมา แล้วข้าจะยังมาอยู่ที่นี่ทำไม?” หานเซิ่นพูดและมองบุดด้าคนนั้นด้วยสายตาดูถูก
“เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปเดินเล่นกันสักหน่อย” บุดด้าพูดกับหานเซิ่น
“ทำไมข้าต้องพาพวกเจ้าไปด้วย?” หานเซิ่นถามอย่างเย็นชา
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะตัดสินใจ!” หนึ่งในสมาชิกของพวกเขาตะโกนออกมา มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มี 6 ขา และมือที่เหมือนกับโลหะของมันก็ยื่นออกมาเพื่อจับตัวหานเซิ่น
ควันสีเขียวไหลออกมาจากมือของมัน และก่อตัวเป็นกรงเล็บขนาดใหญ่ มันคิดที่จะแทงกรงเล็บเข้าไปในร่างของหานเซิ่น
แต่หานเซิ่นไม่เคลื่อนไหว เขารอจนกระทั่งกรงเล็บสีเขียวเกือบจะถึงตัวของเขา หลังจากนั้นเขาก็ดึงมีดขนนกโลหิตออกมาและฟันใส่กรงเล็บสีเขียว
สายตาของสิ่งมีชีวิต 6 ขาจ้องไปที่มีดของหานเซิ่นอย่างดูถูก มันเป็นมาร์ควิส ดังนั้นมันไม่คิดจะรับมือกับหานเซิ่นที่เป็นแค่ระดับเอิร์ลอย่างจริงจัง มันแทงกรงเล็บสีเขียวของมันต่อไปตรงๆ
พลังที่ใส่เข้าไปในมีดขนนกโลหิตมากพอที่จะตัดกรงเล็บสีเขียวจนขาด และมันก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น มันพุ่งต่อไปข้างหน้าเพื่อจะตัดร่างของสิ่งมีชีวิต 6 ขา
สิ่งมีชีวิต 6 ขาไม่ได้คาดคิดว่าเอิร์ลคนหนึ่งจะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ และตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้วที่จะหลบได้ทัน พลังของหานเซิ่นตัดผ่านบริเวณเอวของอีกฝ่ายจนขาดเป็น 2 ท่อน แต่มันยังไม่ได้สิ้นใจในทันที มันส่งเสียงกรีดร้องออกมาขณะพลังเขี้ยวค่อยๆปิดชีวิตของมัน
ทุกคนตกตะลึง ตอนนี้ไม่มีใครกล้าประมาทหานเซิ่นอีก พวกเขาทุกคนเริ่มดูระมัดระวังตัวขึ้นมา
แต่พวกเขาไม่ได้ถอยออกไป พวกเขากระจายตัวออกเพื่อล้อมหานเซิ่นเอาไว้แทน
“วิชามีดเขี้ยวดาบทรงพลังยิ่งนัก” ชารอนเอ่ยชม
“การฆ่าคนถ่อยๆแบบนั้นไม่ใช่เรื่องวิเศษวิโสอะไร” หานเซิ่นพูดอย่างไร้ความรู้สึก
“ท่านชารอน มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดคุยกับเขา พวกเราช่วยกันลงมือจัดการเขาเถอะ” บุดด้าคนนั้นพูดขึ้นมา
แต่ทว่าชารอนยังคงไม่เคลื่อนไหว เขายิ้มและพูดต่อ
“ข้าได้ยินมาว่าหานเซิ่นฆ่าบุดด้าเจ็ดวิญญาณขณะที่อยู่ในสรวงสวรรค์ของพวกเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่ควรที่จะดึงคนอื่นเข้าไปเกี่ยวข้อง”
“เขาเป็นคนที่ชั่วร้าย พวกเราควรจะรีบฆ่าเขาซะ” บุดด้าอนันต์พูด
“การที่โยนหน้าที่ของตัวเองไปให้คนอื่นเป็นเรื่องที่ผิด บางทีเจ้าควรที่จะทำมันด้วยตัวเอง พวกเจ้าคิดว่ายังไง?” หานเซิ่นหันไปมองคนอื่นๆ
“ใช่แล้ว!” หลายคนพยักหน้า
สีหน้าของบุดด้าอนันต์เปลี่ยนไป แต่มันก็เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น หลังจากนั้นเขาก็พูดขึ้นมา “อมิตาพุต! ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะทำมันด้วยตัวเอง”
หลังจากนั้นบุดด้าอนันต์ก็ส่งลูกตบเข้าใส่หานเซิ่น ดวงดาวมากมายบินออกมาจากมือของเขาและเข้าไปหาหานเซิ่น
หานเซิ่นยังคงใช้มีดขนนกโลหิตเพื่อต่อสู้กับดวงดาวที่พุ่งเข้ามา เมื่อมีดลมปราณปะทะกับดวงดาว มีดลมปราณก็หายไปในความว่างเปล่า
หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจ บุดด้าอนันต์ไม่ได้โด่งดังอย่างบุดด้าเจ็ดวิญญาณ แต่วิชาของเขาก็ยอดเยี่ยม พลังของเขาไม่ใช่สิ่งที่หานเซิ่นจะประมาทได้
ดวงดาวพุ่งมาถึงตัวหานเซิ่น แต่เขายังคงไม่เคลื่อนไหวไปไหน เขาใช้มีดขนนกโลหิตวาดเป็นรูปวงกลม และพลังดวงดาวของบุดด้าอนันต์ก็ถูกดูดเข้าไปในวงกลมนั้น
หลังจากนั้นหานเซิ่นก็สะบัดมือและวาดวงกลม เพื่อสะท้อนดวงดาวกลับไปสู่บุดด้าอนันต์
สีหน้าของบุดด้าอนันต์เปลี่ยนไป เขาตะโกนและอัญเชิญดอกบัวออกมาใต้ฝ่าเท้า เขาหลบดวงดาวที่สะท้อนกลับมาและโยนดวงดาวไปใส่หานเซิ่นอีกครั้ง
หานเซิ่นยังคงนั่งอยู่บนก้อนหินและวาดวงกลมด้วยมีด เขาใช้การโจมตีของบุดด้าอนันต์เพื่อจู่โจมกลับไป
บุดด้าอนันต์ลองใช้ท่าต่างๆของเขา แต่ไม่มีอะไรที่สามารถทำลายวงกลมของหานเซิ่นได้เลย เขาไม่สามารถทำให้หานเซิ่นเคลื่อนไหวจากจุดที่นั่งอยู่ด้วยซ้ำไป
“วิชามีดเขี้ยวดาบช่างทรงพลังอะไรอย่างนี้ ไม่แปลกใจเลยที่มันเป็นวิชาหลักของรีเบท นี่มันทำให้เอิร์ลคนหนึ่งต่อสู้กับบุดด้าอนันต์ที่เป็นมาร์ควิสได้เลยอย่างนั้นหรอ? นั่นมันน่ากลัวจริงๆ” ใครบางคนพูดขึ้นมา เขาอดไม่ได้ที่จะชื่นชม
ชารอนส่ายหัวและพูด “มันไม่ใช่วิชามีดเขี้ยวดาบที่น่ากลัว แต่เป็นหานเซิ่นต่างหาก”
“ใช่แล้ว วิชามีดเขี้ยวดาบนั้นทรงพลังก็จริง ซึ่งในหมู่ของรีเบทมีเพียงแค่ราชินีแห่งมีดเท่านั้นที่ฝึกวิชามีดเขี้ยวดาบจนเชี่ยวชาญ หานเซิ่นเป็นแค่คนนอกคนหนึ่ง แต่เขากลับเรียนรู้วิชาเฉพาะของรีเบทได้จนเชี่ยวชาญ นั่นทำให้เขาเป็นชายที่น่ากลัว” ผู้หญิงที่มีเขามังกรและปีกสีดำพูดขึ้นมา
บุดด้าอนันต์รู้ตัวว่าไม่สามารถที่จะฆ่าหานเซิ่นได้ ถึงแม้หานเซิ่นจะกำลังเหนื่อยล้าอยู่ก็ตาม มันทำให้เขาโกรธมาก ร่างกายของเขาเริ่มที่จะเรืองแสงออกมาและเปลี่ยนเป็นสีทอง
มันไม่เหมือนกับร่าง 4 หน้า 8 แขนสีทองของบุดด้าเจ็ดวิญญาณ ตอนนี้บุดด้าอนันต์ดูเหมือนกับคิงคองที่มีดวงดาวล้อมรอบตัวของเขา